Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนทางชีวิต
•
ติดตาม
3 เม.ย. 2022 เวลา 06:49 • ไลฟ์สไตล์
เรื่อง “คนถูกกินแรง”
แสงจากไฟฉายของผมฉาบไปทั่วอาณาบริเวณสำนักงานของบริษัท ยันดี จำกัด บางทีก็ส่องไปที่ประตู บางครั้งก็ส่องไปที่หน้าต่างที่อยู่ด้านนอกอาคาร ท่ามกลางเวลาดึกสงัดราวสองทุ่มครึ่ง เพื่อหาสิ่งผิดปกติตามหน้าที่ของผมที่เป็นยามกะกลางคืนมาร่วมยี่สิบปีแล้ว
เมื่อผมเดินผ่านทางเข้าหลักของตัวอาคาร เสียงกุกกักแผ่วเบาดังออกมาจากฝ่ายการตลาด ทั้งที่ในวันนี้ผมไม่ได้รับรายงานว่ามีพนักงานขอทำงานหลังเวลาสองทุ่ม ผมค่อยๆ เดินอย่างเงียบเชียบไปทางต้นเสียงนั้น พลางลดไฟฉายลงต่ำ
ฝ่ายการตลาดอยู่ที่ชั้นล่างของอาคาร ห่างจากทางเข้าหลักประมาณ 30 เมตร ทำหน้าที่ติดต่อลูกค้าเพื่อขายจานชามและเครื่องครัวคุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงโควิดสองปีมานี้ ธุรกิจของบริษัทซบเซาลงมาก ผมเคยได้ยินพนักงานพูดว่าเพราะเศรษฐกิจไม่ดี และหนี้ภาคครัวเรือนของไทยสูงกว่าร้อยละเก้าสิบอะไรนี่แหละไม่ค่อยแน่ใจ คนไทยเลยไม่มีเงินจับจ่าย ดังนั้นลูกค้าที่สั่งซื้อของเราไปขาย จึงชะลอหรือยกเลิกการสั่งซื้อจำนวนมาก ส่วนการขายไปต่างประเทศก็ซบเซาไม่แพ้กัน ผมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเพราะจบแค่ ม.6 และไม่ได้สนใจอะไร ขอเพียงผมยังมีงานทำเลี้ยงลูกเมียเท่านี้ผมก็พอใจแล้ว
อึดใจหนึ่ง ผมมายืนอยู่ที่หน้าฝ่ายการตลาด ที่ในวันนี้จำนวนพนักงานน่าจะลดไปครึ่งหนึ่งจากเมื่อก่อนเนื่องจากพิษของโควิด แสงจากโคมไฟส่องมาจากโต๊ะทำงานของชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อสีส้มซึ่งผมจำแม่นว่าเป็นเสื้อที่พนักงานได้รับแจกจากบริษัท
“คุณ คุณ หมดเวลางานแล้วนะครับ ทุกคนต้องออกจากตึกก่อนสองทุ่มครับ” ผมถามออกไปค่อนข้างดังสวนทางกับความเงียบ
“ครับลุง ผมเพิ่งทำงานที่นี่ได้สองอาทิตย์เลยยังไม่รู้ระเบียบที่นี่ ขอโทษลุงด้วย ขออีกเดี๋ยวนะครับไม่เกินครึ่งชั่วโมง” ชายคนนั้นตอบด้วยเสียงสุภาพ
“ได้ครับผมอนุโลมให้ วันหลังถ้าคุณมีงาน ให้ทำเรื่องขอทำงานเกินเวลามาที่
แผนกรปภ.ก่อนนะครับ ผมจะได้อำนวยความสะดวกให้” ผมแนะนำไปด้วยอัธยาศัยไมตรี ชายคนนั้นตอบผมว่าเขาเข้าใจแล้วคราวหน้าจะทำให้ถูกต้องตามที่แนะนำ
ผมออกมารอหน้าตึก ไม่นานนักชายคนนั้นเดินออกมาขอบคุณผม แนะนำตัวก่อนกลับว่าเขาชื่อ”บรรยง” เป็นเจ้าหน้าที่การตลาดอาวุโส ผมตอบไปว่า “ผมชื่อเนตรสุข คนที่นี่เรียกผมว่า-ลุงเนตร คุณบรรยงจะเรียกผมอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ครับลุงเนตร” เขาพูดพร้อมพยักหน้าและออกจากตึกไป
หลังจากวันนั้น แทบทุกวันคุณบรรยงจะทำงานต่อหลังเลิกงานไปถึงราวๆ สามหรือสี่ทุ่ม ผมกับแกทักทายกันตามปกติ บ่อยครั้งแกจะมีน้ำผลไม้ เค็ก หรือแซนด์วิช ติดไม้ติดมือมาฝากผม
ผมเคยบอกแกว่าไม่ต้องซื้อมาให้หรอกเพราะเมียผมทำอาหารว่างตอนกลางคืนให้ผมติดมาทุกวันอยู่แล้ว แต่แกบอกว่าไม่เป็นไร เห็นผมอยู่กะดึกน่าจะต้องกินอะไรบำรุงหน่อย นึกเสียว่าเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย ผมยิ้มและขอบคุณแก
ผ่านไปได้หกเดือนผมสนิทกับคุณบรรยงมากขึ้นเรื่อยๆ แกถามสารทุกข์สุกดิบของผมเสมอ ซึ่งผมตอบแกไปตามประสาคนซื่อที่หาเช้ากินค่ำ เพราะชีวิตผมไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร เป็นชีวิตของรปภ.ธรรมดาแบบเดิมๆ คนหนึ่งมาสามสิบกว่าปีก็เท่านั้น โชคดีที่ผมไม่ค่อยเจ็บไข้และใช้เงินอย่างประหยัด เมียก็พอมีรายได้จากการทำขนมไปขายที่ตลาดและหน้าโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่ง ก็พอมีความสุขตามอัตภาพ ผมบอกแกแบบนั้น แต่ผมไม่กล้าถามแกเลยว่าทำไมแกต้องทำงานดึกดื่นทุกวันกลัวจะละลาบละล้วงเสียมารยาท
สองอาทิตย์ให้หลังผมเห็นแก หน้าเครียด พูดจาทักทายกับผมน้อยลงมาก ผมเป็นห่วงจึงกล้าเอ่ยปากถามแก “คุณบรรยงครับ เป็นอะไรรึเปล่าพักนี้คุณดูเครียดๆ นะครับ” แกตอบผมเสียงเนือยๆว่า “ไม่มีอะไร ลุงเนตร ผมแค่นอนไม่ค่อยหลับ”
“มีอะไรก็เล่าให้ลุงฟังได้นะครับ ถึงลุงจะเป็นแค่ รปภ. แต่คุณมีน้ำใจกับลุงมากและให้เกียรติไม่ถือตัวเหมือนบางคนในบริษัทที่แม้แต่จะมองลุงก็มองด้วยหางตาและพูดกับลุงด้วยเสียงที่ดูแคลน ถ้าคุณคิดว่าลุงจะปากโป้งเอาไปเล่าต่อวางใจได้ครับ สาบานได้เลยว่าลุงไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด” ผมพูดน้ำเสียงเคร่งขรึม ก่อนพูดว่า “แล้วแต่คุณนะครับ ถ้าไม่อยากเล่าก็อย่าฝืนเลย”
แกฟังผม แล้วเงียบไปสองสามนาที ท่าทีกระวนกระวายไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยปากบอกผมว่าที่แกต้องทำงานจนดึกทุกวัน ไม่ใช่เพราะอยากทำหรือขยันอะไร เลิกงานแกอยากกลับบ้านไปหาลูกเมียเหมือนคนอื่น แต่เพราะบริษัทจ้างแกมาด้วยเงินเดือนมากกว่าที่เดิมถึงเท่าตัว เมียแกเป็นแม่บ้านไม่มีรายได้ แกเลยคิดว่าน่าจะเก็บเงินเป็นประกันอนาคตให้ลูกเมียได้หากทำงานที่นี่
แกเล่าต่อว่า พอมาทำงานได้ระยะหนึ่งจึงรู้ว่า ทั้งหัวหน้าแผนก ผู้จัดการฝ่ายและผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ที่ดูแลสายงานการตลาด ต่างเป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายชอบลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและไม่ลงมือทำงานอย่างจริงจัง คงเป็นเพราะผู้บริหารชุดเดิมลาออกไปในช่วงโควิดแล้วได้ผู้บริหารชุดนี้เข้ามาทำงานจากการฝากฝังของกรรมการบริษัทท่านหนึ่ง เข้าทำนองที่ผมเข้าใจว่าเป็น “เด็กเส้น”
ดังนั้นงานเกือบทุกอย่างที่ควรเป็นหน้าที่ของคนพวกนี้ กลับถูกเจาะจงโยนมาให้แกทำทั้งหมดทั้งการคิดนโยบาย การแก้ปัญหา การสอนงานตรวจงาน พวกนี้แค่ลงนามตอนเสร็จเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาทำเองเท่านั้น หากกรรมการผู้จัดการใหญ่ถามข้อมูลอะไร พวกนี้ต้องมาเอาข้อมูลที่แกรวบรวมไปตอบ ครั้งหนึ่งแกเคยตอบไม่ได้ พวกนี้ต่างก่นด่าบอกว่าจ้างมาเงินเดือนตั้งแพง ถามแค่นี้ทำไมตอบไม่ได้ทันที แถมยังขู่ว่าอย่างนี้ไม่น่าจะอยู่ที่บริษัทนี้ได้นาน
