25 มี.ค. 2022 เวลา 07:31 • กีฬา
มีคำกล่าวว่า ออสเตรเลีย ตั้งใจใช้โซนเอเชียเป็นทางผ่านในการเข้ารอบฟุตบอลโลกให้ง่ายขึ้น คำกล่าวนี้เหมือนจะรุนแรง แต่มันก็เป็นจริงตามนั้น วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าที่ไปที่มาตั้งแต่แรก
ถ้าดูตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ ออสเตรเลียตั้งอยู่ในทวีปโอเชียเนีย พอเล่นฟุตบอล FIFA ก็จับพวกเขาไปสังกัดอยู่กับ OFC (สหพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย) ด้วย
แต่พอเล่นไปสักพัก พวกเขาไม่มีความสุข เพราะคู่แข่งใน OFC มีแต่ประเทศเล็กๆ ทั้งนั้น เช่น ฟิจิ, ตาฮิติ, วานูอาตู, ปาปัวนิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอน ฯลฯ คือทีมเหล่านี้ เจอออสเตรเลียทีไร ก็โดนถล่มกันกระจุยทุกครั้ง
คือเอาประเทศทั้งหมดในทวีปโอเชียเนียมารวมกัน ยังมี Size หรือจำนวนประชากรเทียบออสเตรเลียประเทศเดียวไม่ได้เลย ความพร้อมใดๆ ก็ต่างกันมหาศาล แล้วทีมพวกนี้จะเอาอะไรมาสู้
เราจึงเห็นปรากฏการณ์ไล่ถล่มกันทุกปี สถิติสูงสุด คือออสเตรเลียไล่ยิงอเมริกันซามัว 31-0 ซัดจนเท้าระบมกันไปข้าง
การยิงได้เยอะแบบนี้ ฝั่งออสเตรเลียเองก็ไม่ได้ดีใจ เพราะใครๆ ก็บอกว่า เป็นทีมใหญ่ไล่ยำทีมเล็กมันสนุกตรงไหน ภาพลักษณ์ของพวกเขา เลยกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กไปโดยปริยาย
การอยู่ใน OFC ไม่มีอะไรดีเลยสำหรับออสเตรเลีย วงการฟุตบอลโดยรวมก็พัฒนาได้ลำบาก เจอแต่ทีมเล็กๆ ทุกปี นักเตะจะได้ลับฝีมือกับทีมคุณภาพได้อย่างไร
และประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ อยู่โซน OFC ทำให้การไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มันยากจนเกินไป
อธิบายคือ เงื่อนไขของฟีฟ่า OFC จะได้โควต้า 0.5 ทีม พวกเขาต้องหาตัวแทน 1 เดียวของทวีป แล้วไปเพลย์ออฟกับทวีปอื่น บางทีอาจจะเป็น ยุโรป, อเมริกาใต้, เอเชีย หรือคอนคาแคฟ แล้วแต่ว่า OFC จะจับสลากไปเจอใคร
1
ออสเตรเลียยังไงก็ได้แชมป์ OFC อยู่แล้ว อาจจะมีนิวซีแลนด์เป็นก้างขวางคอนิดหน่อย แต่ยังไงก็ชนะอยู่ดี แต่พอไปลงเล่นศึกชิงโควต้า 0.5 ที่นั่งกับทวีปอื่น มันเป็นภารกิจที่แสนสาหัสมาก
ตั้งแต่มีการแบ่งโควต้า 0.5 ทีม จากฟุตบอลโลก 1986 ถึง ฟุตบอลโลก 2002 ออสเตรเลีย แพ้ทุกครั้งแบบ 100%
2
1986 - แพ้ สกอตแลนด์ (UEFA)
1
1990 - แพ้ อิสราเอล (OFC - อิสราเอลขอมาร่วมโซนเป็นกรณีพิเศษ)
