2 เม.ย. 2022 เวลา 05:01
สังคมผู้สูงอายุกับผลกระทบทางเศรษฐกิจไทย
สังคมผู้สูงอายุแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ 1. สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) 2. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) และ 3. สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-age Society) ซึ่งจากคำนิยามขององค์การสหประชาชาติ สังคมผู้สูงอายุ คือ การที่มีประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด ถ้าหากมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 20 หรืออายุ 65 ปี เกินร้อยละ 14 จะถือว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดเมื่อมีสัดส่วนของประชากรที่อายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ
สังคมผู้สูงอายุถือเป็นปัญหาที่ทุกประเทศไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งแต่ละประเทศสังคมผู้สูงอายุจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ส่วนใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาจะมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่สูงและเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุเร็วเนื่องจากการพัฒนาทางด้านการแพทย์และเทคโนโลยีที่ดี และประเทศมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ประชาชนในประเทศมีรายได้มากส่งผลให้มาตรฐานการครองชีพดีตามไปด้วย ประชาชนในประเทศเหล่านี้จึงมีสุขภาพที่ดี อายุยืนยาว อัตราการตายของประเทศจึงลดลง แต่ในขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ การที่ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคมผู้สูงอายุจึงเป็นปัญหาสำคัญที่หลายๆประเทศให้ความสำคัญซึ่งประเทศไทยเองก็ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความสำคัญและพร้อมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งนี้บทความนี้จะวิเคราะห์ถึง 1.สถานการณ์สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย 2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจไทย และ 3. การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุของไทย
1. สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดยมีประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 10.4 ของประชากรทั้งหมด 65.42 ล้านคน
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นในทุกปี ในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุ 12 ล้านคนซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18.24 ของประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน และถ้าหากประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติได้มีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2565 นี้ ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และประเทศไทยยังถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่จะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ด้วย
ในขณะที่จำนวนของผู้สูงอายุมีมากขึ้นทุกปี จำนวนการเกิดของประชากรในประเทศไทยกลับลดลง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่คนในสมัยนี้ไม่นิยมที่จะแต่งงานและมีลูก จากงานวิจัยของ ผศ. ดร.ศศิวิมล วรุณศิริ ปวีณวัฒน์ พบว่าระดับการศึกษาของผู้หญิงไทยที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่จะอยู่เป็นโสดและมีลูกน้อยลง ส่งผลให้อัตราการเกิดของประเทศลดลงสอดคล้องกับข้อมูลจำนวนการเกิดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนการเกิดของประชากรตั้งแต่ปี พ.ศ.2555-2564 มีจำนวนที่ลดลงในทุกปี
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
James Pomeroy นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร HSBC ระบุว่า “ยิ่งเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนานและรุนแรงมากขึ้น อัตราการเกิดก็จะยิ่งลดลงมากขึ้น” ตั้งแต่ปี 2563 ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 กิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกอย่างหยุดชะงักลง มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากข้อมูลจำนวนการเกิด-การตายของประชากรไทย พบว่าในปี พ.ศ. 2564 เป็นปีแรกที่จำนวนการเกิดของประชากรน้อยกว่าจำนวนการตาย แน่นอนว่าสาเหตุหลักมาจากโควิด ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เสียชีวิตจะเป็นผู้สูงอายุ ยิ่งมีอายุมากจะยิ่งมีความเสี่ยงของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตที่รุนแรงขึ้นจากการติดเชื้อ ถ้าตามธรรมชาติผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะเสียชีวิตมากอยู่แล้ว แต่การเกิดโควิดเหมือนเป็นการไปเร่งให้ผู้สูงอายุเสียชีวิตเร็วขึ้น จำนวนการตายในปี 2564 จึงเพิ่มสูงขึ้น และจากการระบาดโควิด-19 นี้ ทำให้หลายครอบครัวชะลอการมีบุตรออกไป แนวโน้มการเกิดของประชากรไทยก็ยิ่งลดลง
อีกทั้งประชากรรุ่นเกิดล้านที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2506-2526 ซึ่งเป็นช่วงปีที่มีประชากรเกิดมากที่สุดกำลังจะเข้าสู่วัยสูงอายุ 60 ปี ซึ่งจะทำให้จำนวนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี พ.ศ.2566 ถ้าอัตราการเกิดของประเทศไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องอีกไม่นานประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด
2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจไทย
สังคมผู้สูงอายุถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลาง เนื่องจากสังคมผู้สูงอายุไม่ได้ส่งผลแค่ทำให้สังคมมีคนสูงวัยจำนวนมากแต่สังคมผู้สูงอายุนี้ส่งผลกระทบมากมายต่อระบบเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งด้านอุปทานการผลิต ด้านอุปสงค์ การออมและการลงทุนของประเทศ และด้านการคลังของรัฐบาล การที่ประเทศไทยจะก้าวไปเป็นประเทศที่มีรายได้สูงจึงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น
ด้านอุปทานการผลิต
การที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประชากรในวัยแรงงานลดลง ซึ่งแรงงานถือเป็นกำลังที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในภาคของการผลิตและภาคการบริการ
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ในปี พ.ศ.2564 สัดส่วนวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) อยู่ที่ร้อยละ 64.12 ลดลงร้อยละ 2.91 จากปี พ.ศ.2555 ที่มีสัดส่วนวัยแรงงานร้อยละ 67.03 เมื่อสัดส่วนในวัยแรงงานลดลง การขาดแคลนแรงงานจะส่งผลให้คุณภาพของการผลิตสินค้าและบริการลดลง ส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้ลดลงด้วย
จากงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าคนไทยจะลดการทำงานเป็นจำนวนมากเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไปเนื่องจากมีความสามารถในการใช้พลังแรงกายทำงานลดลงและไม่ได้พัฒนาทักษะการทำงานของตน และอีกหนึ่งเหตุผลคือต้องการอยู่บ้านเพื่อดูและพ่อแม่ที่สูงอายุอีกที หรือดูแลลูกหลานของตนซึ่งสัดส่วนตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ถึงแม้ว่าผู้สูงอายุบางส่วนจะยังคงทำงานอยู่แต่ผู้สูงอายุมักมีข้อจำกัดในการทำงานอย่าง เช่น สุขภาพ ทักษะในการทำงาน เป็นต้น ทำให้ผลิตภาพของผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร
ที่มา : การวิเคราะห์โดยผู้เขียน
จากกราฟดุลยภาพของตลาดแรงงาน ในทฤษฎีอุปทานแรงงาน การขาดแคลนแรงงาน หมายความว่า มีอุปทานแรงงานลดลง เมื่ออุปทานแรงงานลดลงจึงส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น การขาดแคลนแรงงานและการที่ค่าจ้างสูงขึ้นอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจแก้ปัญหาโดยการนำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคนหรือนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานมากขึ้น เพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศ และอาจก่อให้เกิดปัญหาการเข้ามาแย่งงานของแรงงานไทยตามมา
ด้านอุปสงค์
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ในขณะที่ประชากรในวัยแรงงานลดลงประชากรสูงอายุมีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชากรในวัยพึ่งพิงมีมากขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ สัดส่วนของอัตราการพึ่งพิงเพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ.2560 อัตราการพึ่งพิงรวมอยู่ที่ร้อยละ 59.06 ต่อแรงงาน 100 คน โดยแบ่งเป็นเด็กอายุ 0-14 ปี ร้อยละ 32.83 และ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 26.23 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีอัตราส่วนการพึ่งพิงรวม ร้อยละ 55.22 แบ่งเป็นเด็ก 0-14 ปี ร้อยละ 35.55 และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 19.67 จากอัตราส่วนการพึ่งพิงที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเห็นได้ว่าถ้าแบ่งแยกเป็นเด็กอายุ 0-14 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป อัตราส่วนการพึ่งพิงในเด็กจะลดลงแต่อัตราส่วนพึ่งพิงในผู้สูงอายุกลับเพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากสัดส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น แรงงานจึงมีภาระในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อาจทำให้แรงงานมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น บริโภคได้ลดลง การบริโภคของภาคครัวเรือนจึงลดลง ส่งผลให้การบริโภคโดยรวมของประเทศชะลอตัวลงตามไปด้วย ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) อาจจะชะลอตัวลงได้
ด้านการออมและการลงทุนของประเทศ
เมื่อการเป็นผู้สูงอายุทำให้ขาดรายได้จากการทำงานหรือมีรายได้ที่ลดลงส่งผลให้การออม การลงทุนส่วนบุคคลลดลง ซึ่งเมื่อการออม การลงทุนส่วนบุคคลลดลงจะส่งผลให้การออม การลงทุนของประเทศลดลงตามไปด้วย อาจทำให้เงินออมภายในประเทศไม่สามารถรองรับการลงทุนได้และต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านการคลัง
ในสังคมไทย ผู้สูงอายุส่วนมากจะมีฐานะยากจนและมีรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ภาครัฐจึงกลายเป็นผู้แบกรับภาระที่ต้องจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุให้คนในจำนวนที่มากขึ้น จากข้อมูลรายงานการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. 2555-2562 ของกรมกิจการผู้สูงอายุพบว่า ในปี 2562 มีรายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทั้งหมด 71,911,177,200 บาท โดยจ่ายให้กับผู้สูงอายุจำนวน 9,093,916 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีรายจ่าย 52,535,425,200 บาท และมีจำนวนผู้สูงอายุ 6,785,434 คน นอกจากการที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลต่อรายจ่ายของภาครัฐแล้วยังส่งผลต่อรายรับของภาครัฐด้วย เพราะผู้สูงอายุที่ไม่มีงานทำ จะไม่มีรายได้ รายได้จากการเก็บภาษีของภาครัฐจะลดน้อยลง การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐในการลงทุนพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจอาจลดลงตามไปด้วย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการระบาดของโควิด-19 ต่อผู้สูงอายุ ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี พ.ศ.2563 การระบาดของโควิด-19 นี้ ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งเศรษฐกิจและสังคม ไม่เพียงแต่วัยแรงงานเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบในเรื่องของรายได้ กลุ่มผู้สูงอายุก็ได้รับผลกระทบจากการเกิดโรคระบาดด้วยเช่นกัน จากผลการสำรวจผลกระทบของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อประชากรสูงอายุในไทยโดยความร่วมมือระหว่างกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า ผู้สูงอายุที่ทำงานร้อยละ 81 ประสบปัญหาในการทำงานจากการระบาดของโควิด-19 โดยร้อยละ 36 ต้องสูญเสียอาชีพ พื้นที่ค้าขาย หรือถูกปรับลดเงินเดือน โดยผู้สูงอายุในเขตเมืองประสบปัญหานี้มากกว่าผู้สูงอายุในเขตชนบท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับวัยแรงงานแล้ว วัยทำงานเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะสามารถหางานทำได้ง่ายกว่าผู้สูงอายุซึ่งมีข้อจำกัดในการหางาน
เมื่อมีการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลได้ออกมาตรการการปิดเมือง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด รายได้หลักในช่วงการแพร่ระบาดของผู้สูงอายุจึงกลายเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดของภาครัฐ โดยภาครัฐได้มีการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้สูงอายุที่ได้รับผลกระทบรายละ 3,000 บาท ในช่วงที่มีการระบาดของโควิดช่วงแรก ถึงแม้สถานการณ์โควิดจะดีขึ้นบ้างแล้วและมาตรการการปิดเมืองผ่อนคลายลงแต่ผู้สูงอายุโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยยังคงประสบกับปัญหาความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอยู่ วัยแรงงานก็ยังคงต้องเป็นคนดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งการเกิดโควิดก็ทำให้รายได้ของวัยแรงงานลดลงเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นเกิดปัญหาเดิมที่ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอต่อการบริโภค อาจทำให้การบริโภคโดยรวมของประเทศชะลอตัวลงได้
ดังนั้นการเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและผลกระทบของวิกฤตการระบาดของโควิดต่อผู้สูงอายุจึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย
3. การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุของไทย
รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นสังคมผู้สูงอายุและผลักดันให้ “สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ” ซึ่งในปี พ.ศ. 2558 ภาครัฐ ได้มีการจัดตั้งกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ขึ้นมาเพื่อคอยดูแลเรื่องสังคมผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐได้มีนโยบายในการดูแลผู้สูงอายุมากมาย เช่น นโยบายประชารัฐเพื่อสังคม E6 ที่มีเป้าหมายทั้งหมด 5 ประการ โดยหนึ่งในนั้น คือ การส่งเสริมเสริมการมีรายได้และการมีงานทำของผู้สูงอายุ ทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ เพื่อสร้างงานในชุมชนและลดภาระการพึ่งพา
อีกทั้งได้จัดทำแนวปฏิบัติสำหรับสถานประกอบการที่จ้างงานผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จะต้องให้ค่าตอบแทนขั้นต่ำ 45 บาทต่อชั่วโมง ระยะเวลาการทำงานต้องไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน และลักษณะงานต้องมีความปลอดภัย รวมถึงจัดทำเว็บไซต์ขึ้นทะเบียนหางานผู้สูงอายุเพื่อขยายโอกาสการจ้างงานและเป็นฐานข้อมูลผู้สูงอายุให้นายจ้างและสถานประกอบการพิจารณาในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการเสริมอื่นๆอีกมากมาย เช่น การยกย่องเชิดชูเกียรติสถานประกอบการที่เป็นต้นแบบของการจ้างงานผู้สูงอายุ การส่งเสริมให้เอกชนโดยเฉพาะภาคการเงินมีเครื่องมือและนวัตกรรมทางการเงินที่เหมาะสมต่อผู้สูงอายุ การส่งเสริมให้เกิดเวทีของผู้สูงอายุที่จะแสดงความสามารถและศักยภาพภายใต้ศักดิ์ศรีของความเป็นผู้สูงอายุและเท่าเทียมกับทุกกลุ่มในสังคม เป็นต้น
ในปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ขยายอายุเกษียณของแรงงานในสถานประกอบการจาก 55 ปี เป็น 60 ปี ซึ่งหลายๆประเทศก็ใช้นโยบายการขยายอายุเกษียณในการรับมือกับผู้สูงอายุ อย่างญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุมากที่สุดในโลกและเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้วกำลังจะมีการขยายอายุเกษียณให้ผู้สูงอายุทำงานได้จากเดิมอายุ 62 ปี เป็น 65 ปี ในปี พ.ศ.2568 นี้ หรือสิงคโปร์ที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุใกล้เคียงกับไทยมีการขยายอายุเกษียณจากอายุ 65 ปี เป็น 67 ปี
การขยายอายุเกษียณจะช่วยทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานต่อไปได้อีกในระยะหนึ่ง นโยบายนี้จึงช่วยลดผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นนอกจากนี้ในด้านของการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีงานทำ ภาครัฐก็ได้มีการเริ่มจัดตั้งศูนย์บริการจัดหางานให้สูงอายุและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัทที่มีการจ้างงานผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้ผู้อายุมีงานทำและมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีการร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดโครงการฝึกอบรมแรงงานสูงอายุเพื่อเพิ่มทักษะและโอกาสในการทำงานของผู้สูงอายุและเป็นการยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานในระยะยาว
เปรียบเทียบการรับมือสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุใกล้เคียงกับประเทศไทยและประสบปัญหาอัตราการเกิดที่ต่ำเช่นเดียวกับประเทศไทยด้วย การรับมือสังคมผู้สูงอายุของประเทศสิงคโปร์มีส่งเสริมการจ้างงานและความมั่นคงทางด้านการเงิน ให้การดูแลสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวมในราคาย่อมเยา ช่วยเหลือผู้สูงอายุในสังคม ให้ความสะดวกแก่ผู้สูงอายุในอาคาร สถานที่สาธารณะ และในระบบขนส่งมวลชน และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆในสังคม และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนโดยการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงเพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
เมื่อเปรียบเทียบการรับมือสังคมผู้สูงอายุของสิงคโปร์กับไทยแล้ว ทั้งไทยและสิงคโปร์มีแนวทางการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุที่ค่อนข้างคล้ายกันอย่างการส่งเสริมการจ้างงานและสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งประเทศสิงคโปร์จะเน้นให้ผู้สูงอายุยังคงสามารถหางานทำได้แม้จะมีอายุมาก คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสิงคโปร์จึงเป็นแบบ “รวยก่อนแก่” ส่วนประเทศไทยก็มีการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำและสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้เช่นกัน แต่ผู้สูงอายุในไทยส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาค่อนข้างน้อย โดยมากกว่าครึ่งจบการศึกษาระดับที่ต่ำกว่าประถมศึกษาทำให้มีข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสในการทำงาน เงินในวัยเกษียณจึงไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ เน้นการพึ่งพาลูกหลานวัยแรงงาน ทำให้คุณภาพของผู้สูงอายุในประเทศไทยเป็นแบบ “แก่ก่อนรวย” ภาระจึงตกเป็นของรัฐบาลที่ต้องเข้ามาช่วยดูแลในด้านของสวัสดิการ
ปัจจุบันประเทศไทยก็ได้มีการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่ 600-1,000 บาทตามช่วงอายุ แต่เบี้ยผู้สูงอายุนี้ไม่ได้ครอบคลุมกับผู้สูงอายุในทุกกลุ่ม ยังมีผู้สูงอายุบางกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการนี้ได้ ผู้สูงอายุในไทยจึงไม่มีความมั่นคงทางการเงินมากเท่าไหร่ ในด้านของสุขภาพ สวัสดิการที่ผู้สูงอายุไทยได้รับคือการจัดช่องทางพิเศษเฉพาะเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการบริการที่สะดวกและรวดเร็ว ด้านของการช่วยเหลือผู้สูงอายุในสังคม ไทยก็มีการให้เจ้าหน้าที่ของสถานที่ต่างๆคอยช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการลดค่าโดยสารในการเดินทางผ่านระบบขนส่งมวลชนเป็นการช่วยเหลือผู้สูงอายุ
นอกจากการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุในเรื่องของสวัสดิการ การช่วยเหลือผู้สูงอายุในด้านต่างๆแล้ว ภาครัฐก็ได้ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการเกิด ส่งเสริมการมีบุตร เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและจากอัตราการเกิดที่ต่ำลงด้วย เช่น สิทธิในการลาคลอด สิทธิในการเบิกจ่ายค่าคลอดบุตรในอัตราเหมาจ่าย 13,000 บาท และมีมาตรการการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่ผู้เสียภาษีที่มีภาระในการเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น แต่มาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถกระตุ้นอัตราการเกิดได้ดีเท่าที่ควร ในปี พ.ศ.2564 รัฐบาลได้มีการจัดกิจกรรมโสดมีตติ้ง ซึ่งเป็นนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการเกิดเพิ่มขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนโสดได้พบปะพูดคุยกัน รวมถึงให้คู่รักที่ต้องการมีบุตรลุ้นรับคูปองตรวจสุขภาพก่อนมีบุตรด้วย ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นให้คนมีลูก จนเรียกได้ว่าเป็นการ “ปั๊มลูกเพื่อชาติ”
สรุป
ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และประสบกับปัญหาอัตราการเกิดของประชากรที่มีแนวโน้มต่ำลงทุกปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากมาย ทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการผลิตสินค้าและบริการ ปัญหาภาระการพึ่งพิงในวัยสูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้วัยแรงงานมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการบริโภค จึงจำเป็นต้องลดการบริโภคลง ทั้งนี้การที่ประชากรกลายเป็นวัยผู้สูงอายุและไม่มีเงินเพียงพอสำหรับวัยเกษียณรวมถึงการที่วัยแรงงานที่ภาระเพิ่มขึ้นทำให้สัดส่วนของการออม การลงทุนลดลง เมื่อมีปัญหาผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ภาครัฐที่มีการช่วยเหลือด้านสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจึงมีค่าใช้จ่ายในส่วนตรงนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งผลกระทบทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของประเทศในระยะยาว
ถึงแม้ภาครัฐจะมีการรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุมากมายแต่ไม่ใช่ผู้สูงอายุทุกคนที่สามารถเข้าถึงสวัสดิการและมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐได้
ข้อเสนอแนะ
ในด้านของอุปทานการผลิตและอุปสงค์ ผู้เขียนมีความเห็นด้วยกับการที่ภาครัฐร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดโครงการฝึกอบรมแรงงานสูงอายุเพื่อเพิ่มทักษะและโอกาสในการทำงานของผู้สูงอายุ เพราะการเพิ่มทักษะจะทำให้แรงงานมีผลิตภาพในการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ความต้องการแรงงานก็จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นภาครัฐควรที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการจัดโครงการฝึกอบรมแรงงานสูงอายุต่อไปเพื่อที่ผู้สูงอายุจะได้มีรายได้เป็นของตนเอง ลดการพึ่งพาบุตร หลาน และไม่ต้องรอแค่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากทางรัฐบาลเพียงอย่างเดียว และการที่ผู้สูงอายุสามารถทำงานได้ทำให้สามารถผลิตสินค้าและบริการมาช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการที่ผู้สูงอายุมีงานทำอาจจะสามารถเพิ่มการออมและการลงทุนของตนเองและของประเทศได้ด้วย และช่วยให้ประเทศสามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้
ในด้านการคลัง ภาครัฐควรมีการขยายฐานทางภาษีเพื่อรองรับกับการที่จะเก็บภาษีจากคนวัยแรงงานได้ลดลง และลดภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้การคลังมีความมั่นคง
การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุในด้านสวัสดิการควรหาวิธีที่ทำให้ผู้สูงอายุเข้าถึงสวัสดิการของภาครัฐได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความสะดวกต่อการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น ส่วนการกระตุ้นอัตราการเกิดผู้เขียนคิดว่านอกจากจะเพิ่มปริมาณของอัตราการเกิดแล้วเด็กที่เกิดมาควรจะมีคุณภาพด้วย ทั้งด้านความเป็นอยู่และด้านการศึกษา เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นแรงงานที่มีคุณภาพและสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ในอนาคต
โฆษณา