27 มี.ค. 2022 เวลา 05:15 • หนังสือ
สร้างอิสรภาพทางการเงินในแบบ ‘โรเบิร์ต คิโยซากิ’
โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert T. Kiyosaki) เกิดเมื่อปี ค.ศ.1947 ในสหรัฐอเมริกา บทบาทของเขาที่คนทั่วไปรู้จักนั้นเป็นทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน นักเขียน และวิทยากร ผู้ที่คลุกคลีติดตามข่าวสารอยู่ในแวดวงการเงิน การลงทุน คงจะคุ้นเคยชื่อเสียงเรียงนามของ ‘คิโยซากิ’ บ้างไม่มากก็น้อย เพราะเขาคือผู้เขียนหนังสือชุด "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad, Poor Dad) และ "เงินสี่ด้าน" (Cashflow Quadrant) ที่เป็นกระแสโด่งดังนั่นเอง!! อีกทั้งเขายังเป็นผู้คิดค้น "บอร์ดเกมส์กระแสเงินสด" (Cash flow board) เครื่องมือซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ในเรื่องการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคลผ่านเกมส์กระดานที่ฮือฮาไม่แพ้หนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาเลย
โรเบิร์ต คิโยซากิ และภรรยาของเขาเป็นแบบฉบับของบุคคลที่ให้ความสำคัญกับความพยายามในการ “รวยเร็ว เกษียณเร็ว” (ซึ่งเป็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยอีกเล่มหนึ่งของเขาเช่นกัน) คิโยซากิคิดเห็นว่า “ช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์นั้นสั้นเหลือเกิน” ยังมีอะไรที่อยากทำอีกตั้งมากมาย ฉะนั้นแล้วเขาและภรรยาจึงคิดว่าสิ่งที่วัยรุ่นหรือมนุษย์เงินเดือนทั่วไปควรให้ความสำคัญมากที่สุดในช่วงชีวิตที่อายุยังไม่มากก็คือ "ความพยายามในการสร้างอิสรภาพทางการเงิน" เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้ชีวิต โดยมีข้อแม้ว่าอิสรภาพที่ได้รับนั้นต้องมั่นคงและรวดเร็ว
นัยความหมายของประโยคดังกล่าวนี้ สิ่งที่เขากำลังพยายามบอกคุณก็คือ “คุณควรทุ่มเทเวลาที่มีนอกเหนือไปจากงานประจำ (นิยามของการทำงานประจำในทัศนะของคิโยซากิคือ 'การทำงานเพื่อให้คนอื่นรวย') ซึ่งมันจำเป็นต่อรายได้เพื่อการดำรงชีวิตของคุณในวันนี้ มาศึกษาหาความรู้ทางการเงิน และเริ่มต้นทดลองลงมือกระทำบางสิ่งเพื่อ “ให้ตัวเองรวย” บ้างในอนาคตข้างหน้า
การสร้างอิสรภาพทางการเงินอย่างมั่นคงและรวดเร็วในแบบ 'โรเบิร์ต คิโยซากิ' นั้นเป็นอย่างไร เราจะเริ่มต้นอย่างไรล่ะ? อิสรภาพอันหอมหวลนั้นมีมุมมอง ทัศนคติ วิธีการ และขั้นตอนอย่างไร บทความนี้ผู้เขียนได้สรุปและเรียบเรียงอย่างกระชับชัดเจนมาเพื่อคุณแล้ว เราลองมาเริ่มต้นค่อยๆเรียนรู้ที่จะ “ทำและคิดแบบคนรวย” ไปพร้อมๆกันนะครับ
“เริ่มต้นพัฒนาความรู้ทางการเงิน 4 ข้อ”
1. ความรู้ด้านบัญชี
คุณควรทำความเข้าใจวิธีการอ่านงบการเงินเบื้องต้น เข้าใจตัวเลขทางบัญชี เพื่อทราบจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อวิเคราะห์แยกแยะว่าสิ่งใดคือความคิดเห็น และสิ่งใดคือข้อเท็จจริงทางการเงิน
2. ความรู้ด้านการลงทุน
กล่าวสั้นๆก็คือ คุณควรศึกษากลยุทธ์ รูปแบบ และวิธีการ “ใช้เงินทำงาน”
3. เข้าใจภาพรวมของตลาดการเงินและเศรษฐกิจ
คุณควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง “อุปสงค์และอุปทาน” (Demand & Supply) และผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มผู้บริโภค อะไรคือตัวขับเคลื่อนความต้องการของลูกค้า เหตุเพราะมุมมองด้านเศรษฐกิจนั้นส่งผลต่อแนวทางการลงทุน คุณจะสามารถวิเคราะห์การลงทุนแต่ละวิธีการ ว่าเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ ในแต่ละช่วงเวลาใด และอย่างไร
4. ความรู้ด้านกฎหมายภาษี
สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ และความคุ้มครองทางกฎหมาย (เกี่ยวกับบริษัทจำกัด) คุณควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎกติกา เพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
“เมื่อพัฒนาความรู้ทางการเงินมาในระดับหนึ่งแล้ว ก็จงมุ่งมั่นในการสร้างทรัพย์สิน!!!”
