2 เม.ย. 2022 เวลา 02:17
#BenNote
พี่หนุ่ม ร้านหนังสือเดินทาง
ร้านหนังสือเดินทาง - Passport Bookshop
#DNA6bySPU #DNA4bySPU
เมื่อวันก่อนขอ Director ไอซ์ไปนั่งซึบซับบรรยากาศ DNA แก้คิดถึงในวันเปิดหลักสูตร DNA6 ค่ะ ยังคงยืนยันคำเดิมว่าหนึ่งในคลาสที่ชอบที่สุด รักที่สุด ในหลักสูตร DNA คือคลาสนี้ คลาสของพี่หนุ่ม อำนาจ รัตนมณี แห่ง Passport Bookshop ... เมื่อ 3 ปีที่แล้วเคยได้พลังใจอย่างไร ปีนี้หลังสู้โควิดกันมา 2-3 ปีได้ฟังอีกครั้งก็ยังประทับใจและได้แรงบันดาลใจกลับมาเหมือนเดิม ไม่สิ ไม่เหมือนเดิม เพราะมันเพิ่มเติมมาขึ้นอีกค่ะ ทำไมน่ะเหรอคะ ...
เพราะคำตอบของคำว่า “ทำไม” ... ในประโยคเหล่านี้ค่ะ
- 20 ปีก่อนตอนพี่หนุ่มลาออกจากงานประจำมาทำร้านหนังสือ มีแต่คนบอกว่าไม่น่าอยู่ได้ คนไทยไม่อ่านหนังสือ แต่ร้านพี่หนุ่มเกิดขึ้นได้ ... เอ๊ะ ทำไมนะ
- 10 ปีก่อน Digital Disruption มา คนก็บอกว่าร้านหนังสือไม่น่าอยู่ได้ เค้าไปออนไลน์กันหมดแล้ว แต่ร้านพี่หนุ่มยังรอดอยู่ได้ ... เออ ทำไมนะ
- 2-3 ปีที่ผ่านมาเจอโควิด ต่อให้เป็นปัจจัย 4 ของชีวิต ธุรกิจยังล้มหายตายจาก ในประเทศที่อัตราเฉลี่ยการอ่านหนังสือเท่ากับ 8 บรรทัด ร้านหนังสือพี่หนุ่ม... ก็ – ยัง – อยู่ – ได้ ... นี่มันยิ่งกว่ามหัศจรรย์แล้ว เราต้องมาถามตัวเองหนัก ๆ แล้วว่า ...
ทำไม ...
ทำไมร้านหนังสือของพี่หนุ่มยังคงอยู่รอดมาได้ ผ่านมาได้ทุกวิกฤติ ... เรื่องนี้บอกอะไรเรา พี่หนุ่มนำ “แก่นแกนและหัวใจในการดำเนินธุรกิจ” ของพี่หนุ่มมาแบ่งปันกับพวกเราอีกครั้ง เบ็นขอเรียกว่า “แก่นแกนและหัวใจ” เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน อุปสรรคจะเป็นเรื่องใด พี่หนุ่มยังคงดำรงแก่นแกนและหัวใจนี้ไว้และมันก็นำพา “ร้านหนังสือเดินทาง” ผ่านเวลามาได้อย่างงดงามจนถึงวันนี้ค่ะ เบ็นเชื่อว่าทุกคนที่ได้ฟังในวันนั้นน่าจะอยากทำให้ได้อย่างพี่บ้าง คือสามารถพาชีวิตตัวเองไปทำงานที่รัก ... จนงานไม่ใช่งาน ... จนงานเป็นชีวิต และเป็นชีวิตที่ “รอด” อยู่ได้อย่างยั่งยืน
ขออนุญาตนำ #BenNote ที่เคยเขียนไว้มา Update บางแง่มุมใหม่ ๆ ตามที่พี่หนุ่มนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในคลาสนะคะ เชื่อว่าข้อคิดดี ๆ ทั้งหมดนี้เป็น “แก่นแกน” ที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ เป็น “หัวใจ” ที่ใช้ได้กับทุก ๆ งาน ไม่ใช่กับแค่งานเจ้าของร้านหนังสือเท่านั้น ถึงการเป็นเจ้าของ “ร้านหนังสือเดินทาง” ที่กลายเป็น super unique community นี่มันจะน่าอิจฉามาก ๆ ก็เหอะ ... มาตามมาเลยคะ เบ็นจะขยายยยยย ให้ฟัง... 😊
______________________________________
...ร้านหนังสือ chain store ขาย similarity ... ในขณะที่ Independent Book Shop ขาย Differentiation แต่ละร้านมีความ Unique ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้ Independent Book Shop ยังคงยืนอยู่ได้ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากแห่งความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน
ถ้าเรามองว่า “วัฒนธรรมการอ่านไม่แข็งแรง” คืออุปสรรค เราก็ไปต่อไม่ได้ >> หันมามองบวกได้ไหม >> นั่นแปลว่าเรามีโอกาสสร้างนักอ่านใหม่อีกตั้ง 90% เลยนะ
ท่ามกลางอุปสรรคมากมายของร้านหนังสือขนาดเล็ก
- คนไม่อ่าน อ่านหนังสือเล่มน้อยลง
- กำไรน้อยและถูกกำหนดมาแล้วขายเกินราคาปกไม่ได้
- กำไรส่วนใหญ่หมดไปกับค่าเช่าพื้นที่ ยิ่งอยู๋ในที่เก๋ ๆ เป็นถนนสายวัฒนธรรมที่เข้มข้นมาก การแข่งขันเรื่องพื้นที่ยิ่งสูง ทุกคนอยากมีร้านบนถนนพระอาทิตย์ มันชิค มันติสท์ มันเท่ แต่ค่าเช่าไม่เท่เลยสำหรับเจ้าของร้าน
- เราตัวเล็กสำนักพิมพ์และสายส่งไม่ค่อยสนใจ เสียงไม่ดัง
- คู่แข่งตัวใหญ่ มีอำนาจต่อรองเยอะกว่า stock ของได้มากและหลากหลายกว่า ลูกค้าก็อาจจะชอบที่ไปร้านใหญ่มากกว่า
- มีงานสัปดาห์หนังสือมา bypass ร้านหนังสือ และสร้างวัฒนธรรมการลดราคา บางเล่มลดตั้งแต่วันแรกที่ออกมาเลย ไหนจะทั้งกะบะราคาเดียว ไหนจะ buffet TT__TT
นั่นเป็นปัญหาที่เกิดมาพร้อมร้านหนังสือไม่ว่าจะตั้งร้านหนังสือในยุคไหนก็ต้องเจอทั้งนั้น และเมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิตอล ... อุปสรรคมากมีก็ยิ่งมากมายเข้าไปอีก
- โลกออนไลน์แย่งเวลาคนอ่านไป
- มีคู่แข่งใหม่เป็นร้านออนไลน์ที่นักเขียนขายงานได้เอง
ท่ามกลางปัญหารอบด้านมโหฬารบานตะไทแบบนี้
ถ้าเรายังรักที่จะทำทั้งที่บริบทไม่เอื้อขนาดนี้
#เราจะทำให้มันอยู่รอดได้อย่างไร?
คำตอบคือ #หาลูกค้าของเราให้เจอ
แล้วเราจะหาลูกค้าของเราเจอได้อย่างไร ...
คำตอบคือ ... #หาตัวเองให้เจอก่อน
แล้วหาตัวเองยังงัยนะ ...
คำตอบคือถามตัวเองให้ชัดว่าเรามี 5 อย่างนี้ไหม
💖 รัก 💖 เชือ 💖 มี 💖 เป็น 💖 ได้
1. #รัก
เราต้องมีแรงขับ จะเรียกมันว่า Drive, Passion, Motivation หรืออะไรก็ได้ ประเด็นคือ #เราต้องรู้ว่าเราทำไปทำไม? เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
คนเราทุกคนรู้จุดเริ่มต้น แต่ไม่รู้จุดจบของชีวิต เราจะบริหารความไม่แน่นอน ให้ชีวิตเรา “เต็ม” และจบอย่างไม่ติดค้างได้อย่างไร
#คนเราควรจะใช้ชีวิตให้เป็นตำนานของตัวเอง #มีชีวิตที่เป็นMottoของเราเอง
มองกลับไปเราต้องภูมิใจ ต้องพูดได้ว่านั่นแหละชีวิตที่เราอยากใช้ เมื่อเวลาของเรามาถึง เราควรจะตอบตัวเองได้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
#สิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าและมูลค่าหรือเปล่า
มีคุณค่าคือมีความหมาย ทำให้ชีวิตเราเหมือนถูกโอบกอดไว้ด้วยความสุข จนเรามีแรงส่งความสุขนั้นให้คนอื่นได้ และทิ้ง legacy ไว้ใหคนพูดถึง
มีมูลค่าคือมันเป็นอาชีพให้เราได้ ดูแลเราได้ในเชิงเศรษฐกิจ
ชีวิตคือการสร้างสมดุลระหว่าง 2 สิ่งนี้ ในขณะที่มันมีคุณค่าและมีความหมาย มันก็ต้องมีมูลค่าทำให้เราเลี้ยงตัวได้ แน่นอนว่าไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ สิ่งเดียวก็ยากแล้ว สมดุลทั้ง 2 สิ่งยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ถ้ามันยาก คนเริ่มก่อนก็ถึงก่อน และคนที่ถึงก่อนเท่านั้นที่จะเป็นตำนาน ถ้าต้องสู้ต้องทน การทนกับเรื่องที่รักดีกว่าทนกับเรื่องที่ไม่รัก และเรื่องที่รักมักทำให้เราไม่ต้องทน
