30 มี.ค. 2022 เวลา 04:39 • ไลฟ์สไตล์
สัปดาห์ที่ 16 : เมื่อสิ่งที่เธอไขว่คว้านั้นว่างเปล่า
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ฉันออกกำลังกายเยอะมากจริงๆ สัปดาห์นี้ฉันออกไปวิ่งยามเช้า พยายามแกะตัวเองจากที่นอนเพื่อที่จะได้ออกไปวิ่ง การตื่นนอนตอนเช้าเป็นอะไรที่ต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างยิ่งยวด แต่ฉันรู้ดีว่าถ้าไม่สู้วันนี้ วันหน้าก็จะพ่ายแพ้อีกแน่นอน พอแงะตัวเองไปวิ่งตอนเช้าได้ในวันแรก จากนั้นทั้งเช้าและบ่ายฉันก็อ่อนเพลียทั้งวัน เนื่องจากความไม่เคยชินที่ต้องออกกำลังกายตอนเช้า
นอกจากการออกกำลังกายที่วุ่นวายของฉันแล้ว อีกสิ่งที่วุ่นวายไม่แพ้กันก็คือการวุ่นวายกับการเสียภาษี ฉันใช้เวลาสามวันในการเรียงเอกสารภาษีที่ต้องเสีย เรียงเอกสารที่ต้องใช้ลดหย่อน จากนั้นก็ยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช็ครายการทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด แล้วก็กดเสียภาษี พอกดเสร็จก็รู้สึกเสียดายเงินที่ได้จากเราไปเพื่อนำไปช่วยทำนุบำรุงประเทศ ถ้ารัฐบาลไม่ว่าจะท้องถิ่นหรือรัฐบาลส่วนกลางนำภาษีไปใช้เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ฉันก็จะไม่เสียดายเท่าไหร่ นำไปใช้สร้างขนส่งสาธารณะ พัฒนาระบบสาธารณสุข พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนฉันก็โอเค แต่ถ้านำไปใช้เพื่อซื้อรถถัง เรือดำนำ้อะไรเทือกนี้ หรือเอาไปแจกทำประชานิยมแล้วก็หมดจบสิ้นไป ฉันก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าภาษีเอาเสียเลย
ฉันได้ดูคลิปในติ๊กต๊อกที่ตัดเอาตอนหนึ่งของ Life hack ที่คุณสัญญา คุณากรได้พูดคุยกับคุณพศิน อินทรวงศ์เรื่องหัวข้อธรรมะ ฉันฟังแล้วชื่นชอบมาก คุณพศินทำให้ธรรมะเป็นเรื่องท่ีเข้าใจง่ายและเถรตรง ลดการใช้ศัพท์แสงที่ทำให้ฟังแล้ววุ่นวายใจ แต่ใช้คำไทยง่ายๆที่ทำให้เข้าใจความหมายได้ทันที คุณพศินพูดเรื่องเกี่ยวกับการบรรลุธรรมที่ฟังแล้วสนุกมาก คำว่าพระโสดาบัน แปลความหมายว่า ผู้ถึงกระแส ถึงกระแสอะไรล่ะ? ก็ตอบได้เลยว่าการถึงกระแสพระนิพพาน เราจะบรรลุโสดาบันได้อย่างไร? ก็เมื่อจิตเราได้เกิดปัญญาอย่างถ่องแท้ด้วยจิตเองว่า “กายและจิต ไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงอนัตตา”
คุณสัญญาบอกในรายการว่า ผมฟังเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมผมยังไม่บรรลุธรรมเสียที คุณพศินก็ตอบว่า “การเข้าใจเพราะได้ฟังมา (สุตมยปัญญา) หรือการเข้าใจโดยการนึกคิดตรึกเอา (จินตมยปัญญา) ถึงจะคิดเป็นร้อยปีก็ไม่อาจบรรลุได้ ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจที่เกิดจากความแจ่มแจ้งด้วยจิตเอง จิตก็จะวางเอง ซึ่งการรู้การเข้าใจแบบนี้เรียกว่า ภาวนมยปัญญา ซึ่งต้องเกิดจาการทำวิปัสสนา ซึ่งการเข้าใจแบบฟังเอาหรือตรึกเอาคิดเอาเองก็ไม่มีประโยชน์ถ้าจิตของเรายังไม่เข้าใจ ถึงเข้าใจก็เป็นการเข้าใจแบบหลอกตัวเอง คิดเอาเองว่าตัวเองเข้าใจ จิตไม่ได้เข้าใจจริงๆ