ทรัพย์สินคือ “สิ่งที่สร้างรายรับ” สิ่งที่สร้างกระแสเงินสดตรงเข้ากระเป๋าของคุณอย่างสม่ำเสมอ “จงมุ่งมั่นซื้อและเพิ่มพูนทรัพย์สิน”
หนี้สินคือ “สิ่งที่สร้างรายจ่าย” สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋าของคุณ “จงหลีกเลี่ยง ลด และควบคุมหนี้สิน”
“ในระหว่างทางที่คุณยังเดินไปไม่ถึงเป้าหมายด้านอิสรภาพทางการเงินอันหอมหวานนั้น จงทำงานประจำของคุณต่อไปให้ดี รับผิดชอบให้เต็มที่ แต่จงคิดถึงธุรกิจตลอดเวลา จงแบ่งเวลามาสร้างทรัพย์สินให้กับตัวเองด้วย ไม่ใช่หนี้สิน”
“จงมุ่งมั่นสร้างและครอบครองทรัพย์สิน” ในเบื้องต้น คุณควรลดรายจ่ายและหนี้สินที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้เหลือน้อยที่สุด และหันมาให้ความสำคัญกับการครอบครองทรัพย์สิน เช่น ธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของ ไม่ต้องนั่งเฝ้าหรือลงมือบริหารด้วยตนเองตลอดเวลา การลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หรืออสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ ไปจนถึงตั๋วสัญญาใช้เงิน ค่าลิขสิทธิ์ สิ่งใดก็ตามที่คุณสนใจและมีความถนัด ในข้อแม้ที่ว่ามันจะต้องเป็น “สิ่งที่มีมูลค่า” สร้างรายได้หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเวลาและที่สำคัญคือมันต้องมีตลาดรองรับ
ทำความเข้าใจคำนิยามของ "ทรัพย์สิน" และ "หนี้สิน" ให้ถ่องแท้ จากคำนิยามข้างต้น คุณจะสังเกตจากกรณีศึกษาหนึ่งได้ว่า "บ้านที่คุณกำลังผ่อนอยู่ทุกเดือน" ไม่ใช่ทรัพย์สินของคุณหรอกนะ!!! แต่เป็นทรัพย์สินของธนาคารต่างหากล่ะ
เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าบ้านหลังนี้ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋าของคุณจากค่างวดผ่อนชำระในแต่ละเดือน ซึ่งมันเข้าข่ายเป็น "หนี้สิน" ต่อให้เมื่อถึงวันที่คุณผ่อนชำระไปหมดสิ้นแล้ว บ้านถูกโอนมาเป็นชื่อของคุณอย่างเป็นทางการ คุณได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นอย่างถาวร ปลดหนี้สักทีนะครับ แต่!! มันก็ไม่ใช่ "ทรัพย์สิน" ในนิยามของคิโยซากิอยู่ดี เพราะบ้านหลังนั้นไม่ได้สร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอให้คุณเลย มีแต่รายจ่ายทั้งนั้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทำความสะอาด ค่าใช้จ่ายปรับปรุงซ่อมแซมต่างๆ
(กรณีบ้านเช่าก็คงจะเข้านิยามทรัพย์สินของคิโยซากิได้แล้ว แต่คุณต้องตรวจสอบให้ดีว่ากระแสเงินสดในแต่ละเดือนต้องเป็นบวกนะครับ นั่นคือรายรับมากกว่ารายจ่าย)
“ทรัพย์สินอันทรงพลังที่สุดคือความคิด” ความฉลาดทางการเงิน ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไร โอกาสก็จะวิ่งเข้ามาหา เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างเฉียบคม ความเสี่ยงจะกลายเป็นสิ่งที่คุณรับมือได้เพื่อแลกกับผลตอบแทนสูงๆ เพราะการลงทุนที่คิดแต่เพียงว่าขอให้ปลอดภัยไว้ก่อนนั้นแทบไม่ให้ผลตอบแทนอะไรเลย เพราะฉะนั้นแล้ว “จงหมั่นเพาะเมล็ดพันธุ์ในทรัพย์สิน”
คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินก็ต่อเมื่อ กระแสเงินสดจากทรัพย์สินนั้นครอบคลุมและมากกว่ารายจ่ายรวมถึงหนี้สิน เมื่อเดินทางผ่านสมรภูมิรบอันยาวไกลมาจนถึงจุดนี้ คุณจะยังทำงานประจำอยู่ต่อไป หรือจะไม่ทำก็ได้ ชีวิตคุณจะมีทางเลือกมากขึ้น อิสระในการเลือกใช้ชีวิตนั้นมันช่างวิเศษจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว “คุณมีอิสระ แต่ยังไม่รวย” ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและเป้าหมายของแต่ละปัจเจกบุคคล การใช้ชีวิตโดยปราศจากข้อกังวลด้านภาระทางการเงินมันจะเป็นอย่างไร คุณคงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
เป้าหมายต่อไปคือการนำกระแสเงินสดส่วนเกิน ย้อนกลับไปลงทุนต่อในทรัพย์สินให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทำเช่นนี้ รายได้ก็จะเติบโตขึ้นด้วย
กระบวนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Reinvestment) จุดสำคัญที่แยกระหว่างคนทั่วไปและผู้มุ่งมั่นออกจากกันนั้นอยู่ที่ตรงนี้ล่ะครับ กระบวนการเช่นนี้จะส่งผลให้คุณ “มั่งคั่งและร่ำรวย”
“ทำความเข้าใจเรื่องรายได้”
รายได้ทางบัญชีมีอยู่ 3 ประเภท คือ รายได้จากเงินเดือน รายได้จากพอร์ตการลงทุน และรายได้จากทรัพย์สิน
กุญแจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งคือ “ความสามารถในการเปลี่ยนรายได้จากการทำงาน ให้กลายเป็นรายได้จากทรัพย์สินและพอร์ตการลงทุนให้มากและเร็วที่สุด” (เผื่อคุณยังไม่ทราบว่า รายได้จากการทำงานนั้นเสียภาษีมากกว่ารายได้จากทรัพย์สิน)
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าทั้ง 2 เป้าหมาย (การมีอิสรภาพทางการเงินและความร่ำรวยมั่งคั่ง) จะสำเร็จได้โดยการมุ่งมั่นสร้างทรัพย์สินที่เพิ่มรายได้และกระบวนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อใดก็ตาม หากคุณอยากยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองด้วยการเพิ่มภาระรายจ่ายและหนี้สิน เช่น กินอาหารแพงๆ ไปเที่ยวสถานที่หรูๆ รถยนต์คันใหม่ หรือบ้านหลังโต สิ่งแรกที่คุณควรทำไม่ใช่การจ่ายเงินออกไปทันที แต่คือการหาหนทางเพิ่มทรัพย์สินให้เทียบเท่าหรือมากกว่าภาระหนี้สินเหล่านั้น “เหตุผลสำคัญก็เพื่อรักษาระดับความมั่งคั่งเอาไว้ต่อไป”
“คุณสมบัติที่ดีต่อการประสบความสำเร็จ 3 ประการ”
1. “ยึดมั่นในทัศนคติและแผนการระยะยาว” คุณต้องเชื่อมั่นในความฝัน จินตนาการ และเป้าหมาย เชื่อว่าตัวคุณเองจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด หากทุ่มเทพยายามเพียงพอ
2. “เชื่อมั่นที่จะการเลื่อนความพึงพอใจ ณ ปัจจุบัน ออกไปในอนาคต” คุณต้องยอมเสียสละบางสิ่งในระยะสั้นเพื่อความสำเร็จระยะยาว
3. “ใช้พลังการทบต้นของเงินให้เป็นประโยชน์” เรียนรู้เรื่องพลังดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) ว่ามันน่าอัศจรรย์เพียงใด เหตุใด ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ (Albert Einstein) จึงยกย่องสิ่งนี้ให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก
“7 ขั้นตอน วิถีปฏิบัติสู่เส้นทางด่วนทางการเงิน”
1. “ใส่ใจสินทรัพย์ของตนเอง!!”
