-แทร็คเปิดอัลบั้มอย่าง Crash ยังคงสร้าง first impression ด้วยวลีคล้องจองในท่อนฮุก ซาวน์ดป็อปยุค 80’s เป็นการ throwback ความพังค์ในยุคอัลบั้ม Sucker ไม่ใช่แค่การย้อนไปสู่สไตล์ที่เธอโด่งดัง ยังสามารถเบรครสชาติ PC Music ทั้งหลายที่ผ่านมาจากผลงานอันมากมายได้ดียิ่งยวดด้วย (ทั้งๆที่เพลงนี้ A.G Cook ก็มีส่วนร่วมแค่นิดหน่อย) ทั้งนี้ในท่อนฮุกแอบซ่อนนัยยะให้คนคิดไปได้หลายทาง ทั้งความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวกับคนเก่า และการส่งสาส์นแบบ goodbye kiss ต่อค่ายที่สิ้นสุดดีลอัลบั้มชุดที่ 5 ด้วย ซึ่งจุดร่วมของการไม่มีอะไรจะเสียชองการทำผลงานบางอย่างเป็นการทิ้งทวน ในขณะที่ไตเติ้ลแทร็คดังกล่าวก็สะท้อนซาดิสม์ ความวายป่วงทางอารมณ์ที่ดันเกิดขึ้นต่อตัวเธอในช่วง post-breakup เช่นกัน
I'm about to crash into the water, gonna take you with me
I'm high voltage, self-destructive, end it all so legendary
Crash
-หลังจากแทร็คใส่ความปะทะครึกโครมเข้าไป pop up เป็นการเกิดใหม่ในเพลง New Shapes อันเป็นนิมิตรหมายครั้งใหม่ของการเป็นอิสระไปพร้อมๆกับ Christine and the Queens และ Caroline Polachek แขกรับเชิญที่เธอสนิทสนมมาเป็นสามประสานยืดอกกันครั้งแรก Good Ones เพลงป็อปสูตรคล้ายๆ Max Martin ทั้งๆที่โปรดิวซ์โดย Oscar Hotler เป็นซิงเกิ้ลแรกเปิด era ใหม่ที่พอบ่งบอกความ back to basic ได้เป็นอย่างดี แอบซ่อนความแสบซ่าที่คนดีๆอย่าได้ไปตกหลุมรักเชียว ปล่อยเธอไปดีกว่า
-Move Me มู้ดเพลงอึมครึมของคนเทาๆที่ไม่รู้ตัวว่า ชั้นทิ้งเธอไปได้ไง? Baby ซิงเกิ้ลที่ 4 เป็นป็อปแดนซ์สนุกๆที่ปรับจูนให้ชิคกว่า จังหวะคุ้นเคย เกิดมาชวนเต้น TikTok อย่างเห็นได้ชัด ถ้ายกให้ลูกเล่นแพราวพราวที่สุดต้องเป็นเพลง Lightning อินโทรเพลงโคตรอีโม ชวนระลึกถึงยุค True Romance แต่การใส่ฟ้าร้องโครมๆ สปาร์คผมอย่างแรง ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนผมมั้ย ชอบการออกแบบการร้องแบบรวบคำในท่อนฮุก So tell me what you want and I'ma give it to ya ซึ่งแม่งเท่ห์มาก แบบว่าเห้ย ไม่คิดว่าจะลงล็อคอ่ะ
-สำหรับแทร็คแถมเวอร์ชั่น Deluxe ที่เพิ่งแอดเข้ามาสดๆร้อนๆ มีทั้งแทร็คที่ชอบบ้างไม่ชอบบ้างครึ่งต่อครึ่งเลยครับ แต่แฝงประเด็น self-struggle พอสมควร โดยสองแทร็คแรกจัดอยู่ในโหมดเฉยๆ เริ่มจาก Selfish Girl ซาวน์ดวูบวาบที่แอบซ่อนประเด็น self-conscious สำรวจด้านมืดตัวเองที่มักจะให้โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา จนบางทีก็อยากแก้เหมือนกัน How Can I Not Know What I Need Right Now ชื่อยาวได้โล่ แต่ท่อนฮุกค่อนข้างเชยระเบิดเลยฮะ เล่นกับความคิดเซ็งโลกที่ต่อให้ผ่านแสงสีเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเติมเต็มได้เลย
-Sorry if I Hurt You เพลงที่เกือบจะได้เป็นไตเติ้ลแทร็ค เนื่องจากเดิมทีก่อนที่จะมาเป็นชื่ออัลบั้มนี้ เธอคิดจะใช้ชื่อนี้เป็นชื่ออัลบั้มอยู่เหมือนกัน แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ตัดสินใจลงเอยที่ Crash เพราะเพลงนั้นสื่อสารได้มากกว่า จะว่าไปเพลงนี้กลับเป็นเพลงที่จัดอยู่ในหมวดฟังแล้วคลิ๊กมากกว่าในกลุ่มเพลงแถม อินโทรที่ให้บทบาทเครื่องสายได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนความละเหี่ยใจบ้าง แน่นอนว่ามันเป็นการจบความสัมพันธ์ที่ไม่สวยมากนัก ปิดท้ายด้วยเพลงจังหวะสนุกพอดึงความรู้สึกดาวน์ๆจากเพลงก่อนขึ้นมาบ้าง แปรเปลี่ยนมาเป็นการชูนิ้วกลางใส่ haters จนกลายเป็นเพลงเย้ยหยันชวนนึกถึง Nicki Minaj ในเพลง What You Think About Me เปรียบเปรยได้ซาดิสม์ เลือดตกยางออกจนภาพหน้าปกเวอร์ชั่น Deluxe ลอยขึ้นมาทันที
-เป็นอัลบั้มสั่งลาค่ายเก่าที่ยอมลดความจัดจ้านทางลูกเล่นเพียงเพื่อให้เกียรติค่ายซักนิดก่อนที่จะโบยบินอย่างอิสระ ตั้งแต่ที่ผมได้รีวิวทั้ง Pop 2 และ Charli เนี่ย ผมก็นึกไม่ออกจริงๆว่ะว่าเธอจะสรรหาความแปลกใหม่ของเพลงป็อปได้มากขนาดไหนเชียว future pop ที่เธอทำได้อย่างสุดโต่งไปแล้ว มันจะมีอะไรที่ใหม่กว่านี้อีกมั้ย เป็นภาพที่ผมนึกไม่ออกจริงๆ สำหรับ how i’m feeling now เป็นอัลบั้มโชว์เก่ง challenge ตัวเองโดยอิงบริบทล็อคดาวน์ ทุกสิ่งอย่างขับเคลื่อนด้วยออนไลน์ มันเลยกลายเป็นเสน่ห์ของไอเดียสดใหม่ ความเป็นตัวแทนอัลบั้มในยุคล็อคดาวน์โควิด-19 ในแบบที่น้อยคนจะทำ และปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าเธอเก่งพอที่จะทำให้มัน catchy ด้วยไอเดียที่ผุดขึ้นมาในระยะเวลาเพียงไม่นาน ได้โอกาสก็ลงมือเลย