คุณพศินเล่าต่อว่า โลกนี้คือมายา เป็นโลกสมมติ ทั้งหมดไม่ว่าจะตัวเรา สิ่งรอบๆตัวเรา สิ่งของสถานที่ใด ทั้งหมดเป็นเพียงภาพสมมติ ทุกคนกำลังหลับฝันกันอยู่ ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน การบรรลุธรรมก็คือการตื่นจากฝัน แต่ความฝันในสังสารวัฏมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น มันไม่อาจตื่นได้ทันที แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้แล้วว่าเราฝัน เราก็จะค่อยๆหาวิธีที่ทำให้เราตื่นได้อย่างสมบูรณ์ พระโสดาบันก็เหมือนคนที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝัน โลกที่เคยอยู่ โลกที่เคยเข้าใจ ก็เปลี่ยนไป เพราะเรารู้ว่ามันเป็นความฝัน เราก็ไม่อินกับมัน ไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องอีก มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ เข้าใจโดยธรรมชาติ
คุณพศินยังเปรียบเทียบต่อไปว่า ลองคิดว่าถ้าเราตายไปแล้ว แล้วเรายังไม่รู้ว่าตัวเองตายไป วันหนึ่งเราส่องกระจกไม่เห็นเงาตัวเองอีกต่อไป เมื่อเรารู้ว่าตัวเองเป็นผี มุมมองที่มีต่อโลกใบนี้จะยังเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า ฉันคิดตามแล้วก็เริ่มเข้าใจทันทีว่า มันจะไม่เหมือนเดิม ก็เหมือนการบรรลุธรรมที่เห็นว่า กายและจิตนั้นไม่ใช่ตัวเรา มุมมองของพระโสดาบันในโลกใบนี้ก็คงจะไม่เหมือนเดิมเช่นกัน เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผี เราจะยังโลภอยู่มั้ย เราจะยังยึดติดอยู่หรือไม่ เราจะยังอยากได้อยากมีอยากเป็นหรือไม่ ฉันว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่เราอยากไขว่คว้านั้นว่างเปล่า ทุกคนก็มีแนวโน้มที่จะปล่อยว่างโดยธรรมชาติ คงไม่มีใครอยากยึดอยากไขว่คว้าความฝันที่เลือนลาง
ฉันได้ฟังก็รู้สึกประทับใจที่คุณพศินสามารถเปรียบเทียบเรื่องราวต่างๆ จนทำให้เห็นภาพชัดเจนในโลกสมมติที่เราเป็นอยู่ โลกสมมติที่เราหลงอยู่ โลกสมมติที่เราฝันอยู่ โลกสมมติที่เราหาทางออกไม่เจอ คุณพศินยังกว่าอีกว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า “โลกสมมติที่ว่านี้คือโลกที่เราคิดภายใต้ขอบเขตของการมีตัวตัว” ซึ่งมันยิ่งใหญ่มากมันครอบคลุมเราทั้งหมด เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำแล้วไม่เห็นน้ำ เหมือนนกที่บินอยู่ในท้องฟ้าแล้วไม่เห็นท้องฟ้า โลกสมมติก็คือโลกที่อยู่ภายใต้ความคิดของเรา เน้นคำว่า “ของเรา” เมื่อมีของเรา มีตัวตนของเรา โลกสมมติก็เกิดขึ้นมา
เมื่อมีตัวตนขึ้นมาซึ่งนับเป็นยอดของพีระมิด สิ่งอื่นๆที่ตามมาก็คือกิเลส กิเลสนับว่าเป็นพีระมิดชั้นที่สอง ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็มีเพื่อรับใช้ตัวตน โลภเพื่อให้ตัวตนสบาย โกรธเพื่อผลักสิ่งที่ทำให้ตัวตนไม่สบายกายไม่สบายใจออกไป และหลงเพื่อให้ตัวตนยังปรุงแต่งตัวตนต่อไปเรื่อยๆไม่ส้ินสุด หลงเพื่อให้ตัวตนยังหลงอยู่ในโลกสมมติ จากนั้นโลกธรรมทั้งหลายก็เป็นพีระมิดชั้นที่สาม ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา เสื่อมชื่อเสียง ก็มีเพื่อตอบสนองกิเลส ทั้งหมดนี้ไม่ว่าสิ่งใดก็มีหน้าที่รับใช้ตัวตน ซึ่งเป็นนายใหญ่ของทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่กิเลสจนถึงข้าวของสิ่งต่างๆในโลกใบนี้