คุณบรรยงถอนใจยาวๆ แล้วบอกผมว่า
“ทั้งหมดนี้เป็นแรงกดดันถาโถมทำให้ผมต้องเร่งทำงานแทนทุกคน และเรียนรู้ข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งผมไม่อยากให้ลูกเมียผิดหวังเพราะตอนนี้พวกเขาสามารถใช้จ่ายได้สบายขึ้นไม่เหมือนแต่ก่อนที่อัตคัดขัดสน ผมไม่อยากถูกไล่ออกจากที่นี่ ดังนั้นลุงจึงเห็นผมทำงานอยู่ดึกๆทุกคืน แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
ผมฟังแกสาธยายแล้วถอนใจบอกแกว่า “เฮ้อ…คุณบรรยง ลุงเข้าใจแล้ว แบบนี้ก็เท่ากับว่าคุณถูก”กินแรง” นะซิ ภาษาที่บ้านลุงเรียกแบบนี้”
ผมเลยพูดต่อว่า
“ตอนลุงเป็น รปภ.ใหม่ๆ ก่อนมาอยู่ที่นี่ เคยถูกนายจ้างเอาเปรียบจะเรียกว่า “กินแรง” ก็ได้ ลุงได้ค่าแรงเป็นรายวัน แต่นายจ้างบอกลุงว่าถ้าอยากทำงานต่อ ก็ให้ลุงทำงานเจ็ดวันแต่ยอมรับค่าแรงเพียงหกวัน เขาให้เหตุผลว่าเขาไปประมูลตัดราคาลงมาเยอะจึงได้งานนี้มา หากใครไม่ยอมก็ต้องให้ออกจากงาน แถมท้าว่าใครไม่พอใจให้ไปร้องเรียนแรงงานได้เลย ตอนนั้น ลุงมีเมียและลูกอายุได้ขวบเศษ ลุงคิดหนักมากว่าจะลาออกเสียแต่กลัวลูกเมียจะเดือดร้อนแบบที่คุณเป็นในเวลานี้ แต่ลุงไม่ปิดเมีย บอกความจริงไป คุณรู้ไหมเมียลุงบอกแบบไม่คิดว่า พี่ไปลาออกเลย นายจ้างแบบนี้เอาเปรียบกินแรงคน ชั่วจริงๆ เขาบอกว่าจะทำขนมขายเพิ่มนอกจากรายได้จากงานแม่บ้านที่ทำอยู่ คงพอประทังชีวิตได้ ผลสุดท้ายลุงตกงานอยู่สี่เดือนจึงได้ทำงานที่นี่ ทุกวันนี้เมียลุงออกจากงานแม่บ้านแล้วเพราะขายขนมได้ดีเลยยึดเป็นอาชีพหลัก เพียงเท่านี้ลุงก็มีความสุขตามอัตภาพแล้วครับ”
ผมพูดด้วยเสียงเข้มและบางประโยคก็ดังกว่าปกติ คุณบรรยงฟังผมอย่างตั้งใจ พยักหน้าไปด้วยเป็นระยะๆ พอผมพูดจบ แกบอกว่า “ ขอบคุณลุงเนตรมาก ผมได้ข้อคิดจากเรื่องที่ลุงเล่ามากๆ ผมเองหล่ะที่โง่เกินไปเอง ขอบคุณลุงจริงๆครับ”
อาทิตย์นึงผ่านไปจากวันนั้น คุณบรรยง บอกผมว่าแกยื่นลาออกแล้วมีผลสิ้นเดือนนี้ ผมยิ้มและบอกแกว่า “ลุงว่าคุณตัดสินใจถูกแล้วครับ อย่าให้คนอื่นกินแรงเรา และอย่ายึดติดกับบางสิ่งบางอย่างที่เราสรุปเอาเองครับ ชีวิตมีทางออกเสมอ ขอให้คุณโชคดีครับ”
แกขอบคุณและยิ้มกว้างให้ผม ดวงตาดูเป็นประกายเปี่ยมด้วยความสุข เหมือนกับว่าแกได้ปลดพันธนาการที่ตัวเองผูกไว้แล้ว
ในเวลาค่ำคืน แสงไฟฉายของผม ฉาบทาบทาไปทั่วบริเวณบริษัทเหมือนกับทุกคืนไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายการตลาดที่คุณบรรยงเคยทำงานจนดึกดื่น บัดนี้เงียบสงัดไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากเสียงฝีเท้าของผมที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ …
1 บันทึก
7
2
2
1
7
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย