24 มี.ค. 2022 เวลา 11:50 • คริปโทเคอร์เรนซี
รู้จัก BitTorrent ต้นแบบแนวคิด กระจายศูนย์ ที่เกิดก่อน Bitcoin
ย้อนกลับไป 20 ปีก่อน เป็นยุคสมัยที่ข้อมูลเริ่มเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ เพลง ไปจนถึงเกมคอมพิวเตอร์
1
แต่อุปสรรคสำคัญในตอนนั้น เป็นเรื่องไฟล์ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลทำได้ช้า
จนกระทั่งการมาถึงของ BitTorrent หรือแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว
BitTorrent ก็ได้กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมาก จนมีผู้ใช้งานมากกว่า 170 ล้านคนต่อเดือน
ซึ่งแนวคิดส่วนหนึ่งของ BitTorrent ก็เรียกได้ว่าคล้ายกับ Bitcoin ในเวลาต่อมา
แล้วเรื่องราวของ BitTorrent เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากชายที่ชื่อว่า “บราม โคเฮน”
เขาเกิดเมื่อปี 1975 ในครอบครัวเล็ก ๆ ของชาวยิวในย่านแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก
พ่อของเขาทำงานด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
ส่วนแม่มีอาชีพเป็นคุณครู
และเขามีน้องชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่ารอส
เมื่อมองในเรื่องของครอบครัวแล้วก็ดูเป็นครอบครัวที่ปกติสุขทั่ว ๆ ไป
แต่ในชีวิตวัยเด็กของบราม โคเฮน นั้น มีความผิดปกติที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปอยู่ 2 เรื่อง
ความแตกต่างแรก ก็คือ เขาเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์
ซึ่งเป็นความบกพร่องทางพัฒนาการรูปแบบหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกับผู้ป่วยออทิสติก
นั่นจึงทำให้เขามีปัญหาในการเข้าสังคมและการศึกษาในชั้นเรียนอย่างมาก
8
ความแตกต่างเรื่องที่สองคือ บราม โคเฮน เป็นเด็กที่มีความฉลาด จนอาจจะเข้าขั้นอัจฉริยะ
ในวัย 5 ขวบหรือปี 1980 เขาเริ่มศึกษาเรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานได้แล้ว
โดยมีพ่อของเขาเป็นผู้สอน
ซึ่งนอกจากประเด็นที่ว่าเขามีความสนใจที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปแล้ว
ต้องไม่ลืมว่าในช่วงเวลานั้น ผู้คนทั่วโลกยังรู้จักคอมพิวเตอร์ในฐานะเครื่องคิดเลขขนาดใหญ่เท่านั้น
มีเพียงกลุ่มคนไม่กี่คน ที่สนใจเรื่องของการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์
และเด็กวัย 5 ขวบคนนี้ก็กำลังเริ่มเรียนรู้เรื่องดังกล่าว
1
จากการที่เขามีความเก่งด้านคณิตศาสตร์อย่างมาก ทำให้บราม โคเฮน เคยสอบผ่าน AIME ซึ่งเป็นการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าสู่ค่ายคณิตศาสตร์โอลิมปิกของสหรัฐอเมริกา
1
โดยผู้ที่มีสิทธิ์สอบรายการ AIME ได้นั้น จะต้องมีคะแนนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในกลุ่ม 5% แรกที่ได้คะแนนสูงสุดในประเทศเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม บราม โคเฮน ก็ไม่ได้มีชีวิตที่โดดเด่นมากนัก และเขาเองก็เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เพียง 2 ปี และก็ได้ตัดสินใจลาออก เพื่อเข้าทำงานในบริษัทที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
2
ซึ่งเขาก็มีการเปลี่ยนงานอยู่หลายครั้งด้วยกัน จนกระทั่งได้เข้าทำงานที่ MOJO Nation
1