คุณควรจัดทำงบการเงินส่วนบุคคลและวางเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว เช่น คุณต้องการเพิ่มกระแสเงินสดรับที่เป็นรายได้จากสินทรัพย์โดยไม่ต้องทำงานประจำ เป็นจำนวนเท่าไรต่อเดือน? และคุณต้องการที่จะมีเครื่องมือการลงทุนชนิดใดอยู่ในพอร์ตสินทรัพย์ของตนเองบ้าง? (เพื่อให้รู้เท่าทันปัจจุบันและกำหนดทิศทางอนาคต โดยเบื้องต้นคุณอาจเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายทางการเงินในช่วงระยะ 1 ปี และ 5 ปี นับจากวันนี้)
2. “ควบคุมกระแสเงินสด”
คุณควรดูแลควบคุมการใช้จ่ายและหนี้สิน ลดภาระผูกพันให้เหลือน้อยที่สุด อย่าใช้ชีวิตเกินฐานะปัจจุบันของตนเอง หลังจากที่คุณได้เพิ่มสินทรัพย์ให้มากขึ้นแล้วจึงค่อยยกระดับฐานะในภายหลังก็ยังไม่สาย เริ่มต้นจากการทบทวนงบการเงินส่วนบุคคล แล้วระบุว่ารายได้ของคุณมาจากด้านใดของ “เงินสี่ด้าน” (ดูภาพประกอบที่ 3 ใน Comment) จากนั้นจึงวางแผนว่าภายใน 5 ปี นับจากนี้ คุณอยากให้รายได้ส่วนใหญ่มาจากด้านใดของเงินสี่ด้าน (โปรดอย่าหลงลืมว่าเมื่อมีรายได้เข้ามาเมื่อไร คุณต้องจัดสรรมาเก็บออมและลงทุนก่อน เมื่อเหลือจากการเก็บออมลงทุนแล้วจึงค่อยนำมาใช้จ่าย สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลยคือ “อย่าสร้างหนี้สินถ้าไม่จำเป็น”)
3. “รู้ความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงกับการสุ่มเสี่ยง”
คุณต้องควบคุมความเสี่ยงด้วยความรู้ทางการเงิน การทำธุรกิจหรือการลงทุนไม่ได้เสี่ยงได้ด้วยตัวมันเอง แต่ “ความไม่รู้คือความเสี่ยง” คุณควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินและหนี้สิน ทุ่มเทฝึกฝนตนเองจนกว่าจะสามารถมองเห็นธุรกรรมทางการเงินต่างๆขึ้นมาเป็นภาพในหัวว่า “เงินสดนั้นไหลเวียนจากที่ใด ไปสู่ที่ใด” สำหรับการทำธุรกิจและการลงทุนนั้น “ทิศทางของกระแสเงินสดคือทุกสิ่งทุกอย่าง”
4. “พยายามเป็นนักลงทุนที่มองเห็นปัญหา”
คุณควรเรียนรู้ทักษะการสร้างและเป็นเจ้าของธุรกิจ เพื่อประสบการณ์บริหารและการมีกระแสเงินสดรองรับเวลาที่เศรษฐกิจผันผวน “ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ” การพัฒนาทักษะด้านการสร้างธุรกิจและแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ จะส่งผลต่อยอดให้คุณเป็น “นักลงทุนที่ฉลาดและมีกระแสเงินสดเหลือเฟือ”
เริ่มต้นด้วยการสร้างความเชี่ยวชาญแบบ “นักลงทุนระดับ 4” ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระดับ 5 ด้วยวิธีการดังนี้
• เข้าร่วมสัมมนาและอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องด้านการเงิน การลงทุน
• เฝ้ามองหาป้ายประกาศขายบ้านในบริเวณที่คุณอาศัยอยู่ โทรศัพท์ไปถามคำถามบางอย่างกับนายหน้าซื้อขาย เช่น นี่เป็นบ้านเพื่อการลงทุนรึเปล่า? ปัจจุบันมีคนเช่าอยู่รึเปล่า? อัตราค่าเช่าปัจจุบันเป็นอย่างไร? อัตราการปล่อยเช่าปัจจุบันเป็นอย่างไร? อัตราค่าเช่าเฉลี่ยในพื้นที่ ค่าบำรุงรักษา หนี้สินคงค้าง เงื่อนไขทางการเงินอื่นๆเป็นอย่างไร? และฝึกฝนคำนวณงบกระแสเงินสดรายเดือนสำหรับบ้านแต่ละแห่ง (ข้อนี้สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์)
• ติดตามอ่านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ (หุ้น) จากโบรคเกอร์หลายๆแห่ง ลองสังเกตดูว่าเขาแนะนำหุ้นบริษัทใด จากนั้นจึงไปค้นคว้าเจาะลึกบริษัทนั้นและเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินก้อนเล็กๆ (สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนในหุ้น)
• อ่านหนังสือ และติดตามสื่ออื่นๆด้านการเงิน การลงทุน
• ลองออกจากบ้านไปพบปะนายหน้าธุรกิจ เพื่อดูว่ามีธุรกิจอะไรเสนอขายกิจการอยู่ใกล้ๆบ้านของคุณ การทำเช่นนี้นั้นสามารถทำให้คุณได้เรียนรู้ศัพท์เฉพาะทางมากมาย
5. “หาพี่เลี้ยงเพื่อขอคำปรึกษา และหาบุคคลต้นแบบทั้งด้านดีและด้านแย่” เพื่อที่คุณจะได้เรียนรู้จากเส้นทางชีวิตของพวกเขาว่าคุณควรทำ หรือไม่ควรทำอะไร?
• ค้นหาบุคคลต้นแบบที่อยู่ในแวดวงธุรกิจและการลงทุน เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์พวกเขา
• อนาคตของคุณขึ้นอยู่กับคนที่คุณคลุกคลีด้วย (ลองลิสต์รายชื่อมา 6 คนที่คุณใช้เวลาอยู่กับพวกเขามากที่สุด)
• ในรายชื่อ 6 คนนั้น ให้คุณระบุด้านของ “เงินสี่ด้าน” ที่พวกเขาอยู่ต่อท้ายรายชื่อ (E, S, B หรือ I พิจารณาจากแหล่งที่มาของรายได้หลัก)
• ระบุระดับของนักลงทุนให้กับทั้ง 6 คน (นักลงทุน 5 ระดับ)
• เขียนแผนผัง “เงินสี่ด้าน” และใส่ชื่อทั้ง 6 คนลงไปในด้านที่เหมาะสม รวมทั้งตัวคุณเองด้วย
• ใส่ชื่อตัวคุณเองลงไปในด้านที่ต้องการย้ายเข้าไปอยู่ในอนาคต
• หากรายชื่อคุณในปัจจุบันและอนาคตนั้นอยู่กันคนละด้านกับทั้ง 6 คนที่ห้อมล้อมตัวอยู่ “คุณควรเปลี่ยนแปลงชีวิต”
6. “เปลี่ยนความผิดหวังให้กลายเป็นความแข็งแกร่ง” คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อโอบรับกับความผิดหวัง เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากความผิดพลาดนั้น
• คิดล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่าจะผิดหวัง เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นดั่งใจต้องการ ความสำเร็จนั้นต้องใช้เวลา และ “ความผิดพลาดก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้”
• เตรียมเลือกสรรที่ปรึกษาส่วนตัวไว้ให้พร้อม คุณไม่สามารถเชี่ยวชาญได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นในเส้นทางสายนี้ มิเช่นนั้นคุณก็จะเดินทางไปไม่ถึงเป้าหมาย “มองหาที่ปรึกษา” เมื่อถึงเวลาจำเป็นพวกเขาจะพาคุณผ่านประสบการณ์ยากๆไปได้ จงเรียนรู้ไปกับพวกเขา
• จงมีเมตตาต่อตนเองและพูดความจริง ไม่ลงโทษตัวเองมากเกินไปเมื่อทำผิดพลาด เปิดรับความเสี่ยงที่ควบคุมได้ ลองพยายามทำอะไรใหม่ๆ เปิดรับความคิดใหม่ๆ การพูดความจริงคือการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและมองว่ามันคือเส้นทางแห่งการเรียนรู้
• เริ่มต้นลงมือทำ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ หากพบสิ่งที่คุณอยากลงทุน ควรใช้วิธีการหรือเงินส่วนที่เราควบคุมมันได้ อย่าทุ่มเงินก้อนใหญ่หรือเงินสำหรับใช้จ่ายในเป้าหมายอื่นมาปะปนกันเด็ดขาด จากนั้นก็ดูแลมันให้ดีและเรียนรู้จากมัน เช่น ลองทำข้อเสนอซื้อบ้านหลังเล็กๆที่สร้างกระแสเงินสดเป็นบวก เข้าร่วมในบริษัทเครือข่าย หรือลงทุนในหุ้นหลังจากที่ได้ศึกษาบริษัทมาเป็นอย่างดี ถ้าจำเป็นก็ลองหาที่มองปรึกษา ขอเพียงแค่คุณลงมือทำ!!
7. “เชื่อมั่น ศรัทธา และมีความปรารถนาอันแรงกล้า” เป้าหมายในชีวิตนอกจากเรื่องเงินทองแล้วนั้น ยังรวมถึงการเรียนรู้ที่จะ “นับถือตนเอง” คุณอาจไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะเสียเวลามานั่งด่าทอและท้อใจไปกับตัวเอง จงใช้เวลาในระหว่างวันเพื่อพัฒนาและเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้ อย่าวิ่งหนีจากมัน จงเผชิญหน้ากับความกลัว ความสับสน และความลังเลสงสัย แล้วโลกในอนาคตของคุณจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนระหว่างทางนั้นให้ลองปฏิบัติดังนี้
• สร้างแผนการเพื่อควบคุมนิสัยการใช้จ่ายเงินของตนเอง
• จัดการหนี้สินให้เหลือน้อยที่สุด
1
• ใช้ชีวิตตามฐานะ จากนั้นค่อยยกระดับฐานะของคุณให้สูงขึ้นตามสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด
• หาคำตอบให้ได้ว่าที่ผ่านมา คุณใช้เงินลงทุนไปเท่าไร? ลงทุนมานานเพียงใด? ต้องการผลตอบแทนเท่าไร? จึงจะเดินทางไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ นั่นคือ “การเกษียณตัวเองด้วยทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดจนได้รับอิสรภาพทางการเงิน”
• สร้างแผนการเงินระยะยาวสำหรับลดหนี้สินเพื่อการบริโภค
• มีเงินสดสำรองเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินเสมอ
• ในระหว่างทาง โปรดจงตระหนักถึง “เงินสี่ด้าน และนักลงทุน 5 ระดับ” ไว้ในใจเสมอ
"เงินสี่ด้าน"
คน 4 กลุ่มที่ถูกแบ่งตามวิธีการสร้างรายได้ของพวกเขา (ดูภาพประกอบที่ 3 ใน Comment)
1. ด้าน (E) - Employee (ลูกจ้าง)
• ทำงานที่มีรายได้จากเงินเดือน ชอบงานที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยมั่นคงและได้รับเงินเดือนสูงๆ สวัสดิการที่ยอดเยี่ยม มีความกลัวที่จะไม่มีเงินจึงต้องมองหาความมั่นคง
2. ด้าน (S) - Small Business / Self-employed (เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและอาชีพอิสระ)
• มีรายได้จากการทำงานให้ตัวเอง เป็นนายตัวเอง ทำงานหนัก เงินคือสิ่งสำคัญที่สุด นิยมความสมบูรณ์แบบและไม่ไว้ใจคนอื่นจึงต้องทำงานคนเดียว กลัวความผิดพลาด มีความกลัวที่จะไม่มีเงินจึงต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
3. ด้าน (B) Big Business (เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่)
• เป็นเจ้าของระบบที่มีคนทำงานแทน มีรายได้จากกิจการที่ตนเองเป็นเจ้าของ สร้างระบบที่ดี มีความเป็นผู้นำ มีทักษะการแก้ปัญหา ชอบแบ่งงาน จึงจ้างคนเก่งและคนฉลาดมาทำงานแทน ทำงานเป็นทีม ไม่ต้องอยู่กับธุรกิจตลอดเวลา ธุรกิจเติบโตได้ด้วยระบบที่ดี (ระบบมี 3 ประเภทคือ พัฒนาขึ้นเอง ซื้อระบบที่มีอยู่แล้ว และธุรกิจเครือข่าย)
4. ด้าน (I) Investor (นักลงทุน)
• มีรายได้จากการลงทุน ใช้เงินทำเงิน ใช้เงินทำงานแทนตัวเอง เป็นด้านที่พัฒนาไปสู่ความมั่งคั่ง
