Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
nothing but movie
•
ติดตาม
7 เม.ย. 2022 เวลา 06:05 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
เร็วโหด...เหมือนโกรธเธอ
โชคดีที่ดูในโรง เพราะบังคับให้ดูได้จนจบ
ผมมีความรู้สึกว่าคุณนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นหนังตลาดแต่พยายามคงความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ และไม่ประนีประนอมกับตลาดจนถึงที่สุด หนังมันก็เลยมีความลักลั่นเหมือนกับว่าตัดสินใจไม่ถูกจะให้หนังไปแนวทางใด จะเป็นหนังดราม่าเรื่องชีวิตการสร้างครอบครัวหรือเรื่องการเปรียบเทียบภาระที่ถาโถมเข้ามาเมื่อคนเราเติบโตขึ้น หรือจะให้เร็วโหด...เหมือนโกรธเธอเป็นหนังกีฬากันแน่ มันก็เลยไปได้ไม่สุดทั้ง 2 ทาง(ในเรื่องชีวิตคู่หนังทำได้สมบูรณ์และดีกว่าด้านกีฬาชัดเจน ที่จริงกีฬามันเป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น หนังพยายามจะเปรียบเทียบให้เห็นว่าการเอาชีวิตรอดในชีวิตประจำวันมันแอกชั่นรุนแรงกว่าเล่นกีฬาอีก ) อีกทั้งวิธีการนำเสนอที่เหมือนกับหนังตลกเสียดสีใส่อารมณ์เย้ยหยันตัวละครมันก็รู้สึกเหมือนความพยายามทำเท่แบบหนังโฆษณาขนาดยาว
เรื่องราวของเกาแชมป์กีฬาเล่นเรียงแก้วหรือกีฬาสแต็กที่พยายามจะสร้างสถิติโลกครั้งใหม่กับการต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียวหลังจากเจแฟนสาวที่อุทิศชีวิตเพื่อเขามาตลอดทิ้งเขาไป เจทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกาจนทำให้เขาเหมือนเป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น แม้แต่เรื่องสามัญประจำบ้านอย่างล้างจาน ซักผ้า เมื่อเจออกจากชีวิตเขาไป เกาพยายามทุกวิถีทางที่จะอยู่ให้ได้ในขณะที่ก็ยังมีเยื่อใยอยากจะรั้งเจเอาไว้ แล้วทางด้านกีฬาเล่นแก้วสแต็กก็ดันมีนักกีฬาหน้าใหม่ที่ทำสถิติได้ดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนขึ้นมา กลายเป็นแรงกดดันสองเท่าที่เกาต้องหาทางออกให้ได้
จริงๆ แล้วผมชื่นชมหนังของคุณเต๋อมาตลอด ไม่เคยผิดหวังกับงานของเขามาก่อนเลย ทั้ง แมรี่ อิส แฮ็ปปี้ ดาย ทูมอร์โรว์ ฟรีแลนซ์กับฮาวทูทิ้งก็ชอบมากๆ แต่กับหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนกับเขาพยายามทดลองทำอะไรที่ต่างออกไปในสโคปที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ว่ายังผสมส่วนไม่ลงคัว
อย่างแรกเลยคือเรื่องกีฬาสแต็กที่แม้จะมีการแข่งขันในระดับโลกอย่างที่หนังพยายามแสดงออกมา แต่มันก็เป็นกีฬาเฉพาะกลุ่มมากๆ จนเราไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นตามไปด้วย เหมือนเป็นกีฬาที่ต่อสู้กับตนเองเอาชนะตนเองมากกว่า พอมาทำเป็นภาพในหนังมันจึงขาดความรู้สึกตื่นเต้นไปแบบที่หนังแอกชั่นกีฬาควรมี(หนังประกาศตนเองว่าเป็นหนังแอกชั่น)