เป็นธุรกิจสตาร์ตอัป ที่กำลังพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ เพื่อป้องกันการแฮกข้อมูล
1
โดยไอเดียของ MOJO Nation ก็คือพวกเขาจะทำการแบ่งไฟล์ข้อมูลออกเป็นหลาย ๆ ส่วน แล้วกระจายเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่อง ทำให้การขโมยข้อมูลของแฮกเกอร์มีความยุ่งยากมากขึ้น
เพราะต้องเจาะระบบป้องกันของคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องจึงจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์
3
ด้วยไอเดียนี้เองที่จุดประกายให้กับ บราม โคเฮน ในการที่จะสร้างระบบการกระจายศูนย์ข้อมูล
เนื่องจากในช่วงปี 2000 แม้ว่าคอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ต
จะมีการเติบโตอย่างมาก ทั้งจำนวนผู้ใช้งานและขนาดของไฟล์
แต่ด้วยความที่ไฟล์เพลง ภาพยนตร์ และข้อมูลต่าง ๆ มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
และระบบอินเทอร์เน็ตในเวลานั้น ยังล่าช้าและพัฒนาไม่ทัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เราต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก กว่าจะดาวน์โหลดได้สำเร็จ
ในปี 2001 บราม โคเฮน จึงได้เปิดตัวโปรแกรมรุ่นพัฒนาของ BitTorrent ออกมา
ซึ่งหลักการทำงานของเครือข่าย BitTorrent
ก็คือโปรแกรมจะทำการแบ่งข้อมูลที่ถูกอัปโหลดเข้าสู่ระบบออกเป็นหลายส่วน
จากนั้น เมื่อมีผู้ใช้งานดาวน์โหลดไฟล์ดังกล่าวลงเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
โปรแกรมก็จะทำการปรับเปลี่ยนให้เครื่องที่ดาวน์โหลดข้อมูลไป สามารถที่จะส่งออกข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ที่ต้องการดาวน์โหลดข้อมูลเดียวกันได้
4
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หากเราต้องการดาวน์โหลดข้อมูล A ผ่านระบบ BitTorrent
โปรแกรมก็จะดาวน์โหลดข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ที่มีข้อมูล A เหมือนกัน
2
ด้วยเครือข่ายของการรับส่งข้อมูลระหว่างกันนี้เอง
ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลทำได้รวดเร็วกว่าการดาวน์โหลดจากเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพียงเครื่องเดียว
อย่างไรก็ตาม บราม โคเฮน เองเข้าใจดีว่าถึงแม้ตัวโปรแกรมที่ปล่อยออกมาจะสมบูรณ์แบบ และไม่มีปัญหาอะไรเลยในแง่ของการใช้งาน แต่สิ่งที่จะขับเคลื่อนให้โปรเจกต์นี้ประสบความสำเร็จได้ ก็คือการขยายตัวของฐานผู้ใช้งาน
2
เขาจึงได้ร่วมมือกับรูมเมตของเขาที่ชื่อ เลน แซสซาแมน เพื่อก่อตั้งงานประชุมวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า “CodeCon” ขึ้นเพื่อใช้เป็นช่องทางในการนำเสนอโปรเจกต์ BitTorrent ต่อสาธารณะ
แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการกระจายศูนย์ข้อมูล ยังเป็นเรื่องใหม่ในเวลานั้น
ผู้คนจึงยังมองไม่เห็นประโยชน์จากการเข้ามาใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว
ทำให้ บราม โคเฮน ต้องอาศัยตัวล่อเพื่อที่จะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาทดลองใช้งานโปรแกรมของเขา
และตัวล่อที่เขาเลือกใช้ก็คือ “นำภาพยนตร์ผู้ใหญ่” มาปล่อยให้ผู้ใช้งานเข้ามาดาวน์โหลดได้ฟรี
ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าวิธีนี้ จะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม..
7
หลังจากนั้น จำนวนผู้ที่ใช้งาน BitTorrent ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจาก บราม โคเฮน ไม่ต้องการให้บริการของเขากลายเป็นแหล่งของสื่อลามกอนาจาร
ทำให้ไม่นานนักเขาก็ถอดภาพยนตร์เหล่านั้น ออกไปจากเครือข่ายทั้งหมดของ BitTorrent
2
แต่ด้วยจำนวนผู้ใช้งานที่เข้ามา ต่างก็ได้สัมผัสถึงความเร็วของการดาวน์โหลดข้อมูล
ที่เร็วกว่าระบบอื่น ๆ ที่มีในขณะนั้น ทำให้จำนวนผู้ใช้งานของ BitTorrent เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งในปี 2004 บราม โคเฮน ก็ได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
โดยมีน้องชายของเขา และแอชวิน นาวิน ที่เคยทำงานกับ Yahoo และมีประสบการณ์การทำงานในสายการเงินมาก่อน ได้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ BitTorrent สามารถระดมทุน ได้มากถึง 290 ล้านบาทในปี 2005
1
โดยโมเดลธุรกิจที่ บราม โคเฮน ตั้งใจไว้คือการพัฒนาให้ BitTorrent กลายเป็นแพลตฟอร์มสื่อบันเทิง
1
ที่ไม่ว่าจะเป็นค่ายเพลง ซีรีส์ ภาพยนตร์ รวมถึงศิลปินอิสระ ก็สามารถที่จะใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงานของตัวเอง โดยที่ BitTorrent จะเป็นผู้ให้บริการ และคิดค่าธรรมเนียม รวมถึงค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป แม้เครือข่ายของ BitTorrent จะได้รับความนิยมและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงขนาดที่ว่ามีผู้ใช้งานกว่า 170 ล้านคนต่อเดือน และมีปริมาณการใช้ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตคิดเป็นกว่า 40% ของทั้งโลก
 
แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ใช้งานพอเห็นว่า BitTorrent เป็นช่องทางการดาวน์โหลดฟรีได้ แทนที่มันจะกลายเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลขนาดใหญ่ของคนทั่วโลก กลับกลายเป็นว่า BitTorrent เต็มไปด้วยไฟล์เพลง ภาพยนตร์ ละเมิดลิขสิทธิ์..
1
และถึงแม้จะมีการก่อตั้ง BitTorrent Entertainment Network ในปี 2007 เพื่อเป็นหน้าร้านสำหรับภาพยนตร์และเพลง แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมจนสุดท้ายก็ได้ปิดตัวลงในปีต่อมา ทำให้รายได้ของ BitTorrent ในขณะนั้นจึงมีเพียงค่าโฆษณาของสินค้าและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ปรากฏบนหน้าต่างของโปรแกรม เท่านั้น
นอกจากจะไม่สามารถหารายได้ในฐานะแพลตฟอร์มเผยแพร่สื่อบันเทิงแล้ว
BitTorrent ยังโดนรุมฟ้องร้องในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งจากค่ายภาพยนตร์ ค่ายเพลง และค่ายเกม
แต่ BitTorrent ก็รอดจากคดีเหล่านั้นมาได้ เนื่องจาก BitTorrent แย้งว่าเป็นเพียงแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแบ่งปันไฟล์กันเท่านั้น โดยไม่ได้มีการโฆษณาหรือสนับสนุนให้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
1
ทำให้การฟ้องร้องเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ จึงต้องมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่นำไฟล์มาเผยแพร่บนแพลตฟอร์มแทน
1
เมื่อเรื่องทุกอย่างดูไม่เป็นไปอย่างที่ บราม โคเฮน ตั้งใจไว้
สุดท้ายแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจขายบริษัทให้กับ TRON
เจ้าของระบบบล็อกเชนสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน ด้วยมูลค่า 4,600 ล้านบาท
2
หลังจากนั้น บราม โคเฮน ได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ที่มีชื่อว่า Chia Network
3
บริษัทที่พัฒนา Chia เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ในการขุด ซึ่งแตกต่างจากการขุด Bitcoin และ Ethereum ที่ต้องใช้การประมวลผลของการ์ดจอ หรือเครื่อง ASIC ทำให้การขุดเหรียญ Chia จะใช้พลังงานน้อยกว่า
2
ถึงตรงนี้ แม้ว่า BitTorrent จะไม่ได้ประสบความสำเร็จและกลายเป็นบริษัท
ที่มีมูลค่ามหาศาลเหมือนบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังรายอื่น
แต่จากหลักการทำงานแบบกระจายศูนย์
ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับหลักการของคริปโทเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin ในเวลาต่อมา
จึงอาจเป็นไปได้ว่า BitTorrent เป็นแรงบันดาลใจของผู้สร้าง Bitcoin นั่นเอง
2
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ผู้คิดค้นบิตคอยน์ที่ชื่อ ซาโตชิ นากาโมโตะ เคยเปิดเผยว่าเกิดปี 1975
รู้หรือไม่ว่า บราม โคเฮน ก็เกิดปี 1975 เช่นเดียวกัน จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเขาอาจจะเป็นผู้คิดค้นบิตคอยน์ ตัวจริง ก็เป็นได้..
6
โฆษณา