31 มี.ค. 2022 เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ราคาแร่ต่าง ๆ ที่แพงขึ้นไม่ได้ทำให้แบตเตอรี่ทุกชนิดแพงขึ้น
มีบางชนิดที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก...
ติดตามได้ในโพสต์เลยครับ
1
EV Battery: เทรนด์แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
มีบริษัทไหนแข่งกันบ้าง และใครเป็นผู้นำอยู่ เดี๋ยวเรามาหาคำตอบไปพร้อมกัน!!
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจุบันแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าแข่งกันที่น้ำหนักเบา, อายุการใช้งานนาน, เก็บพลังงานสูง และชาร์จได้เร็ว หรือบางทีจะแถมเรื่องวัสดุเป็นมิตรต่อธรรมชาติด้วย
โดยแบ่งแบตเป็น 2 กลุ่ม
1. แบตแบบของเหลว ซึ่งเป็นตัวที่ใช้ในปัจจุบัน
2. แบตแบบ Solid state เทคโนโลยีแห่งอนาคต
#แบตแบบของเหลว
ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Lithium-ion Battery เป็นหลัก สามารถจำแนกออกมาได้เป็นหลายประเภท เน้นจำสัญลักษณ์ภาษาอังกฤษไว้เพื่อจะได้รู้ว่าบริษัทไหนผลิตเทคโนโลยีอะไร
มี NCA, NMC, LFP ซึ่งแร่ส่วนประกอบหลักในแต่ละตัวมีตามตัวย่อ
Lithium Nickel Cobalt Aluminium Oxide (NCA)
Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide (NMC)
Lithium Iron Phosphate (LFP)
โดยแบตเตอรี่แบบ NCA และ NMC จะเป็นที่นิยมมากเพราะเก็บไฟได้มากกว่า
ทุกอย่างมันก็ฟังดูดีนะครับ แต่ปัญหาของมันอยู่ตรงที่ส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในแบตเตอรี่แบบ NCA และ NMC อย่าง “Cobalt” กำลังเกิดปัญหา Supply Shortage เพราะแร่ธาตุชนิดนี้มีอยู่จำกัด แถมส่วนใหญ่อยู่ในประเทศคองโกซึ่งมีปัญหาสิทธิแรงงาน.
เมื่อ Supply จำกัดแต่ Demand มหาศาล สิ่งนี้จึงดันให้ราคาของ “Cobalt” มีราคาสูงขึ้นอย่างมาก และถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ถ้ายังดึงดันใช้ ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะแพงกว่ารถน้ำมันเกินไป
ทำให้แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าต่างๆต้องหาทางออกเพื่อที่จะทำให้ต้นทุนของการผลิตรถยนต์ไม่เพิ่มสูงขึ้น (แบตเตอรี่คิดเป็น 30-40% ของต้นทุนรถไฟฟ้า)
หวยเลยมาตกที่เทคโนโลยีแบตแบบ LFP ซึ่งต้นทุนแร่ถูกกว่ามาก และเป็นที่นิยมใน EV จีนมานานแล้ว
#Lithium Iron Phosphate (LFP)
ข้อดีของ LFP ตอบโจทย์เพราะไม่ได้มีส่วนผสมของ “Cobalt” และสามารถนำมาใช้งานได้เหมือนกัน โดยส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่แบบ LFP คือแร่ “Iron” และ “Phosphate” ที่มีอยู่เยอะมากบนโลกใบนี้และราคาถูกกว่ามาก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตแบตลดลงได้เยอะ และยังปลอดภัยกว่าแบตแบบ NCA และ และ NCM อีกด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าแบตเตอรี่แบบ LFP จะมีข้อดีอยู่มากมาย แต่ข้อเสียของมันก็มีอยู่เช่นกัน โดยที่แบตเตอรี่แบบ LFP จะมีประสิทธิภาพที่น้อยกว่า เก็บพลังงานได้คิดเป็นเพียง 60-75% เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่แบบ NCA และ NCM
แถมส่วนประกอบ LFP นำมารีไซเคิลได้น้อย เน้นใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง จึงดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ฝั่งแบตเตอรี่แบบ NMC ก็ยังได้รับการพัฒนาสูตรที่ใช้ส่วนผสมของ Cobalt น้อยลงมาก เพื่อลดต้นทุนลงมาสู้เช่นกัน
จึงสามารถสามารถสรุปได้ว่าแบตเตอรี่แบบ LFP ถึงแม้ราคาจะถูกกว่าและปลอดภัยมากกว่า แต่ประสิทธิภาพของมันก็ด้อยกว่าเช่นกัน
ทำให้เราเชื่อว่าเทรนด์ในอนาคต แบรนด์รถยนต์ต่างๆอาจเลือกใช้แบตเตอรี่แบบ LFP ในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ไม่ได้ต้องการสมรรถนะสูงมาก เน้นตีตลาด mass ราคาต่ำล้าน ถึงล้านต้นๆ โดย Tesla หนึ่งในผู้นำการลดต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า ก็ได้ประกาศในช่วงปลายปีที่ผ่านมาว่าบริษัทจะเลือกใช้แบตเตอรี่แบบ LFP ในรถไฟฟ้ารุ่น Standard-Range ของเขาทั้งหมด
ขณะที่รถระดับ Mid-tier กับ High-tier จะยังเลือกใช้แบตเตอรี่แบบ NMA และ NMC เพราะแม้ต้นทุนแบตจะแพงแต่ก็อัพราคารถยนต์ขึ้นมาและโม้ว่ารถเราขับได้ไกลเป็นจุดขายแทน
#Solid State Battery
และอีกหนึ่งเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ที่เรายังไม่ได้กล่าวไปข้างต้นคือ “Solid State Battery” โดยมันเป็นแบตเตอรี่ที่ทำจากแร่ซิลิคอนกว่า 50% ซึ่งถ้าให้อธิบายเชิงวิทยาศาสตร์คงมีหวังจะงงกันแน่ๆ เลยขอสรุปสั้นๆว่าข้อดีของมันอยู่ตรงที่จุดเดือดสูงกว่าแบตเตอรี่แบบเหลวทำให้โอกาสที่แบตจะบวมจนระเบิดเป็นไปได้ยาก มีความจุพลังงานมากกว่าและสามารถรองรับการชาร์จกระแสไฟฟ้าที่รวดเร็วกว่าด้วย
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาอีกมากเพื่อที่จะนำมาใช้งานได้จริง แถมการผลิตก็ยังมีในปริมาณน้อยมาก ส่วนใหญ่ทำออกมาเพื่อทดสอบประสิทธิภาพและทำการตลาดอวดผู้บริโภค มันจึงมีราคาค่อนข้างสูงมากในปัจจุบันและยังไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในในเชิงพาณิชย์เร็วๆนี้
โดยคาดการณ์ว่า Solid State Battery จะมีราคาที่สามารถนำมาแข่งขันในตลาดได้ในปี 2030 เลยทีเดียว
เราเชื่อว่านักลงทุนต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะว่า Solid State Battery ถ้าสามารถนำมาใช้งานในระดับ Mass Production ได้จริง อาจจะ Disrupt วงการแบตที่มีอยู่ในปัจจุบันเลยก็เป็นได้!
#ผู้เล่นในตลาดแบตมีใครบ้าง?
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักเทรนด์แบตเตอรี่ที่กำลังจะเกิดขึ้นไปแล้ว คราวนี้เรามาดูกันต่อว่าผู้เล่นในตลาดที่น่าจะได้ประโยชน์มีใครบ้าง!
โดยปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในโลกจะมีหลักๆอยู่ด้วยกัน 5 บริษัท
1. CATL (จีน) → มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 30%
2. LG Energy Solution (เกาหลี) → มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 25%
3. Panasonic (ญี่ปุ่น) → มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 13%
4. BYD (จีน) → มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 8%
5. SK Innovation (เกาหลี) → มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 5.5%
โดยทุกบริษัทที่กล่าวมาข้างต้นจะผลิตแบตแบบ NMC, NCA เป็นหลักอยู่แล้ว แต่จะมีแค่บริษัทจากจีนอย่าง CATL และ BYD ที่ผลิต LFP ร่วมอยู่ด้วยในปัจจุบัน ส่วน LG Energy, Samsung, และ SK Innovation กำลังอยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนา แต่ Panasonic ได้กล่าวว่าบริษัทยังไม่มีแพลนที่จะทำ
ซึ่งเราเชื่อว่าทุกบริษัทที่กล่าวมาน่าจะได้ประโยชน์จากเทรนด์การใช้แบตเตอรี่ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่จะมีเฉพาะ CATL และ BYD จากจีน ที่ชำนาญในการทำแบตเตอรี่แบบ LFP อยู่แล้ว โดยจะได้ออเดอร์จากแบรนด์รถยนต์ต่างๆที่หวังตีตลาด Mass หันมาใช้เบตเตอรี่แบบ LFP มากกว่านี้
ส่วน Solid State Battery ก็จะมีบริษัทอย่าง QuantumScape, Toyota, และ Nissan ที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา
1
นี่คือตัวอย่างบทความในกลุ่ม Exclusive อ่านบทความเจาะลึกแบบนี้ได้เฉพาะในกลุ่ม Exclusive สมัครได้ที่ลิ้ง
BottomLiner
โฆษณา