ระหว่างเดินทางอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในบริบทอื่น เช่นพี่หนุ่มเลือกแล้วว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ ผ่านไป 10 ปีเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นผู้บริหาร เงินเดือนเยอะ มีบ้าน มีรถ มีชีวิตสบาย ถ้าเอาตัวเองไปเทียบกับเพื่อนก็ไม่สบายใจและมีแต่ฉุดรั้งใจตัวเองลง เราต้องรู้ว่า KPI ของเราคืออะไร เมื่อเป้าหมายเราชัดมันจะมีพลังลึกลับทำให้เราไปต่อไปได้ 😊
2. #เชื่อ
เชื่อในพลังของสินค้าของตัวเอง รักและศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองทำ มีทัศนคติที่ดีต่องานของตัวเอง คนทำร้านหนังสือ ถ้ารักหนังสือ เวลาว่างไม่มีลูกค้าก็จะอยู่กับหนังสืออ่านหนังสือ ทำให้เรารู้จักหนังสือทุกเล่มในร้านของเรา สามารถแนะนำลูกค้า คุยต่อยอดกับลูกค้าได้ แต่ถ้าคุณไม่รักสิ่งที่คุณทำ คุณจะมองว่าหนังสือเป็นแค่สินค้าที่ต้องทำกำไรให้ได้สูงสุด เมื่อมองกำไรเป็นที่ตั้งคุณก็จะเอาอะไรก็ได้ที่ขายได้มาขาย อะไร popular คุณก็เอามาขาย อย่าลืมว่าทุกคนก็คิดเหมือนคุณ ของ popular ที่ไหนก็มี ซื้อที่ไหนก็ได้
ความรักและความเชื่อจะทำให้เราสามารถกำหนดตลาดของตัวเองได้
เพราะความรัก (passion) จะทำให้เราศึกษาจนรู้ว่าอะไรดี ไม่ดี >>> ความ “รู้จริง” จะกำหนดอนาคตของเรา เพราะเมื่อเรา “จริง” ... Unique Identity ของเราจะเกิด >>> Then ... ลูกค้าจะ “เห็น & วิ่งมาหาเราเอง”
เราจะกลายเป็นผู้ชี้นำ “ตลาดของตัวเอง” ไม่ต้องตามตลาดอะไรใดใด
3. #มี
มีทรัพยากรในการทำธุรกิจนั้น (เงิน สถานที่ ...) มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก มีอย่างอื่นมาเพิ่มรายได้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า “เราคือใคร” ex. ร้านหนังสือขายกาแฟก็ได้นะ แต่สาระสำคัญของเราต้องยังอยู่ที่หนังสือ ไม่ใช่กาแฟกลบหนังสือซะมิด
อย่าลืมแก่น... ความหรูหราของ Hardware เป็นเพียงเปลือก ถ้างบน้อยเน้นสิ่งที่จำเป็นนั่นคือ Product ที่คุณมี ... มันต้องดี มันต้องใช่ มันต้องโดน
4. #เป็น
เป็นคนที่มีบุคลิกเอื้อกับธุรกิจที่ทำ เจ้าของมีผลอย่างยิ่งต่อบุคลิกของร้าน [อันนี้พี่หนุ่มกะร้านหนังสือเดินทางนี่โคตรใช่] เจ้าของธุรกิจต้องใจเย็นพอและรับฟังเป็น ร้านหนังสืออิสระยังคงอยู่มาได้เพราะคนสามารถเดินเข้ามาแล้ว “คุย” ได้ หนังสือเป็นจุดเริ่มต้นให้ “ขยาย” ความสัมพันธ์ได้
กลับมาถามตัวเราเอง ... บุคลิกของเรา สินค้าของเราเป็นเครื่องมือเริ่มต้นความสัมพันธ์ได้ดีพอหรือยัง ... เอาเป็นว่ามีไหมก่อนดีกว่า 555 เราเป็นเจ้าของสินค้าที่ดีพอและมีสินค้าที่ดีพอให้ลูกค้าเข้ามาสร้างสัมพันธ์กับเราหรือยัง
จำไว้ว่าบุคลิกด้านบวกจะดึงดูดพลังบวกและคนที่มีพลังแบบเดียวกันให้เข้ามาดูแลกันและกันนะคะ
5. #ได้
ได้แรงใจและ support จากตนใกล้ตัว หรือถ้าไม่ support ก็ไม่ขัดขวาง ถ้าเราพร้อมลุยแต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย เราจะสนุกไหมที่จะสู้? ถ้าเราอยากไปแต่แฟนบอกไม่เชื่อ เราจะไหวไหมนะ?
