27 มี.ค. 2022 เวลา 00:12 • หนังสือ
ไม่จุดตะเกียงเพราะสงสารตัวชีปะขาว
1
ฉากหนึ่งในหนังที่ผมจดจำได้คือตัวละครซึมเซานั่งไถหน้าจอเฟซบุ๊กแล้วกดไลก์ กดหัวใจ ส่งยิ้มเพื่อยินดีกับ ‘ชีวิตที่ดี’ ของเพื่อนพ้องที่แสดงผ่านโลกโซเชียลมีเดีย เที่ยว กิน ดื่ม ออกกำลังกาย ความสำเร็จด้านการงาน รางวัลของเขา รางวัลของลูก สุขภาพของพ่อแม่ ฯลฯ
2
เป็นฉากเศร้าที่สุดฉากหนึ่ง
ในบางวันเราอาจเป็นตัวละครนี้ โดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางความสุขสันต์ของผู้คนที่หลั่งไหลผ่านตาจนท่วมทะลักหัวใจ
ไม่ใช่ความผิดใดๆ ของผู้มีชีวิตอันเป็นสุขที่แสดงออกและบันทึกไว้ในพื้นที่ของพวกเขา เพราะอันที่จริงแล้วในบางวันเวลาเขาก็เป็นตัวละครซึมเซานั่งกดไลก์เหงาๆ เซ็งๆ เช่นกัน
ทว่า ที่น่าสนใจคือธรรมชาติของระบบความสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกันแบบไม่เห็นหน้าที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งแสดงออกโดยมิได้รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่าย ว่าง่ายๆ คือเหมือนคุณขึ้นไปยืนบนเวทีโดยไม่รู้ว่าใครจะเห็น ‘การแสดง’ ของคุณบ้าง มิได้มีเจตนาร้าย เพียงแสดงไปบนพื้นที่ของฉัน
1
คำว่า ‘พื้นที่ของฉัน’ ก็น่าสนใจ เพราะพื้นที่บนโซเชียลมีเดียทำให้เส้นแบ่งระหว่าง ‘พื้นที่ส่วนตัว’ กับ ‘พื้นที่สาธารณะ’ พร่าเลือน แน่ละ มันเป็นพื้นที่ของเรา แต่ขณะเดียวกันมันก็ฉายภาพออกไปอยู่ในพื้นที่ของคนอื่นพร้อมๆ กันด้วย ในแง่หนึ่งจึงเป็น ‘พื้นที่ระหว่างเรา’ อย่างปฏิเสธไม่ได้ นอกจากคุณจะตั้งโหมด Only Me
3
ธรรมชาติเช่นนี้แตกต่างจากการพบเจอกันซึ่งๆ หน้า ตัวเป็นๆ มองเห็นแววตากันและกัน เพราะในโลกแบบเดิมเราปฏิสัมพันธ์กันแบบสองทาง คนหนึ่งพูดมา อีกคนแสดงสีหน้าท่าทางแล้วตอบสนอง คนที่พูดก็ปรับเปลี่ยนเนื้อหาและท่าทีให้ไปกันได้ดีกลมกลืน เช่น ถ้าคุณมีความสุขร่าเริงมากในวันนี้แต่กลับพบว่าเพื่อนคุณซึมเซา คุณย่อมลดอาการร่าเริงนั้นลงเพราะเห็นใจเพื่อน นี่คือธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติของความสัมพันธ์
8
แต่โซเชียลมีเดียไม่เปิดโอกาสให้เราเห็นอารมณ์ของผู้คนที่กำลังสื่อสารด้วย ถ้าเห็นก็ไม่ทั้งหมด เราจึงแสดงออกกันสุดเหวี่ยงตามใจชอบ (ซึ่งไม่แปลกและไม่ผิด) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมักตกอยู่กับ ‘ฝ่ายรับสาร’ ซึ่งก็คือพวกเราทุกคนนั่นเองที่แวดล้อมไปด้วยโลกแห่งความสุขความสำเร็จและชีวิตที่ดีในดีกรีที่แทบสำลัก
นั่นไม่ใช่ภาวะที่ดีนัก ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่ดีต่ออารมณ์
5
2
สุภาษิตจีนกล่าวว่า “เหลือข้าวให้หนูกินอยู่เสมอ ไม่จุดตะเกียงเพราะสงสารตัวชีปะขาว”
นี่คือภาษิตที่คิดถึงการอยู่ร่วมกับคนอื่นสิ่งอื่นมากกว่าคิดเฉพาะมุมตัวเอง สองประโยคนี้ฉายให้เห็น ‘พื้นที่ระหว่างเรา’ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิต
1
ทุกพื้นที่ที่เรากำลังใช้ชีวิตล้วนปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอื่นและสิ่งอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การกระทำของเรากระทบคนอื่นเหมือนคลื่นบนผิวน้ำ หนึ่งการกระทำสั่นสะเทือนใครบางคนได้ทั้งร้ายและดี ในโลกยุคนี้ เรื่องดีของเราสามารถสร้างความซึมเศร้าให้คนอื่นได้โดยไม่รู้ตัวและไม่ตั้งใจ
3
ในโลกหมุนไว เป็นโอกาสดีที่จะย้อนกลับไปมองคำสอนในยุคสมัยที่ผู้คนต้องห่วงใยความรู้สึกของกันและกัน เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
2
กินข้าวจะมูมมามอยู่คนเดียว ไม่เหลือแบ่งใครเลยก็คงไม่ดีนัก จะจุดตะเกียงเพื่อส่องแสงสว่างให้ตัวเองโดยไม่คิดถึงแมลงเล่นไฟที่พอบินเข้ามาเล่นแล้วจะร่วงตายจากนั้นไม่นาน ย่อมเป็นการกระทำที่คิดเผื่อคนอื่นน้อยไปสักหน่อย
3
ขงจื่อ-ปราชญ์จีนคนสำคัญเองเมื่อกินข้าวข้างคนที่เป็นทุกข์ก็จะไม่กินจนอิ่ม สื่อถึงการแสดงออกที่ระแวดระวังว่าจะกระทบอารมณ์คนรอบข้างอยู่เสมอ เช่นกันกับการไม่แสดงความร่าเริงในงานศพ
6
3
1
ในยุคสมัยที่เราตื่นมาแล้วหยิบจับโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ที่มีหน้าจอเป็นสิ่งแรก ใช้เวลาอยู่กับการจดจ้องซึมซับชีวิตและความคิดคนอื่นแทบทุกวินาที เรามีโอกาสเป็นทั้งผู้จุดตะเกียงส่องสว่างให้คนหันมาดู และมีโอกาสเป็นตัวชีปะขาวที่ถูกล่อไปบินวนใกล้ไฟแล้วสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงไปจากทุกข์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว
2
เพราะ ‘พื้นที่’ ในโลกยุคใหม่ไม่เปิดโอกาสให้เราได้เห็นอารมณ์ของคนที่กำลังสื่อสารด้วย มากไปกว่านั้น เราไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากำลังสื่อสารกับใคร เพียงโยนเรื่องราวของตัวเองลงไปในกระดานข่าว เพียงขึ้นไปโลดแล่นบนเวทีที่มองไม่เห็นคนดู ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในใจคนดูจึงถูกละเลย พร้อมๆ กับความละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์
5
ส่วนตัวแล้วผมให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันระหว่างเพื่อนพี่น้อง โดยเชื่อว่าสัมพันธ์ที่ดีเกิดจากการเห็นอกเห็นใจกันและกันอยู่เสมอ ในแง่หนึ่ง ความสำเร็จ ความสุข ความพึงพอใจ หากแสดงออกอย่างพอเหมาะพอดีย่อมมีผู้คนชื่นชมยินดีไปกับเรา ในอีกแง่ หาก ‘ชีวิตที่ดี’ เหล่านั้นเฉิดฉายส่องสว่างออกมาตลอดเวลา บางทีก็แสบตาเพื่อนฝูง แทนที่จะชื่นชมยินดีอาจกลายเป็นหมั่นไส้อิจฉาริษยาก็เป็นได้
3
แน่ละ เราไม่สามารถควบคุมความคิดใครได้ ทว่าที่ควบคุมได้คือพฤติกรรมของเรา ซึ่งพฤติกรรมล้วนแสดงออกมาจากฐานความคิดของแต่ละคน ทุกคนเลือกได้ในสิ่งที่ตนคิดและเชื่อ
3
ผมเลือกเก็บสะสมความรู้สึกที่ดีที่เพื่อนมีต่อเรา ซึ่งอาจแลกกับการลดทอนการแสดงออกที่เรารู้สึกดีกับชีวิตตัวเองลงบ้าง ผมคิดว่าเป็นการกระทำที่น่ารัก
“เหลือข้าวให้หนูกินอยู่เสมอ ไม่จุดตะเกียงเพราะสงสารตัวชีปะขาว”
2
เพราะบางคราวเราก็เป็นหนู
 
และบ่อยไปไม่ใช่หรือที่เราเป็นตัวชีปะขาวที่บินรอบแสงสว่างของคนอื่นทั้งวันแล้วในช่วงเงียบเหงาก็ร่วงผล็อยลงที่พื้น ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะฟื้นคืนความรู้สึกดีต่อตัวเองขึ้นมาได้อีกครั้ง
4
บางทีโซเชียลมีเดียก็ส่องสว่างเกินไปจากความสุขความสำเร็จของผู้คน
1
หรี่ตะเกียงลงบ้าง จะเกิด ‘พื้นที่ระหว่างเรา’ ที่น่าอยู่ขึ้น
6
โฆษณา