1994 - แพ้ อาร์เจนติน่า (CONMEBOL)
1998 - แพ้ อิหร่าน (AFC)
2002 - แพ้ อุรุกวัย (CONMEBOL)
1
ออสเตรเลีย คิดเสมอว่าตัวเองเป็นทีมที่ไม่แย่ คุณภาพของเขาดีกว่าหลายๆ ชาติ ที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยซ้ำ แต่เพราะต้องมาอยู่ใน OFC ที่ได้โควต้า 0.5 ก็เลยหมดสิทธิ์ไปเล่นบอลโลก พวกเขามองว่าเป็นการจัดแบ่งที่ไม่ยุติธรรมเลย
1
แฟรงค์ ฟารีนา เฮดโค้ชทีมชาติออสเตรเลียในปี 2004 กล่าวว่า "4 ปีที่เรารอคอย มันวัดดวงอยู่ที่การเล่น 2 แมตช์ เหย้า-เยือน ในรอบ 7 วัน ถ้าเราเล่นไม่ดีขึ้นมาก็จบ ต้องรอไปอีก 4 ปี แต่ถ้าเราย้ายไปอยู่โซนอื่น เราจะสามารถมีวันที่เล่นไม่ดีได้บ้าง แต่ก็ยังเข้ารอบได้สบายๆ วิธีการแบบนี้ มันเป็นระบบที่ยุติธรรมกับเรามากกว่า"
มุมของออสเตรเลีย คิดว่าอยู่ OFC ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นในช่วงปลายปี 2004 จึงทำเรื่องขอย้ายโซน ไป AFC (เอเชีย) เพราะภูมิศาสตร์อยู่ใกล้กัน
1
คือจะให้ออสเตรเลียย้ายไปอยู่โซนแอฟริกาที่ห่างกันหลายพันกิโลเมตร ก็คงไม่สามารถทำได้
แม้ออสเตรเลียคิดจะย้าย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ เพราะต้องผ่านการเห็นชอบจาก 3 ฝ่าย คือ FIFA, OFC และ AFC
FIFA นั้นไม่มีปัญหา นิโกลาส์ เมนก็อต โฆษกของ FIFA กล่าวว่า "ถ้าสหพันธ์ที่เกี่ยวข้องตอบตกลง และชาติสมาชิกยอมรับ เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องนี้"
ในอดีตที่ผ่านมา FIFA เคยรองรับการย้ายโซนอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น คาซัคสถาน พวกเขามีพรมแดนติดกับสองทวีป คือเอเชีย กับ ยุโรป ในตอนแรกคาซัคสถานก็เล่นอยู่ใน AFC มาตลอดตั้งแต่ได้รับเอกราชจากโซเวียตในปี 1991 แต่พอถึงปี 2002 พวกเขาทำเรื่องขอย้ายไป UEFA เมื่อทั้ง 2 โซน ตอบตกลง การย้ายก็เกิดขึ้น
ในปัจจุบันนี้ คาซัคสถานร่วมแข่งขันในเอเชียนเกมส์ด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องฟุตบอล พวกเขาจะสังกัดในโซนยุโรป
ดังนั้นในเคสของออสเตรเลีย ทั้งสองโซนต้องไปตกลงกันมาให้ได้ ถ้าคอนเฟิร์มปั๊บ FIFA ก็รับรองได้ทันที
ฝั่ง OFC ไม่ค่อยมีปัญหามาก ตรงกันข้าม พวกเขาออกจะดีใจที่ออสเตรเลียจะย้ายออกไป เพราะมันจะได้แข่งขันฟุตบอลกันได้อย่างสูสีซะที ลองคิดดูว่ามีทีมยักษ์ใหญ่หนึ่งทีม ที่คุณไม่มีทางชนะได้ ร่วมลีกอยู่ด้วย มันจะทำให้การแข่งขันน่าเบื่อแค่ไหน
พวกตองกา, หมู่เกาะคุก, ฟิจิ ก็อยากเจอกับทีมในระดับเดียวกันที่สูสีมากกว่า ให้พอได้เชียร์ได้ลุ้น ไม่ใช่มาโดนไล่ถล่ม 10-0 กันทุกปี
1
ส่วนชาติใหญ่ที่สุด ที่เหลืออยู่คือนิวซีแลนด์ ก็แฮปปี้ เพราะเมื่อออสเตรเลียย้ายไปแล้ว เพราะพวกเขาจะมีโอกาสมากที่สุด ที่จะคว้าโควต้า 0.5 ของ OFC แทน
1
ในมุมของนิวซีแลนด์ ถ้าตัวเองย้ายไป AFC ไปเล่นรอบแบ่งกลุ่ม คงไม่ได้เข้ารอบ เพราะคงสู้ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิหร่านไม่ไหว แต่ถ้าเล่นแบบเพลย์ออฟ 2 นัดรู้เรื่อง อาจมีโชคไปจับสลากเจอทีมไม่แกร่งเกิน หรือต่อให้เจอทีมเก่งกว่า ก็ใช้แผนการอุดเต็มที่ อาจสร้างปาฏิหาริย์เข้ารอบได้อยู่
5
กรณีศึกษาคือในฟุตบอลโลก 2010 เมื่อนิวซีแลนด์ จับสลากไปเจอบาห์เรน (AFC) ก็ไม่ใช่คู่แข่งที่แกร่งเกินไป สุดท้ายนิวซีแลนด์ชนะ 2 นัดด้วยสกอร์รวม 1-0 เข้ารอบบอลโลกได้สำเร็จ
ดังนั้น OFC จึงอนุมัติเรียบร้อย ทีนี้เหลือแค่ AFC ว่าจะตกลงไหม
แต่ความเห็นของ AFC แบ่งเป็นสองฝ่าย คือสนับสนุน และ ต่อต้าน
ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่า ออสเตรเลียคือชาติใหญ่ และการได้ทีมระดับนี้มาอยู่ใน AFC ด้วย จะยกระดับการแข่งขันให้สูงขึ้น ทั้งในเอเชียนคัพ และ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก
เอเชียนคัพ มีจัดแข่งมานานแล้ว แต่ไม่ได้รับความนิยมนัก คือสู้ยูโร, โคปาอเมริกา หรือ แอฟริกันเนชั่นส์คัพ ไม่ได้เลย ดังนั้นการมี "บิ๊กทีม" ระดับออสเตรเลีย ที่มีนักเตะอย่างมาร์ก วิดูก้า, แฮร์รี่ คีลล์ หรือ ทิม เคฮิลล์ เพิ่มเข้าไป ย่อมทำให้เอเชียนคัพ เป็นรายการที่น่าดูขึ้น
นอกจากนั้น ออสเตรเลียเป็นชาติที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 10 ของโลก มีสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐาน เคยเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกมาแล้ว การได้ชาติระดับนี้มาอยู่ใน AFC ก็จะทำให้มาตรฐานโดยรวมของทวีปเลเวลอัพขึ้นด้วย
1
แต่แน่นอน ก็มีฝ่ายที่ต่อต้านเช่นกัน เพราะมันแน่ชัดอยู่แล้วว่า ออสเตรเลียตั้งใจจะเข้ามาแย่งสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
2
ณ เวลานั้น เอเชียมีทั้งหมด 45 ชาติ ปกติแล้ว ก็จะมีญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิหร่าน, ซาอุฯ ที่จองโควต้าแทบทุกครั้ง นานๆ ทีจะมี จีน, เกาหลีเหนือ, ยูเออี โผล่มาแว้บๆ
1
ในมุมของชาติกลางๆ ถึงเล็กๆ แค่เจอทีมเหล่านี้ก็แข็งจะตายอยู่แล้ว แล้วถ้ามีออสเตรเลียมาร่วมด้วยอีกชาติ โอกาสที่จะไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แทบจะสลายไปเลย ดังนั้นจึงมีการต่อต้าน ไม่ให้ออสเตรเลียเข้าร่วม
1
ออสเตรเลียก็ต้องพยายามล็อบบี้ชาติสมาชิกอย่างสุดความสามารถ โดยสำนักข่าว ซิดนีย์มอร์นิ่งเฮรัลด์ รายงานว่า ประธานสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย แฟรงค์ โลวี่ และ ผ.อ. จอห์น โอนีลล์ ทำการล็อบบี้ AFC นานถึง 4 เดือนเต็ม โดยให้เหตุผลหลักๆ คือเรื่องการสร้างคุณค่าทางการตลาด AFC จะได้สปอนเซอร์มากขึ้น รวมถึงลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์ก็จะสูงขึ้นด้วย
การล็อบบี้นั้นเกิดขึ้นแน่นอน โดยจุนจิ โอกูระ รองนายกสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสมาชิกฟีฟ่าด้วย ก็ยอมรับตรงๆ ว่า "ออสเตรเลียพยายามล็อบบี้ เพื่อให้ได้ย้ายมาเล่นกับทวีปเอเชีย"
เมื่อมีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย สุดท้ายก็ต้องมาตัดสินกันที่การโหวต 24 มีนาคม 2005 งานประชุมใหญ่ AFC ที่กัวลาลัมเปอร์ ชาติสมาชิกมาหารือร่วมกันว่าจะเอายังไงกับเคสของออสเตรเลีย และเสียงส่วนใหญ่ตอบ "ตกลงให้ย้ายได้"
โมฮาเหม็ด บิน ฮัมมาม ประธาน AFC กล่าวว่า "ดีลนี้มีประโยชน์กับเราทั้งคู่ ออสเตรเลียจะได้ลงแข่งในระดับที่สูงขึ้น ส่วน AFC ก็จะได้ออสเตรเลีย ที่มีมาตรฐานสูง เข้ามาเป็นชาติสมาชิก"
มีข่าวว่า ญี่ปุ่น และ ซาอุฯ ต่อต้านการเข้าร่วมของออสเตรเลียอย่างแรงกล้ามาก เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของออสเตรเลียอยู่ห่างจากชาติอื่นมาก แต่สุดท้ายเมื่อ AFC เลือกแล้ว ก็ได้แต่ต้องยอมรับความจริง และรับออสเตรเลียมาอยู่ด้วยกัน
1
โดยวันที่ย้ายมา Official คือ 1 มกราคม 2006 ขณะที่ทัวร์นาเมนต์แรกที่ออสเตรเลียจะแข่งขันในฐานะสมาชิก AFC คือ เอเชียนคัพ ปี 2007 และ ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2010
ปัญหาที่ทำให้เรื่องนี้เป็นดราม่ามาตลอด คือผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับนั้น "ไม่เท่ากัน" เพราะ ออสเตรเลียได้รับ มากกว่าที่ AFC ได้รับ
1
สิ่งที่ออสเตรเลียได้ มีหลายอย่างมาก เรื่องแรกคือ ฟุตบอลโลก เพราะตั้งแต่ย้ายมา ออสเตรเลียไม่ต้องไปลุ้นเพลย์ออฟอีกแล้ว แต่ได้ลงเล่นรอบแบ่งกลุ่ม 10 นัด
ต่อให้ออสเตรเลียแพ้ ญี่ปุ่น-อิหร่าน สัก 1-2 นัด แต่อีก 8-9 เกมที่เหลือ พวกเขายังมีโอกาสแก้ตัวได้ พอนับแต้มรวมๆ กัน ก็ดีพอจะผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกได้ตลอด
1
ตั้งแต่ออสเตรเลียย้ายมา พวกเขามาแย่งโควต้า 4.5 ที่นั่งของโซนเอเชียไปทุกครั้ง ตั้งแต่บอลโลก 2010, 2014 และ 2018 ออสเตรเลียเก็บเรียบไม่พลาดเลย
เรื่องที่สองคือ เมื่อออสเตรเลียย้ายมาอยู่ AFC แล้ว แปลว่านักเตะจึงได้โควต้าพิเศษในการเล่นลีกเอเชียโดยอัตโนมัติ ในฐานะ "ตัวเอเชีย" นั่นทำให้มีนักเตะหลายคนอิมพอร์ตไปเกาหลีใต้ เช่น อเล็กซ์ วิลกินสัน (ชนบุก ฮุนได มอเตอร์ส) และ ซาซ่า อ็อกเยนอฟสกี้ (ซองนัม)
1
หรือในเจลีก ก็มีหลายคนเช่น มิทช์ ลังเกรัก (นาโกย่า แกรมปัส), มิทเชลล์ ดุ๊ก (ชิมิสึ เอสพัลส์) และ โทนี่ โปโปวิช (ซานเฟรสเซ่ ฮิโรชิม่า)
1
แทนที่ผู้เล่นออสเตรเลียจะต้องไปค้าแข้งในยุโรปอย่างเดียว ก็มีหนทางทำมาหากินในลีกเอเชียได้เพิ่มเติม ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลาง
1
เรื่องที่ 3 พวกเขาได้โปรแกรมแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ได้เจอทีมใหญ่ขึ้นกว่าตอนอยู่ OFC มีโอกาสได้แต้มฟีฟ่าเพิ่มขึ้นจากสมัยก่อน (เพราะชนะพวกตองกา ฟิจิ แต้มจะขึ้นเท่าไหร่กันเชียว)
เรื่องที่ 4 วงการฟุตบอลออสเตรเลียได้ภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมาก จากเดิมเป็นภาพผู้ใหญ่แกล้งเด็กใน OFC แต่พอมาอยู่ AFC ได้เห็นว่าพวกเขาก็เอาชนะทีมใหญ่ๆ ได้ วงการฟุตบอลออสเตรเลีย จึงถูกมองในเชิงบวกมากขึ้นว่ามีคุณภาพเหมือนกัน
และ เรื่องที่ 5 การมาอยู่ใน AFC ได้ลงเล่นในเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ส่งผลให้มีสปอนเซอร์ จากเอเชียเข้ามาซัพพอร์ทสโมสรด้วย เช่น สโมสรเซ็นทรัล โคสต์ มาริเนอร์ส อยู่ๆ ก็ได้สปอนเซอร์ น้ำแร่ยี่ห้อทิเบต สปริง จากฮ่องกงมาเป็นผู้สนับสนุนเฉยเลย เรียกได้ว่าสโมสรในออสเตรเลียก็ร่ำรวยขึ้นจากเดิมเป็นล่ำเป็นสัน
ฝั่งออสเตรเลียได้ทุกอย่าง แต่ฝั่ง AFC ได้สิ่งตอบแทนน้อยมาก เพราะออสเตรเลีย จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีประโยชน์ อย่างเช่น ลงเล่นบอลโลก หรือลงเล่นเอเชียนคัพ
อีกหนึ่งกรณีที่มีการถูกพูดถึงบ่อย คือใน AFC จะเป็นที่รู้กันว่า ทุกชาติต้องลงแข่งทัวร์นาเมนต์ย่อย (Sub-continents) อย่างพวกอาหรับก็จะเตะ กัล์ฟคัพ ญี่ปุ่น-เกาหลี-จีน ก็จะเตะรายการอีสต์เอเชีย ส่วนอาเซียนก็จะเตะ AFF Suzuki Cup
1
ด้วยความที่ภูมิศาสตร์ของออสเตรเลียอยู่ใกล้กับอาเซียนที่สุด จึงต้องเข้าสังกัด AFF แต่พวกเขาก็ไม่เคยลงแข่งใน AFF Suzuki Cup แม้แต่หนเดียว เหตุผลของออสเตรเลียคือ "ไม่เห็นประโยชน์" การเล่นกับชาติในอาเซียนที่อันดับโลกน้อยกว่าตัวเองทุกทีม ลงเล่นไป ชนะก็ไม่ได้ฟีฟ่าแรงค์กิ้งเท่าไหร่ แถมถ้าแพ้ขึ้นมา เสียทั้งแต้ม เสียทั้งหน้า
2
ความเห็นหนึ่งของชาวออสเตรเลีย บอกว่า "ทัวร์นาเมนต์ของอาเซียน ไม่ใช่ฟีฟ่าเดย์ ดังนั้นตัวในยุโรป ก็มาแข่งด้วยไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนโปรแกรมของซูซูกิคัพ แข่งช่วงพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ เอ-ลีก เปิดฤดูกาลพอดี ทำไมเราต้องเลื่อนเกมลีก แล้วไปแข่งในรายการของอาเซียนด้วยล่ะ"
1
ชาติอาเซียนนั้น จริงๆ อยากให้ออสเตรเลียมาแข่ง AFF Suzuki Cup ด้วย เพื่อจะได้ยกระดับมาตรฐานของบอลอาเซียนให้สูงขึ้น ไม่ต้องเอาตัวยุโรปก็ได้ ใช้ตัวเอ-ลีก ก็พอ แต่ยังไงออสเตรเลียก็ไม่ยอมมาอยู่ดี
2
โอเค พวกเขาส่งทีมเยาวชนมาแข่งในรายการพวก u-19 แต่สิ่งที่แฟนบอลอาเซียนอยากเห็นมากกว่าคือทีมชาติชุดใหญ่
เช่นเดียวกับในบอลลีก ที่นักเตะออสเตรเลียได้โอกาสส่งออกไปเล่นต่างแดน แต่ลีกออสเตรเลียเอง กลับไม่ดึงนักเตะเอเชียเข้าไปเลย ในเอลีก ซีซั่นล่าสุด (2021-22) มีนักเตะต่างชาติทั้งหมด 75 คน มีผู้เล่นเอเชียเพียง 8 คนเท่านั้น (ญี่ปุ่น 7 อัฟกานิสถาน 1)
ส่วนเรื่อง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ AFC หวังว่า ทีมจากออสเตรเลีย จะมาทำให้โปรแกรมมันเข้มข้นขึ้น สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่แบบนั้น เพราะพวกออสเตรเลีย ไม่เคยจริงจังเลย พวกเขาส่งทีมอ่อนๆ ลงแข่งขัน ชนะก็ได้ แพ้ก็ไม่เป็นไร
2
ตั้งแต่ปีสโมสรออสเตรเลีย เข้าร่วมเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2007 เชื่อหรือไม่ ว่ามีแค่ 3 ครั้ง เท่านั้นที่มีทีมจากออสเตรเลีย ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในรายการนี้ ส่วนใหญ่ตกรอบแบ่งกลุ่มแบบเป็นบ๊วย หรือไม่ก็แพ้เพลย์ออฟไปเลย
1
บริสเบน รอร์ แพ้บุรีรัมย์ในเพลย์ออฟ ปี 2013 และ แพ้เซเรส-เนกรอส จากฟิลิปปินส์ ในเพลย์ออฟปี 2018 คือเล่นแบบไม่เอาอะไรเลย