ขอยืม Quote ของ Director ไอซ์มาพูด “เพราะโลกมันกว้างคนข้าง ๆ จึงสำคัญ” ... ไม่ใช่กว้างอย่างเดียว โลกตอนนี้มันโหดร้ายมากด้วย เราต้องการกำลังใจและไหล่ที่จะให้เราพัก - พิง
ถามว่า 5 ข้อนี้อะไรสำคัญที่สุด พี่หนุ่มตอบว่า Passion ค่ะ คือถ้ามีรักแต่ไม่มีข้ออื่นยังงัยความรักก็จะทำให้เราฟันฝ่าแก้ปัญหาไปจนได้ เช่นไม่มีข้อ 5 พี่หนุ่มจบรัฐศาสตร์ พ่อแม่อยากให้รับราชการ พี่หนุ่มก็พิสูจน์จนท่านเห็นว่าพี่หนุ่มสามารถดูแลตัวเองได้ด้วย “ร้านหนังสือ” ...
“มีใจ” อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้น 😊
#หาตัวเองเจอแล้วยังงัยต่อ
จงทำ ... 6 ข้อนี้
( 1 ) ทำให้ต่าง
ในแง่ของประเภทสินค้า
หากคุณ “เล็ก” จง “ลึก”
เอาให้ชัดว่าถ้าคิดถึงเรา เค้าต้องนึกถึงอะไร เมื่อ concept ชัด คำตอบก็จะชัดว่าคุณจะขายอะไร เมื่อลูกค้ารู้ว่ามาหาเราแล้วจะได้อะไร ลูกค้ากลุ่มนั้นก็จะเป็นของเรา
#ชื่อนั้นสำคัญไฉน
ชื่อ = การสื่อสารครั้งแรก ถ้าเราทำได้ชัดคือ “จบ” ชื่อจึงต้องตอบโจทย์ มี gimmick สื่อสารถึง product ex. ร้าน Hide School ข้าง รร.สตรีวิทย์ (ประมาณว่าหนีโรงเรียนมาคาเฟ่จ้ะ 555)
การตั้งชื่อที่ดี อย่าส่วนตัว จนไม่เชื่อมโยงกับคนอื่น คุณต้อง connect ต้องเป็นส่วนหนึ่งของลูกค้า และเมื่อชื่อร้านจะเป็น Branding ที่ติดตัวเราตลอดไป อย่าตั้งให้ต้องมีเสียใจหรือ rebrand ในภายหลังเนาะ ควรตั้งให้ positive เนาะ ชื่อ Negative อาจเรียกร้องความสนใจได้ แต่ฟังบ่อย ๆ ก็ระคายหูและอาจพังไปในที่สุดนะคะ
Case ร้านหนังสือเดินทาง
> เจ้าของชอบเดินทาง
> ตั้งชื่อ “ร้านหนังสือเดินทาง” นั่นคือหนังสือคือการเดินทาง / หนังสือเดินทางได้ ร้านนี้เป็นเหมือน passport ให้เราออกไปเจอโลก
> ชื่อชัดปั๊บ ... ทุกอย่างตามมา ... ของที่ขาย การตกแต่ง บรรยากาศ กิจกรรม etc...
เรียกว่าชัดจนคนเข้าใจผิดจะมาทำ Visa ที่นี่ 🤣 มาถามเรื่องการเดินทางการท่องเที่ยวที่นี่ เหมือนเป็นสำนักงานการท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว 😆 เนี่ยยยย เราต้องชัดเบอร์เนี้ย ถึงเราจะทำให้ลูกค้าไม่ได้แต่มันก็สร้างรอยยิ้มและเป็นจุดเริ่มต้นของ conversation ระหว่างกันได้นะคะ (ความน่ารักของพี่หนุ่มคืองั้นไปหาแผ่นพับข้อมูลตั่งต่างเรื่อง Visa / หนังสือเดินทาง / Etc… ที่ลูกค้ามักหลงมาถาม มาเตรียมไว้ให้บริการลูกค้ากันไปเลย 555 so cute)
เมื่อเราชัดเราก็กำหนดตลาดได้ เช่นร้านพี่หนุ่มชั้น 2 เป็น Zone หนังสือเก่า เป็น Collectible หายากที่เหมาะกับ concept ร้าน ของบางอย่างหนังสือบางเล่มเอาไปวางไว้ในที่ ๆ ไม่เหมาะก็ขายไม่ได้ แต่เมื่อมันอยู่ในที่ที่มีความหมาย ถูกที่ ถูกเวลา ... ราคาก็ไม่ต้องพูดถึง 😊
( 2 ) บรรยากาศต่าง
- ต้อง “มา” เท่านั้นจึงจะได้บรรยากาศนี้ (เพลง กลิ่น display, community, etc...)
- สร้าง experience ทำให้การมาร้านเราเหมือนการมาพักผ่อน
- สร้างบรรยากาศ ทำให้ลูกค้าอยู่ในร้านได้นาน ๆ
- ทำร้านให้มี “ขีวิต” ... อยากให้ร้าน “มีชีวิต” ก็เอาชีวิตมาใส่ และมีอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ex. มีต้นไม้จริง ๆ มีของแต่งร้านใหม่ ๆ ตามธีม เปลี่ยนบรรยากาศร้านบ่อย ๆ
( 3 ) มุ่งมั่น มีวินัย proof ให้คนเห็นว่าเราทำจริง & จริงใจ
- คนดี ๆ จะมีคนช่วย
- ข้างนอกนั่นมีคนให้โอกาสเสมอ แต่คุณต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน
Case ร้านหนังสือเดินทาง
- ทำรีวิวด้วยตัวเอง เขียนด้วยลายมือ การแนะนำหนังสือจากคนที่อ่านจริงมีน้ำหนักมากกว่าการจัดอันดับ Best Seller อีกนะ
- ทำให้ลูกค้าเห็นว่าลูกค้าคือคนสำคัญเสมอ เช่น ติด postcard ที่ลูกค้าส่งมาไว้ในร้าน เขียนเรื่องราวถึงลูกค้าที่น่าปะทับใจ
เมื่อเรา “จริง” คนที่เหมือนกันจะเข้ามา เมื่อให้ความจริงใจไปจะได้ความจริงใจกลับมา ความสัมพันธ์ก็จะเริ่มต้นขึ้น ร้านหนังสือก็เป็นได้มากกว่าร้านหังสือ เป็นที่จัดงาน เป็นที่มาพบปะคนคอเดียวกัน เป็นแม้แต่พยานรักในงานแต่งงาน 😊
และถ้าสิ่งที่เราทำมันมีความสำคัญมันก็จะถูกบอกต่อ เมื่อเรา “จริง” คนก็เห็น เราจะกลายเป็น content ที่ทุกคนต้องการ ที่ผ่านมาร้านหนังสือเดินทางได้พื้นที่ประชาสัมพันธ์ด้วยการเป็น content ในบทความมากมายทั้งในและต่างประเทศ อาทิ The Cloud, The Momentum, Timeout, Retty, TripAdvisor, The Guardian ในที่สุดก็มีหนังสือ Pocket Book เรื่องราวของตนเอง (A Great Little Place Called Independent Bookshop) เรียกว่าได้ media ฟรีไปอีก ... สุดยอดค่า ...
จริง ชัด ประหยัดตังค์
( 4 ) สร้างหุ้นส่วนทางความรู้สึก
พี่หนุ่มบอกว่าที่รอดมาได้ทุกยุคผ่านมาได้ทุกสมัยก็เพราะ “ลูกค้า” ค่ะ ลูกค้าของร้านหนังสือเดินทางเหนียวแน่นมากเพราะพี่หนุ่มทำให้ลูกค้า “รู้สึก” ... คนเราจะจำสิ่งที่ทำให้เรารู้สึก เมื่อเราอยู่ในความรู้สึกเราจะอยู่ใรความทรงจำ พี่หนุ่มทำอย่างไร?
- ให้ความสำคัญกับ human touch ... แตะใจเค้าด้วยใจเรา ใส่ใจทุก ๆ จุด
- สร้าง community ด้วย activity ... เป็นตัวเชื่อมโยงผู้คน ทำให้ลูกค้ารู้จักกัน เช่นลูกค้าส่ง postcard มาเอามาติดอวดไว้ให้ทุคนได้อ่าน เจ้าของมาเห็นก็ภูมิใจ มี sense of belonging ถ่ายรูปอสด พาเพื่อนมาดู ก่อให้เกิดบทสนทนาใหม่ ๆ เป็นต้น
- ห่อหนังสือให้ด้วยมือแทนการใส่ถุง เพื่อที่จะใช้เวลาระหว่างนั้นทำความรู้จัก พูดคุยกับลูกค้า
- รับฟัง เป็นกระโถน / ศิราณี แนะนำในกาลที่เหมาะที่ควร
- เปลี่ยนสถานะของลูกค้ามาเป็นเจ้าของงาน (ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสร้างงานต่างๆ)
- สร้างงานที่จะทิ้งความทรงจำในใจ
#ความทรงจำ
- เราจะอยู่ในควมทรงจำของเค้าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำให้เขา “รู้สึก” หรือเปล่า
- ลูกค้าจะนึกถึงเราเมื่อได้มีเรื่องราวร่วมกัน
( 5 ) ร้านหนังสือต้องมีหนังสือ แต่ไม่จำเป็นต้องมีแต่หนังสือ