ฝั่งขวาของ “เงินสี่ด้าน (B-I)” นั้นทำงานเป็นทีม อิสรภาพในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ หาความรู้จากประสบการณ์ ใช้เงินและเวลาของคนอื่นให้ทำงานแทนตนเอง ออกแบบระบบเพื่อทำงานให้ตนเอง การประสบความสำเร็จทำให้มีเวลาในการใช้ชีวิตแบบที่ต้องการมากขึ้น ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ มีรายได้ไร้ขีดจำกัดและได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมาย
“มารู้จักกับ “นักลงทุน 5 ระดับ ในด้าน I”
1. ระดับที่ 1 “ไม่มีความรู้ทางการเงินอย่างสิ้นเชิง” พวกเขาไม่มีแม้เงินที่จะนำมาลงทุน อีกทั้งยังมีหนี้สินเป็นชนักติดหลังมากมาย ถึงแม้มีรายได้สูง แต่ค่าใช้จ่ายและหนี้สินก็สูงเป็นเงาตามตัว เพราะใช้จ่ายเกินฐานะของตนเอง
2. ระดับที่ 2 “คนออมเงิน” การเก็บออมเงินนั้นในอดีตอาจเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัจจุบันโลกการเงินได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งเงินเฟ้อ วิกฤติเศรษฐกิจ พวกนักลงทุนมืออาชีพจะเคลื่อนย้ายเงินทุนอยู่เสมอ ลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดโดยไม่ต้องซื้อขายสินทรัพย์นั้นบ่อยๆ “คนที่ออมเงินอยู่เฉยๆนิ่งๆคือคนที่สุดท้ายแล้วจะขาดทุน”
3. ระดับที่ 3 “ทำตัวยุ่งเกินไป” คนประเภทนี้มักยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าที่การงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือการเที่ยวพักผ่อน จนไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องการลงทุน สุดท้ายจึงนำเงินไปให้คนอื่นบริหาร (กองทุนเพื่อการเกษียณอายุต่างๆ) เมื่อถึงเวลาขาดทุนและสูญเสียเงินไป พวกเขาจึงไม่มีทางได้เรียนรู้และจดจำอะไรเลยนอกจากเรื่องแย่ๆและการกล่าวโทษคนอื่น พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองผิดพลาดเรื่องอะไร
4. ระดับที่ 4 “มืออาชีพ” นักลงทุนมืออาชีพจะค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ ตัดสินใจ จัดการสินทรัพย์ และลงทุนสินทรัพย์ทุกอย่างด้วยตนเอง มีการเรียนรู้แบบเฉพาะเจาะจงเป็นเรื่องๆไป ความรู้ยังน้อยและทำทุกอย่างคนเดียวด้วยความรู้ทางการเงินที่พอมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกด้าน ‘S’ ที่มาลงทุนในด้าน ‘I’ (ดูภาพประกอบที่ 3 เรื่องเงินสี่ด้านใน Comment) ซึ่งพวกเขาจะใช้เงินตัวเองมาลงทุนเท่านั้น นักลงทุนระดับที่ 4 นั้นสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่ 5 ได้นั่นคือ “นักทุนนิยม”
1
5. ระดับที่ 5 “นักทุนนิยม” จุดสูงสุดบนยอดเขาของนักลงทุน เป็นพวกใจกว้าง ส่วนใหญ่คือพวก ‘B’ ที่มาลงทุนในด้าน ‘I’ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ “พวกเขาจะใช้เงินคนอื่นมาลงทุน”
“นักลงทุนมืออาชีพมีลักษณะอย่างไร?”
1. “มองเห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็น”
สร้างกระบวนการลงทุนจากความคิดของคุณเองให้มากกว่าที่ตามองเห็น
2. “ความสามารถในการระดมทุน”
อย่าให้ปัญหาเรื่องการไม่มีเงินทุนเป็นอุปสรรค การลงทุนไม่ใช่การใช้เงินซื้ออะไรก็ได้ที่ต้องการ มันต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น
3. “ความสามารถในการบริหารคนเก่ง”
เลือกเพื่อนร่วมงานหรือว่าจ้างคนที่เก่งกว่าเมื่อคุณต้องการที่ปรึกษา และพิจารณาให้ดีว่าคนๆนั้นเก่งจริงหรือเปล่า? “ความรู้คือทรัพย์สิน ความไม่รู้คือความเสี่ยง” จงเรียนรู้วิธีจัดการความเสี่ยงด้วย
4. “เอาชนะความกลัว”
ใช้ความล้มเหลวเป็นแรงบันดาลใจให้พยายามเอาชนะ มุ่งเน้นในสิ่งที่รู้และเข้าใจเพื่อผลตอบแทนที่แตกต่างจากค่าเฉลี่ย “การกระจายการลงทุนนั้นปลอดภัย แต่ก็แลกมาด้วยผลตอบแทนแบบทั่วๆไป”
5. “เอาชนะความคิดด้านลบ”
ไม่เก่ง ไม่ดีพอ ทำไม่ได้หรอก เรื่องเลวร้ายกำลังจะมา สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณไม่กล้าลงมือทำอะไรที่ไม่ปลอดภัย ช่วงเวลาเลวร้ายของคนส่วนใหญ่คือโอกาสทองในการทำเงิน ศึกษาให้มากและให้ลึกซึ้งจนปราศจากความกังวลสงสัย และความหวาดกลัว
6. “เอาชนะความขี้เกียจ”
ด้วยการหัดโลภ เปลี่ยนจากประโยคที่ว่า “ฉันไม่มีปัญญาซื้อหรอก” เป็น “ฉันจะซื้อมันได้อย่างไร” สิ่งนี้จะทำให้คุณกระตือรือร้น ผลักดันให้คุณคิดหาคำตอบ
7. “จ่ายให้ตัวเองก่อน”
คุณจะแข็งแกร่งมากขึ้นทั้งด้านจิตใจ ความคิด และการเงิน เช่น เมื่อมีรายได้เข้ามา ไม่ว่าคุณจะพอใช้จ่ายหรือไม่ คุณต้องนำไปเก็บออมหรือลงทุนเพื่อเพิ่มทรัพย์สินก่อน จากนั้นถึงจะนำไปใช้จ่ายหรือชำระหนี้ หากไม่เพียงพอ แรงกดดันจะทำให้คุณค้นหาหนทางเพิ่มรายได้ โดยที่ทรัพย์สินของคุณยังคงเพิ่มขึ้นเสมอ (เมื่อมีรายได้เข้ามาให้นำไปเพิ่มทรัพย์สินก่อนค่อยใช้จ่าย)
8. “เอาชนะความเย่อหยิ่ง”
สิ่งที่รู้นั้นสร้างเงิน สิ่งที่ไม่รู้ทำให้เสียเงิน อย่าหยิ่งทนงตัวคิดว่าสิ่งที่ไม่รู้เป็นสิ่งไม่จำเป็น เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเย่อหยิ่ง “จงไปค้นคว้าศึกษาในสิ่งที่ตนเองไม่รู้อย่างจริงจัง”
9. “ค้นหาเหตุผลแห่งความปรารถนา”
ลงมือเขียนเปรียบเทียบสิ่งที่ “ต้องการและไม่ต้องการ” เป็นข้อๆแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน เหตุผลดังกล่าวนั้นต้องสร้างแรงบันดาลใจที่มากพอ มิเช่นนั้นในระหว่างทางจะมีแต่เรื่องยุ่งยาก และคุณก็พร้อมที่จะล้มเลิกมันกลางทางตลอดเวลา
10. “ฝึกตัดสินใจ ค้นหาทางเลือก”
เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย เพื่อฝึกการแก้ไขปัญหาและการประเมินสถานการณ์ เปิดรับความคิดใหม่ จงฟังให้มากกว่าพูด เพื่อพัฒนาความคิด
11. “เลือกเพื่อนที่ดี สร้างเครือข่าย”
จงเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า เชื่อในสิ่งที่ตนเองคิด และอย่าเดินตามคนส่วนใหญ่
12. “สร้างแนวทางการลงทุนเฉพาะตัว”
หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่เสมออย่างรวดเร็ว เมื่อคุณใส่ข้อมูลอะไรเข้าไปในหัว ความคิดของคุณก็จะเป็นเช่นนั้นเสมอ
13. “เอาเงินลงทุนกลับมาให้เร็วที่สุด พลังของทรัพย์สินที่ได้มาฟรีๆ”
เช่น เมื่อลงทุนในหุ้นแล้วได้กำไรตามเป้าหมาย คุณอาจขายหุ้นบางส่วนเพื่อนำเงินทุนออกมาก่อน จากนั้นคุณจะไม่ต้องกังวลกับภาวะตลาดเลย เพราะเงินที่เหลืออยู่คือหุ้นส่วนเกินที่ได้มาฟรีๆ
14. “มองหานักลงทุนต้นแบบ”
1
ลองฝึกการคิดวิเคราะห์ตามฮีโร่ของคุณ สมมุติว่าถ้าเจอสถานการณ์เช่นนี้ ฮีโร่ของคุณจะตัดสินใจอย่างไร
15. “พลังแห่งการให้”
หากคุณต้องการสิ่งใด ลองให้สิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
16. “หยุดสิ่งที่ทำอยู่ แล้วสำรวจตัวเอง”
ลองนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ลงมือทำไปแล้วว่าสิ่งใดทำแล้วได้ผล สิ่งใดไม่ได้ผล ควรหยุดทำในสิ่งที่ไม่ได้ผล นำเวลามามองหาวิธีการใหม่ๆ
17. “มองหาไอเดียใหม่”
มองหาการลงทุนที่ใช่ เช่น หาวิธีการลงทุนใหม่ๆในร้านหนังสือ โดยดูจากชื่อเรื่องที่สนใจและแตกต่าง
18. “มองหาแบบอย่างความสำเร็จ”
ศึกษาแนวคิด วิธีการจากคนที่เคยทำสำเร็จในเรื่องที่คุณสนใจมาก่อนแล้ว
19. “สมัครเรียนสัมมนาดีๆ”
20. “ลองยื่นเสนอราคาซื้อดู”
คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าราคาที่เหมาะสมของทรัพย์สินนั้นคือเท่าไร จนกว่าจะมีคนยอมตกลงกับคุณ “หน้าที่ของคุณคือเสนอราคาและต่อรอง”
21. “เอาตัวเองลงไปสัมผัสในตลาดที่คุณสนใจ”
22. “ซื้อทุกอย่างในราคาที่มีส่วนลด”
จงกำไรเมื่อตอนซื้อ ไม่ใช่ตอนขาย
23. “มองหาคนที่ต้องการซื้อก่อน”
แล้วค่อยมองหาคนขาย
24. “คิดใหญ่”
หาเพื่อนร่วมทีมและกล้าลงมือทำ คนลงมือทำคือผู้ชนะ
25. “เรียนรู้จากประวัติศาสตร์การเงิน”
“จะหาแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างไร”
1. “ใช้เวลาทบทวนความเป็นไปในชีวิต” อย่างช้าๆ เงียบๆ หลังจากนั้นลองถามตัวเองว่า “ในชีวิตนี้คุณต้องการอะไร”
2. “จงระวังความคิดเห็นของผู้อื่น” บ่อยครั้งที่พวกเขายัดเยียดสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของคุณ จงมั่นใจว่าคุณรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการและสิ่งที่ต้องการนั้นมาจากส่วนลึกในจิตใจของคุณเอง
3. “ปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน” เกี่ยวกับแผนการในชีวิตของคุณ
“เป้าหมายทางการเงินและการลงทุน 3 ประการ”
1. “เพื่อความมั่นคงปลอดภัย” ใช้สูตรสำเร็จที่ไม่ซับซ้อน เพียงวางแผนให้รัดกุมไว้ตั้งแต่แรกและมีวินัยดำเนินตามแผนการนั้นไปเรื่อยๆ จนถึงเป้าหมายในที่สุด
1
2. “เพื่อความสะดวกสบาย” ใช้สูตรสำเร็จที่ไม่ซับซ้อน เพียงวางแผนให้รัดกุมไว้ตั้งแต่แรกและมีวินัยดำเนินตามแผนการนั้นไปเรื่อยๆ จนถึงเป้าหมายในที่สุด
3. “เพื่อความร่ำรวย” คุณต้องลงทุนในเวลา ศึกษาเรียนรู้การลงทุนในระดับของคนรวย หาประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อให้ได้เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
“กฎพื้นฐานของการลงทุน”
1. จงรู้เสมอว่าคุณกำลังทำงานเพื่อรายได้แบบใด? (มี 3 แบบ)
• “รายได้จากการทำงาน” (Earned income) มาจากงานที่จำเป็นต้องใช้แรงงาน ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเงินเดือนจากงานประจำ ซึ่งเป็นรายได้ที่เสียภาษีสูงสุด และสร้างความร่ำรวยได้ยากที่สุด
• “รายได้จากพอร์ตการลงทุน” (Portfolio income) มาจากสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของตราสาร บริหารจัดการและดูแลได้ง่ายที่สุด
• “รายได้จากทรัพย์สิน” (Passive income) ส่วนใหญ่มาจากอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าลิขสิทธิ์ต่างๆ
2. “สร้างความมั่นคง” โดยการเปลี่ยนรายได้จากการทำงาน ไปเป็นรายได้จากพอร์ตการลงทุนหรือรายได้จากทรัพย์สินให้มากที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3. “อย่าคาดเดาอนาคต” แต่ให้เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง กับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยการศึกษา การฝึกฝน ประสบการณ์ เงินสำรอง เตรียมตัวให้พร้อมเมื่อช่วงเวลาดีๆมาถึง คุณต้องพร้อมที่จะทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ถ้าเตรียมพร้อมแล้วทั้งการศึกษาหาความรู้ทางการเงินและประสบการณ์ เงิน โอกาส และข้อตกลงดีๆจะเข้ามาหาคุณเอง
4. “มีความสามารถในการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน” คิดทบทวนเกี่ยวกับการสร้างทรัพย์สินของตัวเองเสมอ คุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จด้านการลงทุนได้นั้นต้องมีทั้งการศึกษา ประสบการณ์ เงินเหลือ ความฝัน ความทุ่มเท อุตสาหะ และข้อมูลที่ดี
“กุญแจสู่ความร่ำรวยในการสร้างธุรกิจ”
1. “ภารกิจเป้าหมาย” ทั้งในเชิงอุดมการณ์ (สร้างประโยชน์แก่สังคม ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค) และเชิงธุรกิจ เป้าหมายต้องชัดเจน แข็งแรง
2. “ทีมที่มีประสบการณ์” มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆที่จำเป็นต่อธุรกิจ
3. “ความเป็นผู้นำ” การกำหนดวิสัยทัศน์ การตัดสินใจ สามารถดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดในตัวแต่ละคนออกมาได้ ไม่ใช่การเป็นคนเก่งที่สุดเสียเอง
4. “กระแสเงินสด” เข้าใจการอ่าน จัดทำ และปรับปรุงงบการเงิน มีทักษะในการบริหารเงิน
5. “ทักษะการสื่อสาร” มีความรู้เชิงจิตวิทยา เข้าใจแรงจูงใจของผู้บริโภค และการตลาด
6. “ระบบ” ที่ดีจะช่วยดูแลกิจกรรมในแต่ละวันให้เดินหน้าต่อไปได้ (สำนักงาน พัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้าคงคลังและการผลิต การสั่งซื้อ การเก็บเงินและลูกหนี้การค้า การให้บริการลูกค้า เจ้าหนี้การค้า การตลาด ทรัพยากรมนุษย์ บัญชี การจัดการพื้นที่)
7. กฎหมายและบริหารผลิตภัณฑ์
“ผสานพลังทางการเงิน 6 อย่าง ดำเนินการไปด้วยกัน และกระจายแยกตัวกันทำงาน”
• ธุรกิจ
• อสังหาริมทรัพย์
• ตราสารทางการเงิน
• เงินของธนาคาร เรียนรู้ที่จะใช้ความช่วยเหลือของนายธนาคารเพื่อช่วยให้รวยขึ้น
• กฎหมายภาษี
• กฎหมายบริษัท
“ลำดับความสำคัญของวัตถุประสงค์ในการลงทุน” จงลงทุนเพื่อครอบครองทรัพย์สินที่ให้กระแสเงินสดเป็นหลัก
1. กระแสเงินสด
2. เครื่องทุ่นแรง พลังทวี
3. ประโยชน์ทางภาษี
• เลือกนิติบุคคลในการถือครองทรัพย์สินให้เหมาะสม เพื่อประหยัดภาษีและได้รับความคุ้มครอง
• ปรึกษาที่ปรึกษาทางภาษีเพื่อวางแผนประหยัดภาษี
• เริ่มต้นทำงานเสริมนอกเวลา
• ทบทวนรายจ่ายส่วนตัวดูว่ามีรายการใดเปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจได้
• เรียนรู้คำศัพท์การลงทุน
• วางแผนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อประหยัดภาษี เพื่อให้ได้กระแสเงินสดสูงสุด
• นำเงินที่ได้จากการประหยัดภาษีไปลงทุนเพิ่ม
4. กำไรจากส่วนต่างราคา
“แนวคิดการเป็นนักลงทุนที่ดี”
1. ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การลงทุน แต่อยู่ที่การขาดความรู้ ประสบการณ์ และเงินเหลือ
2. มีความคิดที่ทันสมัย อย่ายึดติดกับความคิดเก่าๆ
3. เรียนรู้ว่าจะใช้เงินไปทำงานแทนตัวเองอย่างไร
4. เขียนสถานะปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต และแผนการเดินทางไปสู่เป้าหมายทางการเงิน ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจน
5. พูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ เพื่อค้นหาว่า ที่ปรึกษานั้นมีแผนการลงทุนระยะยาวที่ดีต่อคุณไหม
6. วางแผนที่จะรวย
7. ใส่ใจกับความคิดส่วนลึกในจิตใจ
8. เรียนรู้คำศัพท์ด้านการเงิน การลงทุน
9. ศึกษาพื้นฐานของธุรกิจ ศึกษาการเป็นเจ้าของกิจการ เพื่อสร้างกิจการหรือเพื่อวิเคราะห์ธุรกิจอื่น
10. ฝึกฝนการอ่านวิเคราะห์งบการเงินในธุรกิจที่หลากหลาย เรียนรู้ด้วยการลงมือทำซ้ำๆ
11. จัดทำและปรับปรุงงบการเงินส่วนบุคคลของคุณอยู่เสมอตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
12. เรื่องการลงทุนนั้นความเรียบง่ายดีกว่าความซับซ้อน จงค้นหาสูตรง่ายๆ เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุน และดำเนินตามแผนนั้นอย่างมุ่งมั่นจนกว่าจะไปถึงเป้าหมายทางการเงิน
13. ยิ่งมีความรู้เรื่องการลงทุนมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับคำแนะนำในการลงทุนที่ดีขึ้นเท่านั้น
14. แยกให้ออกว่าอะไรคือประโยคปิดการขาย และอะไรคือคำแนะนำทางการลงทุนที่ถูกต้อง
15. ควรทำความรู้จักกับบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ
16. นักลงทุนควรทำอย่างน้อย 2 อาชีพ คืออาชีพของตัวเอง และอาชีพสำหรับเงินของตัวเอง
17. มุ่งเน้นไปที่การทุ่มเทเวลาเพื่อเรียนรู้สู่การเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้น สำคัญกว่าการเลือกประเภททรัพย์สินเพื่อลงทุน
18. คนส่วนมากคิดว่าการลงทุนนั้นเสี่ยง อันที่จริงการลงทุนไม่ได้เสี่ยง แต่การลงทุนโดยไม่ทำประกันต่างหากที่เสี่ยง การประกันมีทั้งได้มาด้วยการซื้อ และได้มาด้วยการเรียนรู้
19. กฎหมายภาษีถูกเขียนขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เจ้าของธุรกิจและนักลงทุน
20. ลองทำธุรกิจนอกเวลาที่ช่วยพัฒนาทักษะในการทำธุรกิจ
ความรู้ทางการเงิน 5 ประการ
1. การหาเงิน
2. การบริหารจัดการ อ่านงบการเงินเป็น เข้าใจความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินกับหนี้สิน รายรับ รายจ่าย ข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพ (แยกให้ออกระหว่างข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หลักการ)
3. การใช้เครื่องทุ่นแรง OPM เงินของธนาคาร ความแตกต่างระหว่างหนี้ดีกับหนี้เลว
4. การปกป้องทรัพย์สิน
5. แผนการออก
“กระบวนการพัฒนาตนเองไปสู่โอกาสในการเกษียณเร็วและรวย”
1. “ตัดสินใจเลือก”
ในทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาจงเลือกเสมอว่าคุณต้องการเป็นคนแบบไหน ต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยทัศนคติแบบใด ต้องการเป็นคนประเภทไหน โลกทัศน์แบบใด (โลกทัศน์แบบคนรวยจะมุ่งพัฒนาความรู้ด้านการเงินเพื่อโอกาสในการได้มาซึ่งเงินที่มากขึ้น แต่ทำงานน้อยลง)
2. “หาเพื่อนหรือคนรัก”
ที่พร้อมจะเดินทางไปสู่เป้าหมายด้วยกัน คบเพื่อนที่มีศรัทธาในตัวคุณ ไม่ใช่คนที่คอยบั่นทอนคุณ เลือกคนที่พร้อมสนับสนุนการพัฒนาความรู้ทางการเงินให้แก่คุณ หากไม่ คุณจะต้องดิ้นรนทำงานไปจนตาย ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากมายแค่ไหนก็ตาม
3. “มองหาคำปรึกษาที่ดี”
จงระวังพวกที่ปรึกษาทางการเงินต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คำแนะนำที่ดีหรือเหมาะสม
4. “กำหนดวันเกษียณ”
1
และวันที่จะพบกับอิสรภาพทางการเงินอย่างชัดเจน จากนั้นบอกเล่าหรือปรึกษาคนที่คุณรัก และที่ปรึกษาทางการเงินที่น่าไว้ใจ มันจะเป็นกระบวนการที่ยิ่งใหญ่และน่าสนุกอย่างแน่นอน
5. “จดบันทึกแผนการเกษียณ”
ของคุณเป็นลายลักษณ์อักษร เฝ้ามองดูมันทุกวัน ปรับปรุงแผนการอย่างสม่ำเสมอไปตามความก้าวหน้าของแผนการและความรู้ของคุณที่เพิ่มมากขึ้น ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นจากแผนการและความมุ่งมั่นในการทำตามแผนการนั้นอย่างมีวินัยในทุกๆวัน อำนาจของแผนการนั้นสามารถเปลี่ยนทิศทางชีวิตได้เลยทีเดียว
6. “วางแผนฉลอง”
เมื่อมีอิสรภาพทางการเงินหรือเกษียณเร็ว ทำให้มันยิ่งใหญ่และน่าจดจำ ไม่ว่าในอนาคตคุณจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่คุณจะสนุกมากกับกระบวนการวางแผนเช่นนี้ ใครจะไปรู้ว่าคุณอาจได้ฉลองเร็วกว่าที่ใครๆคิด
7. “มองหาการพัฒนาความรู้”
ทางการเงินอย่างน้อยวันละครั้ง เช่น อ่านบทความ หนังสือพิมพ์ธุรกิจ ฟัง Youtube ด้านการเงินขณะทำกิจกรรมอื่น เข้าร่วมสัมมนาด้านการเงินอย่างน้อยปีละครั้ง อย่างน้อยที่สุดนี่คือโอกาสของการจะได้พบคนที่มีเป้าหมายเดียวกันกับคุณ
8. “จำไว้เสมอว่าทุกตลาดมีแนวโน้ม 3 ลักษณะ”
ขาขึ้น ขาลง และ Sideway หากคุณมีความรู้ทางการเงิน คุณจะสามารถทำเงินได้ในทุกสภาวะตลาด การอยู่ถูกที่ถูกเวลาและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามแนวโน้ม จะทำให้คุณยืนระยะต่อไปได้นานในโลกแห่งการเงิน
9. “เรียนรู้คำศัพท์แบบคนรวย”
สินทรัพย์พื้นฐานมีอยู่ 3 ประเภท คือ ธุรกิจ ตราสาร และอสังหาริมทรัพย์ หากคุณสนใจสิ่งใด จงมุ่งมั่นเรียนรู้ศัพท์เฉพาะในสายงานนั้นๆ คุณจะสามารถสื่อสารกับตัวเองและคนอื่นในแวดวงเดียวกันได้ดีมากขึ้น ถ้อยคำนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ “เนื้อหาความรู้ (Content – แสดงเนื้อหา) และ กรอบความคิด (Context – ด้านจิตใจ)” จงพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง ทุกถ้อยคำที่คุณสื่อสารนั้นจะเป็นจริงและเป็นอนาคตของคุณ
10 . “หาคนที่เราสามารถพูดคุยเรื่องเงินได้เสมอ”
ทั้งเรื่องเงิน ธุรกิจ การลงทุน ความสำเร็จ เป้าหมาย และปัญหา มองให้เป็นเรื่องสนุกที่น่าเรียนรู้
11. “ลองคิดหาหนทางทำเงินโดยเริ่มต้นจากศูนย์”
การพัฒนาตนเองจาก "นักลงทุนมือใหม่" ไปสู่การเป็น "นักลงทุนมืออาชีพ" จำเป็นต้องมีความพยายามทุ่มเทเวลาในชีวิตส่วนใหญ่ไปเพื่อการศึกษาหาความรู้ และเสียสละบางสิ่งไป ผู้เขียนเชื่อว่ายังคงมีมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในวงการนี้หลายท่านไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไร รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก อีกทั้งหลักการลงทุนต่างๆก็มีมากมายหลายแขนง หลากหลายแนวคิดเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี อย่ากระนั้นเลย เราลองมาเปิดใจศึกษาเรียนรู้แนวคิดของคิโยซากิกันสักหน่อยคงไม่เป็นการเสียหาย หรือเสียเวลามากมาย
โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert T. Kiyosaki) เหมาะกับวลีไทยๆที่ว่า "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ" อาจเพราะด้วยแนวคิดทางการเงินของเขาที่ค่อนข้างสวนทางไปกันคนละทิศกับแนวคิดกระแสหลักอย่างสุดโต่ง ทำให้มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีทั้งคนรักและคนเกลียด
ขอให้นักลงทุนมือใหม่ ที่มีเป้าหมายไขว่คว้าหาอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง ประสบความสำเร็จสมหวังดั่งใจ แล้วพบกันใหม่ และที่สำคัญอย่าลืม "มีความสุขในการลงทุน" นะครับ 🙂
"บางส่วนจากหนังสือทั้งหมด 4 เล่ม"
1
"พ่อรวยสอนลูก" : พ่อรวยสอนเรื่องเงินในแบบที่พ่อจนไม่เคยสอน (Rich Dad Poor Dad)
o ผู้แต่ง : โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ (Robert T. Kiyosaki)
o ผู้แปล : จักรพงษ์ เมษพันธุ์ และ ธนพร ศิริอัตรกรกุล
“พ่อรวยสอนลูก 2” : เงินสี่ด้าน (Rich Dad's Cashflow Quadrant)
o ผู้แต่ง : โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ (Robert T. Kiyosaki)
o ผู้แปล : สุภศักดิ์ จุลละศร, ชัชวนันท์ สันธิเดช, โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์ และ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
“พ่อรวยสอนลงทุน” (Rich Dad's Guide to Investing)
o ผู้แต่ง : โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ (Robert T. Kiyosaki)
o ผู้แปล : ธนกร นำรับพร
“เกษียณเร็ว เกษียณรวย” (Retire Young Retire Rich)
o ผู้แต่ง : โรเบิร์ต ที. คิโยซากิ (Robert T. Kiyosaki) และ ชารอน แอล. แลชเตอร์ (Sharon L. Lechter)
o ผู้แปล : มัทยา ดีจริงจริง, ดร. วิยะดา นิตยาเกษตรวัฒน์, ดร. ศุภกร สุนทรกิจ และ ดร. สมจินต์ ศรไพศาล
1
โฆษณา