24 มี.ค. 2022 เวลา 04:03 • ธุรกิจ
ย้อนไปเมื่อสัก 10-20 ปีก่อน อาหารเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก ต่างจากปัจจุบันที่ร้านอาหารเกาหลีนอกประเทศได้รับความนิยมมากขึ้นจนตีตื้นขึ้นมาได้รับความสนใจพอ ๆ กับอาหารเอเชียชาติอื่น เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่น หนึ่งในอาหารสามัญประจำชาติที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเกาหลีคือ “กิมจิ” ผักดองกลิ่นแรงรสจัดจ้านที่ทุกครัวเรือนต้องมี ว่ากันว่ากิมจิถือเป็นอาหารสำคัญที่ชาวเกาหลีไม่สามารถขาดได้เลย
แม้จะเป็นอาหารที่มีความเฉพาะโดยเฉพาะในเรื่องของกลิ่นและรสที่ชาวเกาหลีเองเคยไม่มั่นใจว่าจะสามารถกลายเป็นอาหารที่ชาวต่างชาติยอมรับอย่าว่าแต่ชื่นชอบ ทว่าวิสัยทัศน์ของรัฐบาลเกาหลีบวกกับความตั้งใจจริงและการวางแผนอย่างรัดกุมก็สามารถทำให้แผนการผลักดันกิมจิให้เป็นอาหารระดับสากลก็ประสบความสำเร็จแม้จะใช้เวลาค่อนข้างยาวนานก็ตาม
โดยล่าสุดมีรายงานว่ายอดส่งออกกิมจิจากเกาหลีทะยานพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทุบสถิติครั้งแรกในรอบ 12 ปี ทั้งนี้ กรมศุลกากรเกาหลีใต้ระบุยอดส่งออกกิมจิไปต่างประเทศปี 2021 มีมูลค่า 159.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5,251 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 144.5 ล้านดอลลาร์ โดยเกินครึ่งของกิมจิที่ส่งออกถูกส่งไปยังญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฮ่องกง ไต้หวัน อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลียตามลำดับ
เจ้าหน้าที่ศุลกากรกล่าวว่าผลพวงจาก “Korean Wave” หรือคลื่นความคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมเกาหลีทำให้ชาวต่างชาติสนใจอาหารเกาหลีมากขึ้น กอปรกับการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และกิมจิก็เป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับการแนะนำว่ามีจุลินทรีย์ดีสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้ผู้ผลิตกิมจิในเกาหลีต่างปรับรสชาติเพื่อเอาใจผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่ส่งออกไปจำหน่าย
ความสำเร็จในการผลักดันวัฒนธรรมอาหารเกาหลีให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วเวลาอันสั้น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 หรือเมื่อ 14 ปีก่อน รัฐบาลเกาหลีได้ตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า “องค์กรส่งเสริมการสร้างแบรนด์ประเทศของประเทศ” (The Presidential Council on National Branding) เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศ โดยทุ่มงบ 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับ gastrodiplomacy หรือการทูตผ่านอาหาร โดยจะมีการโปรโมทอาหารเกาหลี เช่น สนับสนุนให้มีการเปิดร้านอาหารเกาหลีในต่างแดนมากขึ้น รวมถึงการมุ่งเผยแพร่กิมจิให้เป็นที่รู้จักและบริโภคในวงกว้าง
ปี 2009 “สถาบันกิมจิ” (The Kimchi Institute) ถูกตั้งขึ้นเพื่อศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับกิมจิโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งออก โดยเกาหลีได้ศึกษาตลาดจนพบว่าหากจะส่งกิมจิไปแต่ละประเทศต้องปรับเปลี่ยนรสชาติอย่างไรให้โดนใจผู้บริโภคท้องถิ่น เช่น กิมจิที่ส่งไปขายสหรัฐฯรสต้องไม่เปรี้ยวจนเกินไป หากเป็นญี่ปุ่น กิมจิจะมีรสหวานขึ้น รสชาติที่ถูกปรับจนถูกปากขึ้นส่งผลให้กิมจิได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
วิธีการแทรกซึมผ่าน “ซอฟต์พาวเวอร์” ทำให้เกาหลีกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สร้างแบรนด์ได้ยอดเยี่ยมสุดในโลก ซอฟต์พาวเวอร์ที่ว่าประกอบด้วยวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น ดนตรี ซีรีส์ และภาพยนต์ และที่จุดประกายในเกิดเป็นกระแสเปรี้ยงปร้างสุดก็ช่วงปี 2012 ที่เพลงกังนัม สไตล์ของนักร้องไซถูกปล่อยออกมาจนเป็นไวรัลไปทั่วโลกและมียอดวิวมากกว่า 1,000 ล้านครั้งบนยูทูป กลายเป็นใบเบิกทางให้เค-ป๊อปวงอื่น ๆ ได้รับความนิยมในโลกตะวันตกไปด้วย
ความนิยมในสื่อบันเทิงเหล่านี้ที่สยายไปทั่วโลกมีผลทำให้ผู้คนสนใจอาหารเกาหลีและต้องการลิ้มลองมากขึ้น โดยมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ เช่น ยูทูปเบอร์เกาหลีในต่างแดนที่ทำรายการเกี่ยวกับอาหารมาร่วมให้ความรู้และช่วยโปรโมทอีกแรง ทำให้ทราบประวัติความเป็นมา และประเภทของกิมจิว่ามีนับร้อยชนิด และในแต่ละปีชาวเกาหลีบริโภคกิมจิมากถึง 1.5 ล้านตัน
จากที่เคยกังวลว่ากลิ่นและรสของกิมจิจะเป็นอุปสรรค การณ์กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคอ้าแขนรับ กิมจิจึงได้ขยายความนิยมจากพรมแดนสู่พรมแดน ร้านอาหารเกาหลีผุดขึ้นทั่วยุโรปและอเมริกา นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าเกาหลีก็เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยช่วงปี 2009-2015 จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเกาหลีพุ่งขึ้นถึง 70 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย ความสำเร็จในการทำให้กิมจิเป็นที่ยอมรับและกลายเป็นอาหารสากลระดับโลกเกิดจากการวางนโยบาย และดำเนินการทุกกวิถีทางโดยมีรัฐบาลเป็นหัวเรือใหญ่และเอกชน รวมถึงประชาชนให้ความร่วมมือ แม้ว่าจะใช้เวลานานนับทศวรรษ แต่ดอกผลที่ผลิให้เห็นนั้นเรียกได้ว่าคุ้มกับการรอคอย
TEXT: วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์
ข้อมูล
​#sme #smethailand #กิมจิ #ธุรกิจอาหาร #ผู้ประกอบการ #เพื่อนคู่คิดธุรกิจเอสเอ็มอี #เรื่องธุรกิจต้องSMETHAILAND​
ติดตามเราได้ที่​
โฆษณา