- มี activity ก็ได้นะ แต่มันต้อง “เกี่ยว” กะหนังสือ และ “เกี่ยว” กะ concept ร้าน คือเกี่ยวกะ “ตัวตนของเรา” ex. งานของร้านหนังสือเดินทาง = การเดินทางในแผ่นเสียง คอนเสิร์ตเพลงจากหนังสือ >>> ไปไกลได้ถึง เป็นสถานที่จัดงานแต่งของนักเขียน 🙂
#อะไรก็เกิดขึ้นได้
ถ้าเราอธิบายได้ว่ามันเกี่ยวกับธุรกิจเราอย่างไร
( 6 ) ใช้สื่อออนไลน์ให้เป็น
ที่ร้านพี่หนุ่มใช้เพื่อแนะนำ โดยเน้น story + emotion … อย่าบอก (inform) จงแสดง (express)
- เล่าว่ามีประโยชน์กับเขาอย่างไร
- เล่าความรู้สึกของเราให้เขารู้สึกด้วย
- จะให้คนอ่านรู้จัก คนเขียน (content) ต้องรู้จักก่อน ถ้าเราไม่เชื่อ ความเชื่อย่อมไม่ออก ถ้าเราไม่ศรัทธา เราจะอยู่กับมันไม่ได้
- Post ไม่ต้องบ่อย แต่ควรเขียนให้คน “รู้สึก”
- เนื้อหาบางอย่างใช้ได้ตลอดกาล เป็น Ever-Green
- สร้างเนื้อหาที่ใช้ได้ทั้ง online & offline ex. ของที่ระลึกจากการเดินทางของนักเขียน หนังสือสำหรับคนไม่ค่อยมีโอกาสกลับบ้าน หนังสือที่อ่านแค่ครี่งเล่มก็เหมือนเดินทางไปครึ่งโลก Blind Gift หนังสือเปลี่ยนชีวิต
#เนื้อหาจะเลือกคนอ่าน
#ธุรกรรมเกิดได้แม้ยอดไลค์ไม่เยอะ #เพราะ content ที่ดีจะไป touch คนที่มีกำลังซื้อเอง
( 7 ) โควิด (หรือวิกฤติอะไรก็เหอะ)
ทำอะไรเราไม่ได้ (หรือทำได้ก็ไม่มาก)
เราจะยังมีลมหายใจได้อยู่ หากเราทำสิ่งที่ “จำเป็น”
แน่นอนว่าช่วง lockdown ร้านต้องปรับไปขาย online แต่พี่หนุ่มไม่ลืมใส่ใจความรู้สึก สอบถาม พูดคุยและจัดหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ใครจะคิดว่าไม่เจอกันนาน ๆ ลูกค้าจะคิดถึงร้านหนังสือเดินทางมาก ถึงขนาดทักมาชวนเล่นเกมบ้างล่ะ ชวนทำ Surprise บ้างล่ะ แบบให้งบมาแล้วให้จัดหนังสือให้เลย ไม่ต้องบอกก่อนว่าส่งอะไรไปให้แบบเน้ ...
“ลูกค้า” คิดถึงพี่หนุ่มและร้านหนังสือเดินทางเมื่อต้องการ “หย่อนใจ” เรื่องแบบนี้เกิดได้เพราะอะไร? เพราะมี credit ที่สะสมมา
#เมื่อเราตั้งใจความเชื่อใจก็จะตามมา พี่หนุ่มเปลี่ยนกระดาศห่อหนังสือเป็นสีม่วงเปลี่ยนบรรยากาศ คนจะได้มีสีสันสดใสมนชีวิตเนาะ ... ก็เป็นกระแสในหมู่ลูกค้านะ มัน “สนุกดี”
ช่วงคลาย lock down เป็นช่วงที่เห็นชัดว่ามนุษย์ต้องการการสังเคราะห์แสงและต้องการปฏิสัมพันธ์ ต้องการพบเจอมนุษย์ 555 คือไม่ต้องออกจากบ้าน สั่งออนไลน์ก็ได้ชิลล์ ๆ งัย แต่คนต้องการออกมาอยู๋ในบรรยากาศที่ ๆ บ้านและ ออนไลน์ให้ไม่ได้ ร้านพี่หนุ่มก็กลับมา pop เหมือนเดิม 😊
#สรุปแบบชวนคิด
1. จุดเด่นที่ “เป็นเราจริงๆ” คืออะไร
2. ในโลกที่เคลื่อนไหวเร็ว เรายังต้องการ human touch อยู่ใช่ไหม
3. เทคโนโลยีเป็นแค่เครื่องมือ สิ่งสำคัญคือ message
4. การประสบควทมสำเร็จเป็นแค่ #ทางผ่าน ไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือ การมีชีวิตที่สมบูรณ์ ชีวิตที่สุขภาพยังดีและความสัมพันธ์ยังดี
#คิดอีกนิด
1. นี่คือชีวิตที่เราต้องการใช่ไหม
2. เรากำลังสร้างตำนานส่วนตัวอยู่ใช่ไหม
3. งานที่ทำมีประโยชน์ใช่ไหม
4. เมื่อวันนั้นมาถึง เราภูมิใจกับชีวิตที่เราผ่านมาใช่ไหม
You only live once but if you do it right once is enough.
เราเกิดมาครั้งเดียว แต่ถ้าครั่งเดียวของเรานั้นถูกต้อง มันก็เพียงพอ
เงินสำคัญ แต่ชีวิตสำคัญกว่าเงิน พี่หนุ่มส่งความปรารถนาดีให้พวกราทุกคนมีชีวิตที่สมบูรณ์ค่ะ
หนังสือแนะนำโดยพี่หนุ่ม (พี่หนุ่มให้ไว้ตอน DNA 4 เมื่อ 3 ปีที่แล้วนะคะ แต่เบ็นคิดว่าก็น่าจะยังใช้ได้อยู่ค่ะ)
1. The Alchemist (ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า)
2. Sapiens
3. ความลับ 5 ข้อที่คุณควรค้นให้พบก่อนตาย
4. ที่ทางของคุณบนโลกนี้
#หนังสือจะเสริมพลังให้เรา
#หนังสือจะขยายมุมมองในชีวิตให้เรา
#หนังสือให้เราได้ทั้งลึกและกว้าง
Q&A From DNA 6
1. (คุณเพ็นนี) ถ้าเรามีความฝันแล้วมีคนบอกเราว่าอย่าทำเลยไม่รอดหรอก เราควรทำอย่างไร
พี่หนุ่มบอกว่าให้ถามใจเราเองว่าถ้าไม่ทำแล้วติดค้างไหม ถ้าติดค้างจงทำ คนเราจะตัดสินทุกอย่างตามประสบการณ์ของตนเอง กรณีของการออกหนังสือ คนพูดแนะนำเราอาจจะไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสือ เค้าไม่รู้ว่าคนอ่านหนังสือยังมี
แต่การตัดสินใจทำหรือไม่ทำเป็นเรื่องนึง ส่วนทำแล้วจะ success ไหมเป็นคนละเรื่องกันนะ ทำแล้วจะขายได้ไหม เราก็ต้องไปทำการบ้านเพิ่มว่าเราเขียนอะไร มีประโยชน์กับผู้คนไหม
สรุปถ้าฝันอะไรแล้วไม่เดือนร้อนเชิงเศรษฐกิจ คือไม่ใช่ทำแล้วต้องอดตาย จงทำ นั่นเป็นการ complete mission ในชีวิต
2. (คุณตือ) มีเหตุการณ์ที่พี่หนุ่มตัดสินใจผิดหรือมีข้อผิดพลาดอะไรที่อยากแก้ไขไหม
พี่หนุ่มยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มี” ที่ตอบแบบนี้เพราะเช็คตัวเองแล้วว่าตื่นเช้ามาอยากมาร้านไหม ได้คำตอบว่าอยาก พี่หนุ่มยังตื่นเต้นอยากมร้าน ไปไหนก็คิดถึงร้าน พี่หนุ่มคิดว่านั่นตอบโจทย์ชีวิตแล้ว
ในรายละเอียดระหว่างการเดินทาง ตอนเริ่มทำร้าน 2 ปีแรกแฟนยังทำงานประจำ เลิกงานต้องมาช่วยที่ร้านด้วย มันหนักจนแฟนป่วย มีจุดหนึ่งที่แฟนถามว่าจะทำไปอีกนานแค่ไหน จุดนั้นมัน Hurt นะ พี่หนุ่มมาคิดว่าเราได้ทำสิ่งที่เรารักแล้วคนที่เรารักเจ็บ มันคุ้มกันไหม พี่หนุ่มบอกแฟนว่าขอลองอีกนิดว่าจะอยู่ได้ไหม แฟนให้โอกาส (supporter สำคัญจริง ๆ เนอะ) และมันก็ผ่านจุดนั้นมาได้ ที่สุดแฟนก็ออกจากงานประจำมาช่วยกันทำให้ร้านมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้ 😊
3. (คุณเชษฐ์) ร้านของพี่หนุ่มเป็นมากกว่าร้านหนังสือ แต่เป็น community พี่หนุ่มมีเคล็ดลับบริหาร community อย่างไร
พี่หนุ่มบอกว่าไม่มีสูตรตายตัว แต่บอกเลยว่า...