จากสิ่งที่เห็นคือ ความใส่ใจที่ออสเตรเลียให้กับบอลเอเชียมันน้อยจริงๆ จึงเกิดคำถามว่าแล้ว AFC ได้อะไรจากการย้ายโซนครั้งนี้
ออสเตรเลียได้สิ่งดีๆ ทุกอย่าง แต่ AFC ไม่ได้อะไรแบบจับต้องได้ แถมมาโดนแย่งโควต้าบอลโลกอีก
ดังนั้นก็ไม่แปลก ที่เวลาออสเตรเลียลงแข่ง จะเกิดปรากฏการณ์ "เชียร์ทีมตรงข้าม" อยู่เสมอ ถ้าสังเกตในฟุตบอลโลกครั้งนี้ กระแสคนเอเชีย มีแต่คนอยากให้ญีปุ่น-ซาอุฯ เข้าไปเป็นตัวแทนทวีป คือยังจะรู้สึกดีกว่าออสเตรเลียได้เข้าไป
1
สำหรับในเวิลด์คัพ 2022 ในที่สุดออสเตรเลียก็เพลี่ยงพล้ำจนได้ เมื่อจบแค่อันดับ 3 ของกลุ่ม เสียโควต้าให้ญี่ปุ่น และ ซาอุฯ ทำให้พวกเขาต้องไปลุ้นเพลย์ออฟอีก 2 รอบ โอกาสยังมีอยู่ แต่ก็ยากมากๆ
1
สิ่งที่สะท้อนออกมา จากการร่วงไปอยู่อันดับ 3 ของออสเตรเลีย นั่นคือชาติเอเชียแสดงให้เห็นว่า ทุกประเทศก็ยกระดับขึ้นมาเหมือนกัน และไม่ได้ห่างชั้นกับออสเตรเลียเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นที่ชนะออสเตรเลียทั้งเหย้า-เยือน แต่ชาติอื่นก็แสดงฝีมือให้เห็นเช่นกัน ซาอุฯ บุกไปเสมอออสเตรเลีย 0-0 ที่ซิดนีย์, จีนยันเสมอออสเตรเลียได้ 1-1, โอมาน ยันเสมอออสเตรเลียได้ 2-2 แม้แต่เวียดนามก็ยังแพ้ออสเตรเลียแค่ 1-0
เราจะเห็นเลยว่า ขนาด จีน, เวียดนาม และ โอมาน เป็นสามทีมที่ตกรอบ แต่พวกเขายังสร้างความลำบากให้ออสเตรเลียได้ขนาดนี้ ไม่ปล่อยให้มาโกยแต้มได้ตามใจชอบ
บอลเอเชียโหดขึ้น เขี้ยวขึ้น ความแตกต่างเรื่องสภาพร่างกาย ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า ที่ออสเตรเลียได้เปรียบมาตลอด ถูกกลบไปด้วยเทคนิคและแท็กติกในเชิงฟุตบอล
ย้อนกลับไปถึงคำที่แฟรงค์ ฟารีนา อดีตกุนซือของออสเตรเลียเคยบอก ว่าถ้าย้ายมา AFC ต่อให้เล่นไม่ดีสัก 1-2 นัด ทีมจิงโจ้ก็ยังดีพอที่จะผ่านเข้ารอบได้สบายๆ ถ้าในอดีตก็อาจเป็นอย่างนั้นจริง แต่ในยุคนี้ ชาติเอเชียพร้อมใจกันพัฒนา และเอาเข้าจริงๆ ปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นรองออสเตรเลียมากมายอะไรนัก
4
ดังนั้นแปลว่า ถ้าหากจากนี้ไปออสเตรเลียไม่ทุ่มเทพลังจนสุดตัว และใส่ความจริงจัง จริงใจ ให้ AFC มากกว่านี้ ไม่มีทางหรอก ที่จะคว้าโควต้าฟุตบอลโลกได้ง่ายๆ แบบนอนมา อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
1
เพราะแม้เอเชียจะไม่ใช่มหาอำนาจเรื่องฟุตบอล แต่ทวีปแห่งนี้ ก็ไม่ใช่ทางผ่านให้ใครมาเอาชนะได้ง่ายๆ เหมือนกัน
 
#PUBLICENEMY
โฆษณา