แต่กีฬาที่คนส่วนน้อยรู้จักนั้นนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หนังหลายๆ เรื่องเอากีฬาที่ไม่เป็นที่นิยมมาทำ และดูแล้วไม่รู้จะหาความสนุกตรงไหนอย่างหนังไพ่ของญี่ปุ่นในเรื่อง Chihayafuru จิฮายะ กลอนรักพิชิตใจเธอ ซึ่งยิ่งห่างไกลกว่ากีฬาเล่นแก้วอีก แต่ก็สามารถทำให้คนดูรู้จักและสนุกไปกับการแข่งขันได้ ในขณะเดียวกันก็ผสมผสานเรื่องราวดราม่าลงไปเป็นเนื้อเดียวกัน ในขณะที่เร็วโหด...เหมือนโกรธเธอเหมือนกับตัวหนังแยกส่วนเดินเรื่องระหว่างกีฬากับการประคับประคองตัวเองและชีวิตคู่ของเกา ทำให้ในภาคของการแข่งขันก็ไม่สนุกไม่เป็นแอกชั่น(ที่จริงมันเป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น) ภาคของชีวิตที่ทำได้ดีกว่าชัดเจนก็ไม่เต็มที่
ตัวละครอย่างเจนับว่ามีความน่าสนใจมากๆ เป็นตัวละครที่มีมิติมีความขัดแย้งในตนเองที่สุดในหนัง ต่เจก็เป็นตัวละครที่สร้างความหงุดหงิดน่ารำคาญมากๆ เมื่อตัวเรื่องกำหนดให้เจดัดจริตพูดไทยฝรั่งผสมปนเปกันไปหมด แน่นอนว่าในชีวิตจริงเรามีคนที่เป็นอย่างนี้ แต่พออยู่ในหนังแล้วต้องยอมรับว่ามันเป็นส่วนที่ทำให้น่ารำคาญมาก การดูหนังพูดภาษาไทยกลางเป็นหลักแล้วดันต้องมาอ่าน subtitle นี่มันก็เกินไป หรือว่าเป็นกุศโลบายของผู้สร้างที่ต้องการฝึกความอดทนของผู้ดูอีกทางหนึ่ง หรือว่าคุณเต๋อ นวพลกำลังทดลองพิสูจน์ความอดทนของคนดู
และจำเป็นหรือไม่ที่ต้องให้เจนางเอกของเรื่องซึ่งเกาชอบเรียกเธอว่าฝรั่งชอบพูดแต่ประโยคภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่ไม่ได้มีประโยชน์หรือเอื้ออะไรต่อเนื้อเรื่องเลย ตัวละครในลักษณะแบบนี้สามารถทำให้น่าสนใจได้ การแสดงออกมาแบบนี้มันแสดงถึงความไม่พอใจในสภาพที่เป็นอยู่ของตนเอง แต่เจก็ดันกลายเป็นคนที่มีความฝันธรรมดามากๆ แค่แต่งงานมีครอบครัวมีลูกเท่านั้นพอ
การสร้างตัวละครแต่ละตัวออกมาเหมือนกับหลุดออกมาจากโลกของการ์ตูนแล้วก็ยังรู้สึกว่าหนังใช้ประโยชน์จากตัวละครแบบการ์ตูนลักษณะนี้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ คือหนังที่ทำเสนอแบบหลุดโลกอย่างนี้มันควรมีลูกบ้าของหนัง แต่มันยังไปไม่สุด แทนที่จะสนุกกับพฤติกรรมแปลกๆ ของตัวละครนั้น ผมกลับรู้สึกว่าวิธีเล่าเรื่องตัวละครและจังหวะของหนังมันสวนทางกันหมดเลย หนังพูดถึงความเร็ว แต่กลับยืดยาดอืดอาดจนใช้เวลามากกว่า 2.10 ชม. ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าช่วงเวลาดังกล่าวต้องใช้ความอดทนมากๆ กว่าจะผ่านพ้นไปได้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ที่ผ่านบทสรุปของการแข่งขันและชีวิตคู่ของเจกับเกาแล้ว แต่หนังยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องไปอีกพอสมควร ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเกินจำเป็นไปแล้ว ถ้าหนังเรื่องนี้อยู่ในช่วงเวลาประมาณไม่เกิน 100 นาที มันน่าจะกระชับและดูกระฉับกระเฉงมากกว่านี้
ที่จริงแล้วตัวหนังมีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเติบโตของมนุษย์จากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่ที่มีเรื่องราวต่างๆ เข้ามาในชีวิตที่ต้องกระทำ จนไม่อาจทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ได้ หรือการเปรียบเทียบความคิดของคนต่าง generation แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่สิ่งที่หนังนำเสนอออกมาได้อย่างแยบคายอะไรนัก มันเป็นการนำเสนอต่างๆ ยัดปากตัวละครพูดมาเสียด้วยซ้ำ