ศาสนาพุทธมีเป้าหมายที่จะกำจัดนายใหญ่คือ “ตัวตน” หรือ “อัตตา” เมื่อไร้ตัวตน ก็หมดกิเลส หมดโลกธรรม โลกสมมติก็พังทลายไป ความเป็นทวิลักษณะ หรือลักษณะที่แบ่งได้เป็นสองก็จบลงไปด้วย ไม่ว่าจะความดีความเลว ความเกิดความตาย ก็จบสิ้น เมื่อเป็นผู้ไม่เกิดอีก ความเป็นผู้ตายก็ไม่มี หลักการฟังดูง่าย แต่เข้าถึงยาก สวดอ้อนวอนก็ไม่ได้ จ้างให้คนอื่นมาทำให้ก็ไม่ได้ ความเป็นพุทธะ หรือการเป็นผู้ตื่นจึงต้องทำเองเท่านั้น แต่เมื่อตื่นแล้วก็ไม่ต้องหลับใหลในโลกมายาแห่งนี้อีกตลอดกาล กลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในที่สุด
วันเสาร์เป็นวันที่ฉันเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อไปทำภารกิจในโลกสมมตินี้ เพื่อตามใจตนเอง โดยมีเจ้าความโลภเป็นผู้จัดแจงให้ ฉันเข้าไปกรุงเทพเนื่องจากฉันจองคอร์สอาหารไทยแบบ fine dining เอาไว้เป็นร้านที่อยู่แถวทองหล่อ ราคาค่อนข้างแพงพอสมควร แต่อาหารก็ถือว่าจัดเต็มตามราคา ทุกอย่าง วัตถุดิบ บรรยากาศ ทุกอย่างประณีตพิถีพิถัน เป็นอาหารไทยที่ดัดแปลงและใช้วัตถุดิบอย่างดี ซึ่งตัวตนของฉันก็พอใจมาในเรื่องนี้ แต่เสียอย่างเดียวอาหารบางจานรสชาติไม่ได้จัดจ้านอย่างที่อาหารไทยควรเป็น
ส่วนวันอาทิตย์ฉันจองคอร์สเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับกลิ่น เป็นคอร์สที่สอนเรื่องเกี่ยวกับกลิ่น และสอนการปรุงน้ำหอม ฉันใช้เวลาตั้งแต่ 10โมงจนถึงบ่ายสอง เรียนรู้วิธีการทำน้ำหอม กลิ่นที่เราปรุงขึ้นมา น้ำหอมที่ตัวตนของฉันออกแบบ น้ำหอมที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก 555 เว่อร์มาก เป็นการเรียนที่ดีมากเรื่องทำให้ฉันได้ประสบการณ์ที่หลากหลายจนน่าพอใจ ฉันแวะกินอาหารอีสานก่อนกลับบ้านที่กาญจนบุรี
ถึงฉันจะพูดเรื่องโลกสมมติ แต่ฉันก็ยังติดอยู่ในความสมมติเหล่านี้ ฉันยังไม่ได้เข้าถึงหรือบรรลุธรรมแต่อย่างใด แต่ฉันก็ปรารถนาว่าวันหนึ่งฉันจะได้บรรลุธรรม เป็นผู้เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน นั้นคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตนี้ ฉันรู้ว่าหนทางยังอีกไกล และไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหน แต่การเดินช้าๆ ทีละก้าวมันก็ดีกว่าหลงทางอยู่ ปลายทางจะเป็นอย่างไรฉันไม่รู้ แต่ฉันเห็นทางที่พระสมณะโคดมชี้บอกไว้ ฉันจะเดินตามไปทางนั้น โลกสมมติที่ฉันอยู่ยังคงเป็นโลกสมมติ และฉันก็ยังเป็นคนหลับไหลอยู่ แต่ส่วนหนึ่งในจิตลึกๆ ตะโกนบอกฉันว่าเธอหลับอยู่นะ ฉันยังคงเล่นไปตามบทบาทในฝันนี้อย่างเต็มที่ โดยหวังว่าสักวันฉันจะรู้ตัวเองว่ากำลังฝันโดยที่ไม่ได้หลอกตัวเองอีกต่อไป
ปูน 2XL
30/3/65
เพลงน่าฟังประจำสัปดาห์ที่ 16 : Traffic Light by Lee Mujin
โฆษณา