ESG ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ จะได้ประโยชน์อย่างไร?
Environmental, Social, Governance หรือ ESG คือ การนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลหรือ
ธรรมาภิบาลมาพิจารณาในการวิเคราะห์ คัดเลือก และบริหารการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสให้กับธุรกิจและดึงดูด
นักลงทุน
ในระดับสากล องค์กรสหประชาชาติด้านความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน (UN Global Compact) ได้ทำการสำรวจและพบว่ามีบริษัทเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ที่มีการตรวจสอบและประเมินด้าน ESG อย่างชัดเจน ซึ่งภายในปี พ.ศ.2573 บริษัทที่ไม่มี ESG อาจกลายเป็นบริษัทที่ล้าหลัง หรือไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเป้าหมายความร่วมมือด้านความยั่งยืนของโลกที่ประเทศสมาชิกกว่า 193 ประเทศ รวมถึงไทยได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)
นอกจากนี้ยังมีรายงานการสำรวจจาก State Street Global Advisors ในปี พ.ศ.2560 ซึ่งทำการสำรวจพอร์ตการลงทุนจากนักลงทุนสถาบันจำนวน 475 องค์กร ในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชียแปซิฟิก พบว่ากว่าร้อยละ 80 ของพอร์ต เป็นการจัดสรรเงินลงทุนไปยังองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจตามหลักESG จากข้อมูลข้างต้น เชื่อมั่นได้ว่าการระดมทุนในระยะต่อไป นักลงทุนทั่วโลกจะเลือกลงทุนโดยให้ความสำคัญกับองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
ESG โฟกัส 3 เรื่อง สำคัญ คือ
-ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) ปัจจัยที่พิจารณาประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือการปล่อยมลภาวะอื่นๆ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และคำนึงถึงความหลากหลาย
ทางชีวภาพ
-ด้านสังคม (Social) จะมุ่งเน้นการคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน มาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขภาพของแรงงาน รวมถึงความสัมพันธ์กับชุมชน
-ด้านธรรมาภิบาล (Governance) จะเน้นการกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใส มีกลไกการตรวจสอบหรือถ่วงดุล ดำเนินการภายใต้กฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ อย่างเคร่งครัด
ในปัจจุบันวิสัยทัศน์ของผู้ลงทุนในประเทศไทยที่ต้องการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลของกิจการกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยเน้นความยั่งยืนนั้นจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าบริษัทที่ไม่คำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในระยะยาว โดยบริษัทจดทะเบียนหลายรายมีการนำข้อมูลด้าน ESG มาจัดทำรายงานความยั่งยืน (Sustainability report) เพื่อเปิดเผยต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุน และสาธารณชน ควบคู่กับรายงานข้อมูลทางการเงิน
การประเมิน ESG มี 2 แบบหลัก คือ การประเมินจากข้อมูลที่เผยแพร่สาธารณะ และการประเมินจากการสำรวจข้อมูลเพื่อนำมาประเมิน ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ข้อมูลประเมินจาก 4 หน่วยงานหลักที่ทำการจัดอันดับ ESG Score ดังนี้ Arabesque S-Ray®, MSCI, S&P และ Vigeo Eiris
สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ
ในประเทศไทย ปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับการจัดอันดับจาก 2 หน่วยงานหลัก คือ Arabesque S-Ray® และ S&P ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเรื่อง ESG ค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ที่นักพัฒนารายใหญ่เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะจากตัวเลขที่พรูฟได้แล้วในระดับสากลทำให้เชื่อมั่นว่า ESG จะมีมูลค่าเพิ่มในทางการประเมินมูลค่าทรัพย์สินและมีนัยสำคัญต่อการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป
สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังไม่ได้จัดทำดัชนีความยั่งยืน แต่ได้จัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI)
เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ลงทุนใช้พิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดย ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 มีจำนวน 147 บริษัท ที่ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มหุ้นยั่งยืน(Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) จำนวนบริษัทที่เข้า THSI นั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องประมาณร้อยละ 16 ต่อปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558
เป็นต้นมา
ESG ในมุมมองของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สากลนั้นมีความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ, ผู้เช่า และผู้ถือครองกรรมสิทธิ์
จากแผนภาพแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ตรงกัน คือ
-ต้นทุนในการปรับปรุงตกแต่งใหม่ที่ต่ำกว่า
-เสริมสร้างคุณค่าของภาพลักษณ์
-เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและในอีกทางหนึ่งเป็นการทำ CSR
-ค่าธรรมเนียมในการโอนถูกกว่า
ประโยชน์ที่ได้รับระหว่างนักพัฒนาและผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ คือ
-ประโยชน์จากการรักษาเสถียรภาพด้านการเงิน
-ระยะเวลาในการคืนทุนที่เร็วกว่า
-การเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินเมื่อเทียบกับตลาด
-ลดปริมาณอัตราว่างของพื้นที่
ประโยชน์ที่ได้รับระหว่างผู้เช่าและผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ คือ
-สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
-ประโยชน์โดยรวมเพิ่มขึ้น
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