แนวหนังที่พยายามที่จะสร้างตัวละครให้มันเกินจริงนั้น บางอย่างมันกลายเป็นการสร้างความสงสัยในขณะที่ชมมากๆ อย่างเกาที่ทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเจทิ้งไป ไม่รู้จักแม้กระทั่งการดูแลรักษาบ้านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำหรือการซักผ้า และเกาก็ไม่รู้ว่าตนเองแพ้นมวัวอีก ต้องบอกว่าตรงนี้มันเป็นจุดที่เล็กน้อยแต่ก็สร้างให้ตัวละครดูโง่มากๆ เพราะก่อนหน้าที่จะเจอเจ เกาไม่รู้ตัวเองเลยหรือว่าตัวเองแพ้นมวัว ทั้งที่อาการการแพ้นมวัวนั้นมันก็แสดงออกมาตั้งแต่ยังเป็นทารกอยู่แล้ว และมีลักษณะแบบนี้ให้เห็น บางคนอาจจะว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันเป็นเรื่องใส่ใจรายละเอียด
ยิ่งช่วงเปิดเรื่องที่เป็นการแนะแนวของครูกับอาชีพในอนาคตของเด็กนักเรียน เด็กแต่ละคนมาพูดถึงความฝันในอาชีพ แล้วมันเป็นความฝันในสิ่งที่สายตาครูมองว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพช่างแกะน้ำแข็งหรือปั้นหิมะ อาชีพนักเดินทางท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งหนังใช้เวลาช่วงนี้ค่อนข้างมากทั้งที่มันย่อได้และเอาเข้าจริงมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคลิปประเภทนี้ที่เห็นกันอยู่ในสื่อโซเชียลที่มาแชร์กันถึงความแตกต่างในความคิดของคนต่างเจนอยู่แล้ว ซึ่งคนเจนวายน่าจะชอบ แต่มันเป็นสิ่งที่เห็นในสื่ออื่นๆ ทางโซเซียลมาก่อนแล้ว และทำให้ยาวเกินจำเป็น
แต่ฉากเปิดเรื่องก็สอดรับกับหนังมีการพูดถึงประเด็นคนต่างเจนอยู่บ้าง ผมอาจจะเป็นคนละเจนกับกลุ่มผู้ชมหลักที่หนังเรื่องนี้หวังไว้ หรือแม้แต่คนละเจนกับผู้กำกับ แต่สำหรับคนเจนอย่างผมบางทีการเสพศิลปะอย่างภาพยนตร์มันก็ต้องการสุนทรียควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะในหนังที่มีหลายประเด็นมากๆ อย่างเรื่องนี้ แล้วคงต้องบอกว่าเราไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลัก หนังเต๋อเรื่องก่อนๆหน้าที่มักมีคนบอกว่าดูเข้าใจยากผมกลับดูด้วยความสนุก ชื่มชม แต่กับหนังที่เอาเข้าจริงน่าจะเข้าใจง่ายที่สุดของเขาแล้ว กลับรู้สึกต่างออกไปมาก
ยิ่งเวลาเจอหนังที่ต้องใช้ความอดทนสูงในการรับชมอย่างนี้ผมมักจะบอกว่ามันเป็นการฉีดวัคซีนเพิ่มความอดทนไปด้วยในตัว ปี 2022 ก็ได้ฉีดเข็มแรกไปแล้ว และโชคดีที่ได้ดูในโรง เพราะทำให้ดูได้ตลอดเรื่องจนจบในรวดเดียว ถ้าหากรอจนสตรีมมิ่งก็คงจะใช้เวลามากกว่า 3 รอบที่จะดูหนังเรื่องนี้จนจบได้ เพราะดูๆไปต้องหยุดไปหาอากาศหายใจสักหน่อยก่อนจะมาดูใหม่ให้จบ
แน่นอนครับว่าน่าจะมีคนเห็นต่างกับผมเยอะ ซึ่งไม่แปลกอะไร เพราะมันเป็นการสร้างวัฒนธรรมการวิจารณ์ อยู่ที่ว่าการจะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรในหนังเรื่องหนึ่งมันควรแสดงเหตุผลออกมาด้วยได้
6/10
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย