10 เม.ย. 2022 เวลา 10:01 • ประวัติศาสตร์
หม่อมหลวงทวีวงษ์ วัชรีวงศ์ นักสู้ตะรุเตา ราชนิกุลผู้ทรนง ผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตา ตอนที่20(ตอนสุดท้าย)
บ้านหลังใหม่ซึ่งเป็นบ้านเช่าในย่านวัดสะพาน จะค่อนข้างเล็กมากครับ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ปลูกแบบเพิงหมาแหงน พ่อเคยพูดแบบติดตลกว่า "บ้านเพิงสุนัขผงาด"
ตอนนั้นก็ยังค่อยไม่เข้าใจในคำพูดของพ่อเท่าไหร่ครับ เคยถามพ่อว่า"สุนัขผงาด"คืออะไร พ่อก็ตอบว่า มันก็อันเดียวกับเพิงหมาแหงนนั่นแหละ แต่ถ้าเราเรียกว่า
"บ้านเพิงสุนัขผงาด"มันจะดูภูมิฐานกว่า และครั้งใดที่ผมคิดถึงคำพูดของพ่อ ผมก็อดอมยิ้มไม่ได้ทุกครั้งครับ ด้วยความที่บ้านเช่าหลังนี้เล็กมาก เป็นบ้านโล่งๆ ทรง๔เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ประมาณ๔x๖เมตรเห็นจะได้
ไม่มีกั้นห้องใดๆทั้งสิ้น เวลาตกกลางคืนจะดูอึดอัดมาก เพราะบ้านทั้งหลังจะเต็มไปด้วยมุ้ง ซึ่งกางติดๆกัน๓หลัง ชนิดว่ามุ้งชนมุ้ง จนไม่มีที่เดิน
มุ้งแรกเป็นมุ้งพ่อกับแม่และน้องคนที่๙(คนสุดท้อง) มุ้งถัดมาเป็นมุ้งน้องๆผู้หญิง และมุ้งสุดท้ายเป็นมุ้งพี่น้องผู้ชาย ด้วยความแออัด และด้วยความเล็กของบ้าน ทำให้เราทุกคนต้องอดทน เพราะไม่มีทางเลือก แต่พออยู่ไปๆสักระยะ เราก็เริ่มชิน
๑๑ชีวิตในบ้านเช่าหลังเล็กๆยังคงดำเนินต่อไป ในปี๒๕๑๒นั้น พี่ชายคนโตเริ่มได้งานทำแล้ว และบ้านเราก็ได้มีเครื่องไฟฟ้าชิ้นแรกของครอบครัวในรอบ๒๐ปี จากเงินเดือนของพี่ชายคนโต นั่นก็คือพัดลมไฟฟ้า
พวกเรารู้สึกตื่นเต้น และภูมิใจในเครื่องไฟฟ้าชิ้นแรกของบ้านเป็นอันมาก แต่ถ้าเวลาพวกเราอยากดูทีวี ก็ยังคงต้องไปขออาศัยดูจากเพื่อนบ้านเหมือนเดิม
และจากการที่ครอบครัวเราได้ย้ายมาอยู่ในย่านวัดสะพานพระโขนงนี่เอง ทำให้พ่อได้พบกับเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ
ซึ่งมาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งนี้ โดยเพื่อนคนนี้ ในอดีตเคยต้องโทษคดีอุกฉกรรจ์ และถูกส่งไปขังที่เกาะตะรุเตา หลังจากพ้นโทษ ท่านจึงได้มาบวชเป็นพระลูกวัดอยู่ที่นี่นานนับ๑๐ปีแล้ว
คนในย่านวัดสะพานจะเรียกท่านว่า "หลวงตาแหวง" แต่ชื่อเต็มๆของท่านคือ "แสวง ชาตะนาวิน" วันใดที่พ่อว่างและเป็นวันหยุดงาน พ่อมักจะไปสนทนาธรรมกับหลวงตาแหวงอยู่บ่อยๆ
ในปี๒๕๑๓ ตอนผมเรียนจบชั้นม.ศ.๓ใหม่ๆ และยังไม่ได้เรียนต่อที่ไหน พ่อจึงพาผมไปบวชเณร และฝากไว้กับหลวงตาแหวง ผมได้ตั้งใจและศึกษาธรรมะต่างๆ จากหลวงตาแหวง
ซึ่งท่านก็เอ็นดูผมเป็นอย่างมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงตาแหวงเล่าให้ผมฟังว่า ในระหว่างที่ถูกกักขังอยู่ที่เกาะตะรุเตานั้น หลวงตาแหวงเคยชวนพ่อไปออกปล้นพวกเรือสำเภา เรือพ่อค้า
ที่ผ่านน่านน้ำของเกาะตะรุเตา แต่พ่อปฎิเสธไม่ขอร่วมด้วย หลวงตาเล่าต่อไปว่า
เมื่อออกปล้นและได้ทรัพย์สินต่างๆมา ไม่ว่าจะเป็นเงิน สิ่งของ หรือแก้วแหวนเงินทองก็ดี
ท่านมักจะเอาไปอวดพ่ออยู่เป็นประจำ เผื่อพ่อจะเปลี่ยนใจ แต่พ่อก็ตอบปฎิเสธไปทุกครั้ง จนหลวงตาแหวงอ่อนใจและยอมแพ้ใจของพ่อ จนเลิกคิดที่จะชวนอีกต่อไป
หลวงตายังพูดต่ออีกว่า "พ่อมึงเป็นคนที่หัวใจแกร่งมาก กูนับถือหัวใจของหม่อม" และอีกประโยคคำพูดของหลวงตาแหวง ที่ผมยังจำไม่เคยลืมเลยมาจนบัดนี้คือ
"ถ้าพ่อมึงเชื่อกูตั้งแต่ตอนนั้น คงไม่ต้องมาลำบากเหมือนตอนนี้" ผมบวชอยู่ได้ระยะสั้นๆ ก็ต้องสึกออกมาเพราะได้งานทำ ทีแรกอยากจะไปเรียนต่อมากๆ แต่ด้วยฐานะเรายากจน
ผมจึงพยายามดิ้นรนเพื่อจะเรียนต่อแบบไม่ต้องเสียเงินมาก ด้วยการไปสมัครสอบเป็นนักเรียนจ่าอากาศ แต่ก็ไม่ผ่านการคัดเลือก ในที่สุดก็ตัดสินใจไปทำงาน เพื่อจะได้มีเงิน มาช่วยเหลือครอบครัวของเรา
ผมไปทำงานที่บริษัทวอร์เนอร์อาดัมส์ เป็นโรงงานผลิตลูกอมฮอลล์และหมากฝรั่งชิกเคล็ต ซึ่งอยู่บริเวณย่านสำโรงเหนือใกล้ๆซอยแบริ่ง
ในปี๒๕๑๔ พ่อมีอาการไม่สบายบ่อยขึ้น โดยในเวลากลางคืน พ่อจะไอมาก เสียงไอของพ่อทำให้พวกเราต้องตื่นกันอยู่บ่อยๆ พ่อพยายามรักษาอาการไอ โดยให้คุณหมอที่โรงพยาบาลการท่าเรือฯตรวจรักษา
และกินยาอย่างต่อเนื่อง ในตอนกลางคืนพวกเรามักจะผลัดกันไปนวดขาและนวดตามเนื้อตามตัวให้พ่ออยู่เป็นประจำ เนื่องจากพ่อบ่นว่าปวดเมื่อยเนื้อตัว
บางครั้งตื่นมาตอนเช้า พ่อจะมีไข้รุมๆ พ่อก็จะให้แม่ช่วยเอาผ้าชุบน้ำ และมาเช็ดตามแผ่นหลังบ้าง ลำตัวบ้าง เสร็จแล้วพ่อก็แต่งชุดฟรอมทำงานของพ่อ เพื่อจะไปทำงาน ทั้งๆที่ยังมีไข้รุมๆอยู่
โดยแม่ขอร้องให้พ่อนอนพักเถอะ ถ้าทำไม่ไหวก็อย่าไปฝืน แต่พ่อก็จะตอบว่า "ไม่ต้องห่วงนายแม่ ฉันไหว" พ่อจะตอบอยู่อย่างนี้ทุกครั้งที่แม่ขอร้อง
ในช่วงต้นๆปี๒๕๑๔ ระหว่างที่ทำงานในบริษัทอาดัมส์ฯนั้น ผมก็ได้ไปตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ เป็นวงดนตรีแนวร็อคควบคู่กับงานที่ทำไปด้วย
นักดนตรีในยุคนั้นนิยมปล่อยผมยาวกันเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นแนวป๊อบหรือแนวร็อคก็ตาม ผมเองก็เช่นกัน ปล่อยผมยาวลงไปจนถึงกลางหลัง บางครั้งก็ยาวไปเกือบถึงก้นก็มี
ซึ่งการไว้ผมยาวของผมนั้น พ่อจะไม่ชอบเอามากๆ บอกให้ผมไปตัดผมหลายต่อหลายครั้ง พ่อจะบอกว่าไม่เป็นมงคลและขัดลาภตัวเอง แต่ผมก็ยังทำเมินเฉย ไม่ยอมทำตามที่พ่อบอก
ช่วงนั้นเอง ผมพยายามหลบหน้าพ่อตลอด จะเข้าบ้านก็ต่อเมื่อพ่อนอนแล้ว จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมเกิดชะล่าใจ คิดว่าพ่อคงไม่สนใจเรื่องผมยาวของผมแล้ว
ในระหว่างที่นั่งอยู่ในบ้าน พ่อก็เอ่ยขึ้นว่า "แบ๊ว เมื่อไหร่จะไปตัดผม" แต่ผมเองก็
ยังคงนั่งเฉย ไม่ยอมตอบคำถามพ่อ คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรหรอก พ่อก็คงพูดไปอย่างนั้น
แต่ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด พ่อถามต่อด้วยน้ำเสียงปนตวาดว่า "จะไปตัดไหม" ผมยังคงนั่งนิ่ง และเท่านั้นเอง พ่อลุกขึ้น แล้วเดินไปหยิบชะแลง พอผมเห็นพ่อเดินไปหยิบชะแลงเท่านั้น
ผมรู้เลยว่า พ่อเอาจริงแน่แล้ว ผมรีบกระโดดลงจากบ้าน พร้อมกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากข้างหลังผม กระทบกับกะละมังที่วางอยู่ข้างบ้าน จนกะละมังกระเด็นกระดอน
ผมตกใจมากด้วยความที่คิดไม่ถึง ตั้งแต่เกิดมา ผมเพิ่งเคยเห็นพ่อโกรธจัดเป็นครั้งแรกในชีวิต พ่อเป็นคนที่รักความสะอาด ความเป็นระเบียบ พ่อมีความเป็นผู้ดีในตัวสูงมาก และด้วยเหตุนี้กระมัง
พ่อถึงรับไม่ได้ที่ผมไว้ผมยาวแบบนั้น คืนนั้นผมไม่กล้ากลับเขาไปนอนในบ้าน
โดยไปอาศัยนอนบ้านเพื่อนที่อยู่ในระแวกนั้น และพยายามหลบหน้าพ่อมาโดยตลอด
เดือนธันวาคมปลายปี๒๕๑๔ อาการป่วยของพ่อรุนแรงขึ้นจนไปทำงานไม่ไหว พ่อเริ่มไอหนักขึ้นๆ จนในที่สุด แม่จึงพาพ่อไปส่งที่โรงพยาบาลการท่าเรือฯที่พ่อทำงานอยู่
หมอรับตัวพ่อเป็นคนไข้ประจำ โดยมีแม่ และพี่ๆน้องของผม สลับสับเปลี่ยนกันไปเยี่ยมดูแลพ่อ ผมเป็นห่วงพ่อมากในตอนนั้น จึงตัดสินใจเดินเข้าร้านตัดผม บอกให้ช่างตัดเป็นรองทรง
ช่างตัดผมถามย้ำผมอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ว่าจะตัดจริงๆหรือมาแกล้งล้อเล่น ผมก็บอกว่าตัดจริงๆครับ ช่างยังพูดต่ออีกว่า ไม่เสียดายเหรอ อุตส่าห์ปล่อยมาซะยาวจนถึงกลางหลัง
ผมยืนยันคำเดิม เมื่อผมยืนยันแบบนั้น ช่างจึงตัดให้ตามที่ผมต้องการ พอรุ่งขึ้น ผมไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล พร้อมกับทรงผมแบบรองทรงเรียบร้อย เมื่อไปถึง
โรงพยาบาล ผมค่อยๆเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเขาไป
ทันทีที่พ่อเห็นผม ผมสังเกตุเห็นรอยยิ้มในแววตาของพ่อในทันที ผมตรงเข้าไปที่เตียงแล้วก้มลงกราบที่ปลายเท้าพ่อ พร้อมกับเดินเข้าไปกอดพ่อที่ยังนอนอยู่ พูดคุยกับพ่อไปพร้อมกับ
บีบนวดไปที่ขา ที่แขนพ่อ ผมสังเกตุว่าพ่ออยากจะคุยอะไรกับผม แต่ผมฟังเสียงของพ่อไม่ถนัด เสียงพ่อแผ่วเบามาก เหมือนกับลิ้นของพ่อเริ่มแข็ง ผมเลยบอกว่า ถ้าพ่อเหนื่อยก็ไม่ต้องพูดอะไร
พ่อได้แต่พยักหน้า จนสักพักผมเห็นพ่อเหมือนอยากจะพักผ่อน ผมเลยบอกพ่อว่า พ่อนอนพักผ่อนเถอะนะ พ่อพยักหน้าและก็หลับตาลง ผมบอกพ่อว่า พรุ่งนี้จะมาหาพ่อใหม่นะ
พ่อยิ้มที่มุมปากพร้อมกับพยักหน้ารับ ผมจึงค่อยๆย่องออกมาจากห้องพักผู้ป่วย ซึ่งเป็นห้องรวม ภายในห้องจะมีเตียงอยู่ประมาณ๕-๖เตียง
วันรุ่งขึ้น แม่ก็ไปเยี่ยมพ่อพร้อมกับน้องๆเหมือนที่เป็นมาทุกๆวัน ส่วนผมก็ไปทำงานตามปกติ ทันทีที่พ่อเห็นหน้าแม่ คำแรกที่พ่อบอกกับแม่คือ "นายแม่..แบ๊วมันไปตัดผมแล้วนะ"
ซึ่งแม่มาเล่าให้ผมฟังในวันรุ่งขึ้น แม่บอกว่าพ่อยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ พ่อคงดีใจมากที่เห็นผมตัดผมสั้น และในคืนถัดมา ทางโรงพยาบาลการท่าเรือฯต้องส่งตัวพ่อไปยังโรงพยาบาลทรวงอก
ที่นนทบุรีโดยด่วน เนื่องจากพ่อมีอาการไม่สู้ดี และทางโรงพยาบาลท่าเรือฯก็มีศักยภาพ เครื่องไม้เครื่องมือไม่เพียงพอ ผมสวดมนต์ภาวนาตลอดเวลา อยากให้พ่อหายเป็นปกติ
เช้าวันพฤหัสบดีที่๖ มกราคม ๒๕๑๕ แม่ก็หอบของพะลุงพะลังเช่นเคย เพื่อจะไปเยี่ยมพ่อ แต่เมื่อแม่ไปถึงโรงพยาบาล แม่จึงได้ทราบข่าวร้ายว่า พ่อได้เสียชีวิตลงไปตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนแล้ว
แม่เข่าอ่อน ทรุดตัวลงกับพื้น ข้าวของที่เตรียมมาเพื่อเยี่ยมพ่อ ตกหล่นกระจัดกระจาย หัวใจแม่คงเหมือนจะแตกสลาย เนื่องจากที่บ้านเราไม่มีโทรศัพท์ที่จะให้ทางโรงพยาบาลติดต่อได้
ทุกคนในบ้านจึงไม่มีใครรู้ และได้ดูใจพ่อแม้แต่คนเดียว เมื่อแม่ตั้งสติได้ แม่จึงโทรไปบอกพี่ชายคนโตที่กรมทหาร ซึ่งตอนนั้นเป็นทหารกองประจำการอยู่แถวดอนเมือง
และก็ส่งข่าวต่อไปยังน้องชายคนรองผมให้โทรไปบอกผม ซึ่งขณะนั้นผมกำลังทำงานอยู่ ทีแรกผมก็แปลกใจ ที่จู่ๆหัวหน้างานซึ่งเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ เดินมาเรียกผมให้ไปรับโทรศัพท์
ในห้องทำงานของหัวหน้า ที่โดยระเบียบปกติแล้ว พนักงานทั่วไปจะไม่สามารถใช้โทรศัพท์ในการโทรออกหรือรับเข้าได้ นอกจากระดับหัวหน้างานเท่านั้น เมื่อผมรับโทรศัพท์
คำแรกที่ผมได้ยินคือ "พี่แบ๊ว นี่เปี๊ยกนะ(เปี๊ยกน้องชายรองจากผม)พ่อเราเสีย
แล้วนะ" ความรู้สึกของผมในตอนนั้นเหมือนซ่านไปทั้งตัว เหมือนตัวเบาๆ ล่องลอยได้ คล้ายจะวูบลงไป
เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกทันที น้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว จุกที่อกจนพูดอะไรไม่ออก มีความรู้สึกว่ามือไม้เย็นไปหมด สักพักหัวหน้างานเดินมาแตะที่ไหล่เบาๆ แล้วพูดว่า
"รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยอาคเณย์ ไปทำทุกอย่างให้เรียบร้อย จะลากี่วันก็ได้ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาทำงาน อั๊วะขอแสดงความเสียใจกับลื้อด้วยอาคเณย์" ผมเดินไปถอดยูนิฟอร์มออก
ที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย น้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา แล้วจึงเดินออกจากบริษัท ไปดักขึ้นรถเมล์สาย๒ เพื่อกลับบ้านที่ย่านวัดสะพานพระโขนง ในระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถเมล์
หัวใจผมเลื่อนลอยอย่างไร้จุดหมาย มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกนั้นจริงๆครับ รถเมล์สาย๒หยุดจอดลงที่ป้ายรถประจำทางบริเวณปากซอยสุขุมวิท๕๐(เกษม
สุวรรณ) ขาที่ก้าวลงจากบันไดรถ
มันรู้สึกได้ว่าอ่อนกำลังเหลือเกิน ผมเดินต่อเพื่อไปขึ้นรถสองแถวเล็กที่จอดเรียงคิวอยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท๕๐ เพื่อต่อเข้าไปยังบ้านย่านวัดสะพาน รถสองแถวคันนั้นวิ่งจนถึงสุดระยะตอนไหน
ผมแทบไม่รู้สึกตัว เมื่อลงจากสองแถว ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ๑๕๐เมตร ก็จะถึงซอยเข้าบ้าน ซึ่งติดกับโรงเรียนวัดสะพาน เป็นตรอกเล็กๆที่มีสะพานที่ปูด้วยไม้เป็นแผ่นยาวๆไว้สำหรับเดินสัญจร
ทันทีที่ผมก้าวเดินถึงตรงปากตรอกที่จะเข้าบ้าน ยิ่งทำให้หัวใจผมหดหู่มากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นภาพของน้องชายคนที่๘ ซึ่งมีอายุในตอนนั้นแค่๙ขวบ วิ่งร้องไห้เข้ามาหาผม เสียงร้องไห้ปนสะอึกสะอื้น
พร้อมกับคำพูดที่บีบหัวใจว่า "พ่อตายแล้ว พ่อตายแล้ว" มันยิ่งทำให้น้ำตาของลูก
ผู้ชายเช่นผม อดกลั้นไว้ไม่ไหว ผมนั่งลงยองๆ แล้วดึงน้องชายเข้ามากอด พร้อมกับปลอบน้องว่า ไม่ต้องร้องๆ
เป็นคำพูดคำเดียวที่พูดกับน้องชายได้ในเวลานั้น
ในตอนบ่ายแก่ๆของวันนั้น(พฤหัสบดีที่ ๖ มกราคม ๒๕๑๕) เมื่อแม่และพี่ชายคนโตได้ไปรับร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อ เดินทางมาถึงที่วัดสะพาน และมีพิธีรดน้ำศพในเย็นวันนั้น ผมเดินตรงไปที่ที่ร่างของพ่อ
ซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าลายไทยขลิบทองอย่างสวยงาม แล้วก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อ พร้อมกับอธิษฐานในใจว่า "พ่อเหนื่อยมามากแล้วนะ ถึงเวลาที่พ่อต้องพักผ่อนแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่และน้องๆนะ
ผมจะดูแลแม่และน้องๆจนสุดความสามารถ หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ผมเกิดมาเป็นลูกของพ่อ ทุกภพทุกชาติไปนะครับ ผมรักพ่อมากครับ"
พิธีศพของพ่อ ทำแบบเรียบง่ายที่สุด และประหยัดที่สุด ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร
มากมาย ค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพ ก็ได้จากเงินที่พ่อเป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ของการท่าเรือฯนั่นเอง
ผมกับน้องชายคนรองโกนหัว เพื่อบวชเป็นสามเณรและเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อ ตั้งแต่วันแรกของการสวดพระอภิธรรม และทุกๆคืนหลังการสวดพระอภิธรรมเสร็จ ผมและน้องชายคนรอง
ที่บวชคู่กัน ก็จะนอนเป็นเพื่อนกับแม่ เพื่อเป็นเพื่อนศพพ่อทุกคืน โดยกำหนดสวดไว้ทั้งหมด๗คืน และยิ่งใกล้ถึงคืนสวดคืนสุดท้ายเท่าไหร่ หัวใจของผมก็เหมือนจะยิ่งอ่อนกำลังลงไปด้วยเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่๑๓ มกราคม ๒๕๑๕ เป็นวันที่จะมีพิธีฌาปนกิจ และเมื่อเวลาใกล้จะถึง หัวใจผมยิ่งอ่อนล้าลงไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาเวียนรอบเมรุ ซึ่งผมและน้องชายต้องจูงสายสายสิญจน์ น้ำตาของผม
มันไหลลงมาตลอดทั้งการเวียน๓รอบ หยดลงมาเปรอะที่จีวร จนเป็นรอยด่างๆ
เต็มไปหมด ผมพยายามเดินก้มหน้า เพื่อไม่ต้องการให้ใครเห็น แต่หลวงตาแหวงท่านสังเกตุเห็น ท่านจึงเดินประกบ
เข้ามาใกล้ๆผมและน้องชาย พร้อมกับเอามือบีบที่หัวไหล่เบาๆ และโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูผมว่า "พ่อเณรไปสบายแล้ว ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องร้องไห้" พิธีต่างๆผ่านพ้นไป จนมาถึงเวลาที่จะเผา
มีหลายๆคนขึ้นไปดูหน้าของพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ตามคำเชิญของสัปเหร่อ แต่ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านล่าง แม้จะมีหลายๆคนมาชวนให้ขึ้นไป แต่ผมก็อยากที่จะยื่นนิ่งๆอยู่ด้านล่างนี่ ผมคิดในใจของผมว่า
ผมทำใจไม่ได้ ที่จะต้องเห็นหน้าของพ่อในสภาพแบบนี้ ผมขอจดจำใบหน้าของพ่อในตอนที่มีชีวิตเพื่อเป็นความทรงจำที่ดีจะดีกว่า
พิธีฌาปนกิจเสร็จสิ้นลงแบบเรียบง่าย ไม่มีพิธีพระราชทานเพลิง ไม่มีเจ้าใหญ่นายโต ไม่มีเจ้าสัว หรือเศรษฐีใดๆมาร่วมงาน มีเพียงชาวบ้านที่รู้จักและเคารพพ่อ พร้อมทั้งพนักงานการท่าเรือฯ
ที่รู้ข่าว หลังจากที่ผู้คนที่มางานเริ่มทะยอยกลับ สายตาของผมก็ยังจดจ้องไปที่ปล่องของเมรุ มองเห็นควันไฟสีดำ ล่องลอยออกมาจากปล่องเป็นสาย พัดพริ้วไปมาตามกระแสลม ผมยืนจ้องมอง
อยู่แบบนั้น จนคนที่มาร่วมงานกลับจนหมด คราบน้ำตาผมเริ่มแห้งกรังตรงโหนกแก้ม พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเข้ามาแทนที่ จนผมมองไม่เห็นควันไฟสีดำนั้นอีก
จนกระทั่งเสียงหลวงตาแหวงดังมาข้างๆว่า "เณร เตรียมตัวไปสึกได้แล้ว" ทีแรกผมก็ตั้งใจว่า เมื่อเสร็จพิธีฌาปนกิจก็จะสึกทันที เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ไปทำงานตามปกติ เพราะลามาหลายวันแล้ว
แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว จึงบอกหลวงตาแหวงไปว่า "ผมขอบวชอยู่ต่อให้ครบ๑๕วันเลยครับ อยากปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อ" หลวงตาแหวงก็เลยบอกว่า "ก็ตามใจเณรเลยนะ"
หลวงตาแหวงก็พูดต่อว่า "งั้นก็ขึ้นกุฏิได้แล้วนะเณร มืดแล้ว" ผมตอบรับหลวงตาว่า "ครับ เดี๋ยวผมตามขึ้นไปครับ" ส่วนน้องชายผมที่บวชคู่กัน ก็สึกในคืนนั้นเลย
ผมยังคงนั่งอยู่ที่ศาลาสวดศพที่เดิมต่อ สายตาก็มองขึ้นไปบนเมรุ เห็นสัปเหร่อเปิดหน้าต่างของเตาเผา จนผมมองเห็นแสงไฟจากในเตาลอดออกมา ผมรีบเดินขึ้นไปบนเมรุทันที
สิ่งที่ผมเห็นในระยะใกล้ๆคือ สัปเหร่อกำลังใช้ก้านเหล็กยาวๆ ที่เรียกกันว่าไม้เสียบผี เขี่ยร่างของพ่อในเตาเผา ผมยืนมองนิ่งๆแบบตาไม่กระพริบ น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้งแบบไม่รู้ตัว
ผมคิดถึงคำพูดของพ่อที่เคยสอนไว้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการสมมุติทั้งสิ้น เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ร่างกายก็แค่ขอยืมธรรมชาติมาใช้
เมื่อถึงเวลาก็ต้องส่งคืนสู่ธรรมชาติ" ผมยืนมองเปลวไฟจากเตาเผาไป และนึกคำสอนของพ่อไป
แม้ร่างกายพ่อจะจากไปเป็นเวลาครบ๕๐ปีแล้วก็ตาม(๒๕๑๕-๒๕๖๕) แต่พ่อได้ทิ้งคำสอนดีๆไว้ให้ผมและพี่ๆน้องๆทุกคน ได้เดินตามคำสอนของพ่อจวบมาจนวันนี้ กระดูกของพ่อ
ยังบรรจุไว้ที่กำแพงวัด ด้านหลังพระอุโบสถของวัดสะพานพระโขนง มีรูปและชื่อกำกับไว้ว่า "หม่อมหลวงทวีวงษ์ วัชรีวงศ์ ชาตะ ๒๓กรกฎาคม๒๔๕๕ มรณะ ๖ มกราคม ๒๕๑๕"
๕๐ปีผ่านไป ไม่มีวันใดเลยที่ผมไม่คิดถึงพ่อ พ่อจะอยู่ในใจผมตลอดไปจนวันสุดท้ายแห่งลมหายใจครับ ผมรักพ่อมากๆครับ (อวสาน)
ตอนหน้ายังมีแถมอีกตอนนะครับ เป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ติดตามกันให้ได้นะครับ
ด้วยความเคารพ
นายอาคเณย์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา (ครูแบ๊ว)
๘ เมษายน ๒๕๖๕
โฆษณา