o ที่ใจกลาง community ต้องมีความรัก ถ้าเราไม่รักคนก็รู้
o เราต้อง define ความสำเร็จของเราใหม่ มันคือรายได้เชิงเม็ดเงินอย่างเดียวหรือเปล่า หรือเรามีรายได้เชิงความสัมพันธ์ด้วยได้ไหม
o ถ้าเรารักงานของเรา เราจะทำงานที่ผลิตความสุขให้เราได้ทันที ทำงานที่ทุกวันเจอคนที่เราอยากเจอ ไม่ต้องรอเสาร์-อาทิตย์
o อยากให้คนอื่นทำกับเราแบบไหนก็ทำกับคนอื่นแบบนั้น
o จงยืนมือออกไปหาคนอื่นก่อน
โดยสรุปมันคือการบริหารสถานการณ์ตรงหน้าด้วย Sense & Experience
4. (คุณป๊อก) พี่หนุ่มเจ๋งมากเลย แต่มันดูเป็นงานศิลปะ เป็นความเฉพาะตัวของพี่หนุ่ม ซึ่ง SMEs ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้คือเจ้าของเป็นตัวจริงและทุ่มสุดชีวิต ปัญหาคือมันจะ scale-up ยังงัย Character มันกด Copy & Paste ไม่ได้ พี่หนุ่มมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร
พี่หนุ่มบอกว่า ณ วันนี้พี่หนุ่มเองก็ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ มีคนถามมาตลอดและก็คิดอยู่ตลอด ต้องยอมรับว่าการทำเองมันก็เป็นทั้งข้อเด่นและข้อด้อย ข้อเด่นคือใน gen ของเจ้าของมันจะ Unique และทำให้อยู่รอดได้ แต่ข้อด้อยคือไม่เห็นภาพที่จะ “ขยาย” ได้
พี่หนุ่มบอกว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเพราะตัวพี่หนุ่มเองลึก ๆ ก็อาจจะไม่ได้อยากทะลุออกไปอยู๋แล้ว จึงยังมองภาพไม่ออกด้วย ขอติดไว้ก่อนเนาะ ความน่ารักคือพี่หนุ่มบอกว่าใครมีอะไรก็มาแชร์ได้นะ พี่หนุ่มก็อยากรู้เหมือนกัน 😊
(เรื่องนี้เบ็นว่าเวลาที่เปลี่ยนไปทำให้พี่หนุ่มมองมันเปลี่ยนไปด้วยค่ะ ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ แต่เบ็นว่าน้ำเสียงของพี่หนุ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนั้นพี่หนุ่มตอบชัดมากว่าไม่ได้อยากขยาย แต่วันนี้พี่หนุ่ม ... ก็อาจจะยังไม่ได้อยากขยายนะคะ แต่ดูเหมือนจะสนใจอยากฟังอยาก explore ว่ามันมีวธีไหมนะ 😊)
5. (คุณต๊อก) ถ้าจะมีอีกร้านหนึ่งพี่หนุ่มอยากทำธุรกิจอะไร (คำถามนี้น่าสนใจมากๆ ค่ะ)
คนชัดเจนแบบพี่หนุ่มตอบว่าคิดไม่ออก 555 ไม่เห็นภาพตัวเองที่ต่างจากนี้ ไม่ได้สนใจ “อย่างอื่น” นอกวงนี้ แต่ถ้าเป็นการต่อยอดไปจากร้านหนังสืออาจจะมีความเป็นไปได้ เช่น ขยับไปพิมพ์หนังสืออะไรแบบนี้ค่ะ
Q&A From DNA 4
1. ทุกอย่างมีเกิดมีดับ ร้านเปิดได้ก็ปิดได้ ในอนาคตหากไม่มีพี่หนุ่มแล้ว ถ้ามันต้องปิดก็คือปิด
2. ถ้าเราเจองานที่เรารัก เราจะทำมันได้จนวันสุดท้ายของชีวิต คนที่เราเจอทุกวันคือคนที่เราเลือกแล้ว ไม่ต้องรอวันหยุดเพื่อเจอผู้คนเหล่านั้น
3. พนักงาน “รัก” สินค้าคุณไหม พนักงานร้านหนังสือไม่รักหนังสือก็ขายหนังสือไม่ได้
4. คนทุกคนต้องหาพื้นที่ที่ belong
เรามีหน้าต้องสร้างพื้นที่แบบนั้นให้ผู้คน
ถ้าเค้า belong เค้าจะกลับมา
5. คนทำธุรกิจเดียวกันไม่ใช่คู่แข่ง เพราะเนื้อแท้ของแต่ละคนก็ต่างกันอยู่ดี เป็นเพื่อนกันดีกว่า จักรวาลธุรกิจจะได้ใหญ่ขึ้น บรรยากาศอุตสาหกรรมก็จะดีขึ้น คึกคักขึ้น #เพชรแท้ไม่กลัวไฟ #ถ้าแก่นเราแท้ก็ไม่ต้องกลัวใคร
6. อ่านเยอะๆ คุยเยอะๆ เดินทางเยอะๆ แล้วชีวิตจะตกตะกอนให้เราเจอธาตุแท้ของตัวเราเอง
#เมื่อวันนั้นมาถึง สิ่งเดียวที่คุณจะเสียใจก็คือสิ่งที่คุณไม้ได้ทำ
จบแบบอิ่มเอม มีความสุข และเปี่ยมไปด้วยพลัง อยากออกไปสร้างตำนานของตัวเอง 🙂 ขอบคุณพี่หนุ่มและไดไอซ์มากๆ ค่ะ
#benji_is_learning
#benji_is_drawing
#bp_ben
Cr.ภาพพี่หนุ่มจาก DNA6bySPU by #GolfSirapopPhoto
ขอบคุณค่ะ
โฆษณา