12 เม.ย. 2022 เวลา 12:29 • กีฬา
ปริศนาอันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล คือคำสาปอาถรรพ์ของเบล่า กัตต์มานน์ กับการแช่งเบนฟิก้า ไม่ให้เป็นแชมป์ในรายการยุโรป เป็นระยะเวลา 100 ปี มันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น เราจะไปย้อนอดีตด้วยกัน
2
เบล่า กัตต์มานน์ เป็นชาวฮังการีเชื้อสายยิว เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติฮังการี จากนั้นพอแขวนสตั๊ดก็ผันตัวเป็นผู้จัดการทีม ชีวิตโดยรวมก็มีความสุขดี
1
แต่ชีวิตที่สวยงามของเขาก็ต้องพังทลาย เพราะในสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีสั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว จุดนั้นไม่สำคัญว่าคุณจะมีชื่อเสียงหรือไม่ ถ้าคุณเป็นยิว ก็มีโอกาสตายได้ตลอด
2
ในปี 1944 นาซีบุกกรุงบูดาเปสต์ และไล่ต้อนชาวยิวไปที่ค่ายกักกันเอาต์ชวิตซ์ กัตต์มานน์เองก็โดนไล่ล่าด้วย เพราะเขาถือเป็นชาวยิวที่มีชื่อเสียงในสังคมคนหนึ่ง
1
ตัวกัตต์มานน์รู้ว่าถ้าต้องไปอยู่ที่เอาต์ชวิตซ์จริงๆ เขาตายแน่ ดังนั้นจึงหนีเอาชีวิตรอด ไปซ่อนตัวอยู่ในโรงงานท้องถิ่น จนสุดท้ายสงครามจบลง เขารอดตายมาได้ แต่ก็สูญเสียคนในครอบครัวไปหลายคน
1
หลังจบสงครามโลก กัตต์มานน์ลืมความเจ็บปวด และกลับมาทุ่มเทให้ฟุตบอลอีกครั้ง
เริ่มจากย้ายไปบราซิลเพื่อคุมทีมเซาเปาโล เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย ก่อนที่ในปี 1959 เบนฟิก้า ทีมดังในลีกโปรตุเกส จะยื่นข้อเสนอดึงเขาไปคุมทีม
 
ก่อนกัตต์มานน์จะมา เบนฟิก้าวืดแชมป์ลีก 2 ปีติด แต่พอเขาย้ายมาทำทีมปั๊บ เบนฟิก้าเป็นแชมป์ลีกทันที ในซีซั่น 1959-60
3
จากนั้นในซีซั่นที่ 2 (1960-61) กัตต์มานน์ทำเรื่องยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยมีทีมโปรตุเกสทำได้มาก่อน นั่นคือการ "คว้าแชมป์ยุโรป" ด้วยการเอาชนะบาร์เซโลน่า ตัวแทนจากสเปนในนัดชิงยูโรเปี้ยนคัพ 1961 ด้วยสกอร์ 3-2
1
ทักษะของเขา ไม่ใช่แค่เรื่องในสนามเท่านั้น แต่เรื่องนอกสนามก็ยอดเยี่ยม เหตุการณ์คลาสสิคที่สุดครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นตอนเบนฟิก้า ซื้อตัวเด็กอัจฉริยะที่ชื่อ "ยูเซบิโอ" มาเสริมทัพหลังจากได้แชมป์ยุโรปสมัยแรก
ยูเซบิโอ เกิดที่ประเทศโมซัมบิก ซึ่ง ณ เวลานั้น เป็นอาณานิคมของโปรตุเกส เขาลงเล่นอยู่กับสโมสรท้องถิ่นชื่อ สปอร์ติ้ง ลอเรนโซ่ มาร์เกวซ เป็นสโมสรพาร์ทเนอร์กับสปอร์ติ้ง ลิสบอน ทีมดังในโปรตุเกส
1
ในขณะที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน ยังไม่เห็นแววของยูเซบิโอดีนัก แต่เบล่า กัตต์มานน์ รู้แล้วว่าเด็กคนนี้คือเพชรเม็ดงาม ที่จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด เด็กปีศาจคนนี้ วิ่ง 100 เมตร ในเวลาแค่ 11 วินาทีเท่านั้น ศักยภาพร่างกายคือเกรดเอเลยทีเดียว
2
กัตต์มานน์ จึงพร้อมจ่ายค่าเหนื่อยให้ยูเซบิโอ ในสัญญา 3 ปี กับตัวเงินที่เทียบกับปัจจุบันคือ 2,000 ยูโร ซึ่งในยุคนั้นเป็นตัวเลขที่มหาศาลมาก
1
ยูเซบิโอเล่าว่า "จริงๆ สโมสรที่ผมเล่น เป็นทีมลูก (Feeder Club) ของสปอร์ติ้ง ลิสบอนด้วยซ้ำ แต่เบนฟิก้าแสดงความอยากได้ผมมากกว่า ด้วยการทุ่มเงินค่าเหนื่อย ส่วนสปอร์ติ้ง ลิสบอนแค่อยากให้ผมย้ายไปโปรตุเกส เพื่อเก็บประสบการณ์ในฐานะนักเตะเยาวชนเฉยๆ โดยไม่จ่ายเงินอะไรให้เลย"
1
มีเหตุการณ์ในตำนาน ในจังหวะต่อเนื่อง คือเมื่อสปอร์ติ้ง ลิสบอนรู้ว่ายูเซบิโอจะโดนเบนฟิก้าแย่งเซ็น จึงเตรียมยื่นข้อเสนอเป็นสองเท่าเพื่อให้ยูเซบิโอเปลี่ยนใจ
แต่กัตต์มานน์ สั่งให้สตาฟฟ์สโมสรเอายูเซบิโอไปซ่อนในโรงแรมที่อยู่ห่างไกล พร้อมมีบอดี้การ์ดสามคนห้ามใครเข้าออก เพื่อไม่ให้ผู้บริหารมาเจอตัวยูเซบิโอแล้วเริ่มเจรจากันได้ จนสุดท้ายยูเซบิโอ กลายเป็นของเบนฟิก้าในที่สุด
1
เมื่อได้ตัวยูเซบิโอ ทำให้เบนฟิก้าจากเป็นทีมที่ดีอยู่แล้ว จึงกลายเป็นยอดทีมแห่งยุคทันที นี่ถือเป็นดีลในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างแท้จริง
ฤดูกาลที่ 3 ของกัตต์มานน์ (1961-62) เขาพาเบนฟิก้าเข้าชิงยูโรเปี้ยนคัพ เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน คราวนี้เจอกับอีกหนึ่งตัวแทนจากสเปน นั่นคือ เรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์ 5 สมัย ซึ่งถ้าดูจากลิสต์รายชื่อ จะเห็นว่า เรอัล มาดริด มีแต่ตัวดังๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฟเรนซ์ ปุสกัส หรือ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่
1
ก่อนเกมจะเริ่ม สื่อมวลชนยกให้เบนฟิก้าเป็นทีมรอง ชื่อชั้นของเรอัล มาดริด ดูดีกว่ามากในหน้ากระดาษ พวกเขาเป็นจ่าฝูงลาลีกา ขณะที่เบนฟิก้าปีนั้นในลีกฟอร์มแผ่ว อยู่ที่อันดับ 3 ของตารางเท่านั้น
1
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในช่วง Team Talk ก่อนเกมนัดชิง ซึ่งเรื่องนี้ยังคงถูกเล่าขานมาอยู่เรื่อยๆ
กัตต์มานน์ เรียกนักเตะทั้งทีมบอกให้นั่งลงแล้วเล่าว่า "ในโอลิมปิกปี 1924 ฉันรู้จักนักวิ่งชาวฟินแลนด์คนหนึ่งชื่อ ปาโว นูร์มี่ เขาวิ่ง 5,000 เมตร ได้ในเวลา 14:31 นาที ซึ่งใครๆ ก็บอกว่านี่คือเวลาที่เหนือมนุษย์มากๆ แต่ในโอลิมปิก 1960 ใครก็ไม่รู้จากนิวซีแลนด์ สามารถขยี้เวลาของปาโว นูร์มี่ ได้เกือบนาที"
"ดังนั้นสุภาพบุรุษทุกคน เราจะชนะในเกมนี้ เพราะเราเหนือกว่าเรอัล มาดริด"
1
คำกระตุ้นของกัตต์มานน์ เป็นการบ่งบอกว่า ในอดีตเรอัล มาดริด อาจจะเก่งกาจมากๆ เคยเป็นแชมป์ยุโรป 5 สมัย มาก็จริง แต่มันก็เหมือนสถิติวิ่ง 5,000 เมตรของปาโว นูร์มี่นั่นแหละ ที่ในช่วงหนึ่งใครๆ ก็คิดว่า คงไม่มีคนทำลายได้ แต่แค่ไม่กี่ปี สถิตินั้นก็โดนทำลายยับเยิน ก็เหมือนกับเบนฟิก้าตอนนี้ พร้อมแล้วที่จะทำลายความยิ่งใหญ่ของเรอัล มาดริด เช่นเดียวกัน
นั่นทำให้พอลงสนามจริงๆ เบนฟิก้าเล่นได้อย่างสุดยอดมาก นักเตะวิ่งอย่างบ้าคลั่งไม่มีท้อถอยตลอดเกม สุดท้ายพวกเขาโค่นเรอัล มาดริด ได้อย่างสุดระทึก 5-3 คว้าแชมป์ยุโรป ได้ 2 สมัยติดต่อกัน
 
ณ เวลานั้น เบนฟิก้า คือสโมสรอันดับหนึ่งของยุโรปอย่างไม่มีข้อสงสัย การได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 2 สมัยซ้อน ถ้าคุณไม่เก่งจริง ไม่มีทางทำได้หรอก
เส้นทางของกัตต์มานน์ กับ เบนฟิก้า ก็น่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ผลงาน 2 แชมป์ลีก 2 แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ และ 1 แชมป์โปรตุกีสคัพ มันเป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก
1
แต่สุดท้ายปัญหาคลาสสิคที่มักจะทำให้คนแตกคอกัน ก็เกิดขึ้นกับกัตต์มานน์ และเบนฟิก้า นั่นคือ "เรื่องเงิน"
1
กัตต์มานน์ไม่พอใจสโมสรที่จุกจิกกับเรื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ในยูโรเปี้ยนคัพรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่เบนฟิก้า ไปเยือนเนิร์นแบร์กของเยอรมัน เกมนั้นกัตต์มานน์เอาภรรยา ที่ชื่อ มาริอานน์ เดินทางไปด้วย แล้วเปิดห้องในโรงแรมให้พัก 1 ห้อง
1
หลังแข่งเสร็จกลับมาที่โปรตุเกส สโมสรส่งบิลค่าใช้จ่าย มาแจ้งให้กัตต์มานน์รู้ว่า ค่าห้องที่มาริอานน์นอน ตัวกัตต์มานน์ต้องเป็นคนจ่ายเองครึ่งหนึ่ง
และอีกหนึ่งประเด็นที่ใหญ่กว่า คือตอนได้แชมป์ยุโรปสมัยแรก กัตต์มานน์บอกสโมสรว่า ถ้าเขาได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ติดกัน ขอขึ้นเงินเดือน 65% ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่มีค่าจ้างสูงสุดในโลกทันที
2
แต่พอทำได้แล้ว สโมสรไม่ยอมขึ้นค่าจ้างให้ตามที่ขอ ซึ่งกัตต์มานน์ไม่พอใจ เขาอธิบายว่า "ค่าตัวของผมอาจแพงที่สุดในโลก แต่ถ้าดูถึงความสำเร็จที่ผมทำไว้ ผมคิดว่ามันถูกไปด้วยซ้ำ"
1
กัตต์มานน์บอกว่า ทีมเบนฟิก้าก่อนเขาจะมาคุมยังมีผลงานไม่คงเส้นคงวา ไม่เคยมีผลงานในเกมยุโรป แต่พอเขาเข้ามาปั๊บ ทีมกลายเป็นแชมป์ยุโรปสองสมัย คุณก็ควรจะให้เครดิตกันบ้าง
อย่างไรก็ตาม มุมของสโมสรกลับไม่คิดแบบนั้น เพราะมองว่ากัตต์มานน์ ได้คุมทีมในยุคที่นักเตะเก่งเต็มทีม แถมมีผู้เล่นระดับยูเซบิโออยู่ทั้งคน ซึ่งทีมที่เก่งขนาดนี้ ใครมาคุมก็เป็นแชมป์ได้ เอาจริงๆ พวกเขาไม่เห็นความสำคัญของผู้จัดการทีมขนาดนั้น
นอกจากนั้นสโมสรเคยผิดสัญญากับเขาด้วย โดยในปี 1959 ตอนเซ็นสัญญากับเบนฟิก้าวันแรก กัตต์มานน์ คุยกับประธานสโมสรเมาริซิโอ วิเอร่า เด บริโต้ ว่า ถ้าเขาพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปได้ ขอเงินโบนัส 200,000 เอสคูโดส ได้ไหม ตอนนั้นเบนฟิก้ายังไม่ได้เป็นแชมป์ลีกในประเทศด้วยซ้ำ ทำให้ประธานสโมสรพูดเล่นกลับไปว่า "เอาไป 300,000 เลยเพื่อน" แต่ปรากฏว่า พอเขาทำทีมได้แชมป์จริงๆ กลับไม่ได้เงินก้อนนี้
 
หลังจบฤดูกาล 1961-62 การเจรจาเรื่องสัญญาใหม่ไม่คืบหน้า เบนฟิก้า ยังไงก็ไม่ขึ้นค่าเหนื่อยให้กัตต์มานน์ สุดท้ายทำให้เขาต้องเก็บข้าวของย้ายไปคุมทีมเปนยารอล ในอุรุกวัยแทน
2
เรื่องราวก็เหมือนจะจบตรงนี้ ก็ต่างคนต่างเดิน แต่ความแค้นของกัตต์มานน์มาระเบิดจริงๆ ในภายหลัง เพราะเบนฟิก้ากำลังจะจ้างโค้ชคนใหม่ชื่อ ลายอส เซเลอร์ มาคุมทีม และเซเลอร์ได้รับค่าจ้างสูงถึง 250,000 เอสคูโดส ทั้งๆ ที่ตอนกัตต์มานน์คุมทีม ได้ค่าจ้างแค่ 150,000 เอสคูโดสเท่านั้น มันทำให้เขาแค้นมาก ไม่ยอมขึ้นเงินให้เขาแต่ไปจ้างคนอื่นราคาแพงกว่าเนี่ยนะ
1
ความรู้สึกเหมือนคนเป็นพนักงานบริษัท ทำผลงานดีมาก แล้วขอขึ้นค่าแรง บริษัทไม่ยอมจ่าย พนักงานเลยลาออก แต่สุดท้ายพอบริษัทหาคนทำงานไม่ได้ ก็ต้องไปดึงตัวคนจากบริษัทอื่นแล้วจ่ายเงินเดือนให้แพงๆ อยู่ดี แบบนี้จะให้พนักงานคนที่ลาออกไปคิดยังไง
1
กัตต์มานน์กล่าวว่า "การที่เบนฟิก้าหาเงินได้มากมายในเวลานี้ มันเริ่มจากสิ่งที่ผมวางโครงสร้างเอาไว้ทั้งนั้น ผมคว้าแชมป์ยุโรปจากนักเตะราคาไม่แพง แล้วพอทีมมีเงิน สโมสรก็เอาไปซื้อนักเตะแพงๆ มาเสริมทีม ถามหน่อยว่า ผมไม่ควรเป็นโค้ชที่ได้รับค่าจ้างสูงๆ ตามความสามารถอย่างนั้นหรือ"
1
นั่นจึงเป็นที่มาของการสาปแช่งในตำนาน โดยเบล่า กัตต์มานน์ บอกไว้ว่า "จากนี้ไปอีก 100 ปี เบนฟิก้าจะไม่มีวันเป็นแชมป์ยุโรปอีกเลย"
เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานด้วยเสียงว่ากัตต์มานน์พูด แต่อังเจโล่ มาร์ตินส์ กองหลังของเบนฟิก้าชุดแชมป์ยุโรปคอนเฟิร์มว่า กัตต์มานน์พูดแบบนั้นจริงๆ
แม้กัตต์มานน์จะร่ายคำสาป แต่ผู้คนก็คิดว่าเป็นแค่คำพูดเฉยๆ เพราะถ้ามองตามจริง เบนฟิก้ามีองค์ประกอบทีมที่แข็งแกร่งมากๆ ดังนั้นอย่าว่าแต่ 100 ปีเลย เผลอๆ แค่ปีหน้าพวกเขาก็ได้แชมป์ยุโรปแล้ว
ฤดูกาลต่อมา เบนฟิก้าภายใต้โค้ชคนใหม่ เข้าชิงยูโรเปี้ยนคัพเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน เจอกับ เอซี มิลาน จากอิตาลี
 
ยูเซบิโอ ยิงนำให้เบนฟิก้าไปก่อน ดูเหมือนพวกเขาจะได้แชมป์แบบใสๆ แต่พอเริ่มครึ่งหลังมิลาน ยิง 2 เม็ดรวด พลิกกลับมาคว้าแชมป์ด้วยสกอร์ 2-1
โอเค การชิงแล้วแพ้ มันก็ไม่แปลก มันก็เกิดกันได้ แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สิ่งที่มันแปลก คือตั้งแต่แยกทางกับกัตต์มานน์ เบนฟิก้า เข้าชิงฟุตบอลยุโรปอีก 8 ครั้ง แต่ไม่สามารถชนะได้เลยแม้แต่หนเดียว
1
ไม่ใช่แค่ยูโรเปี้ยน คัพ แต่รวมถึงถ้วยเล็กอย่างยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีก) ด้วย อะไรที่ได้ชื่อว่าเป็นการชิงชัยในระดับยุโรป พวกเขาไม่ชนะเลย แม้จะเข้าชิงหลายต่อหลายครั้ง
บางปี มีทีมที่แข็งแกร่งกว่าชัดเจน แต่เจาะไม่เข้าแพ้ลูกโทษ บางปี เล่นดีกว่าตลอด 90 นาที สุดท้ายพลิกกลับมาแพ้ก็มี
1
1963 แพ้ เอซี มิลาน (ยูโรเปี้ยนคัพ)
1965 แพ้ อินเตอร์ มิลาน (ยูโรเปี้ยนคัพ)
1968 แพ้ แมนฯยูไนเต็ด (ยูโรเปี้ยนคัพ)
1983 แพ้ อันเดอร์เลตช์ (ยูฟ่าคัพ)
1988 แพ้ พีเอสวี (ยูโรเปี้ยนคัพ)
1990 แพ้ เอซี มิลาน (ยูโรเปี้ยนคัพ)
2013 แพ้ เชลซี (ยูโรป้าลีก)
2014 แพ้ เซบีญ่า (ยูโรป้าลีก)
ในการเข้าชิงฟุตบอลยุโรปครั้งล่าสุด คือยูโรป้าลีก ปี 2014 เบนฟิก้า พบกับเซบีญ่า เกมนั้นเบนฟิก้ามีโอกาสยิง 20 ครั้ง มากกว่าคู่แข่ง 2 เท่า
 
ทีมน่าจะได้ประตูหลายลูกมาก แต่โอกาสหลุดเดี่ยวก็จบไม่ได้ แถมยังโดนเคลียร์บอลทิ้งจากเส้นประตูถึง 3 ครั้ง สุดท้ายจบเกมเสมอ 0-0 ก่อนที่เบนฟิก้า จะไปแพ้จุดโทษ
 
"ไม่รู้ทำไมเราไม่มีโชคในเกมนี้" ลุยซ์เซา กัปตันทีมเบนฟิก้า ชุดแพ้เซบีญ่านัดชิงปี 2014 เผย "เราพยายามแค่ไหน บอลมันก็ไม่ข้ามเส้นประตูไปซะที"
2
นี่จึงกลายเป็นเรื่องปริศนาจนถึงปัจจุบันว่า เป็นเพราะอะไรกันแน่
อะไรคือการเข้าชิง 8 ครั้งติดต่อกัน แต่แพ้รวดทุกครั้ง จะบอกว่านักเตะไม่ดีพอก็ไม่ใช่ บางปีมีตัวผู้เล่นสุดยอดมากๆ ก็ยังแพ้ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะคำสาปอาถรรพ์ของกัตต์มานน์จริงๆ
1
ก่อนที่ยูเซบิโอจะเสียชีวิต เขาเดินทางไปคารวะหลุมศพของกัตต์มานน์ ที่เวียนนา หลายคนบอกว่าเขาไปเพื่อขอร้องให้คำสาปกัตต์มานน์สิ้นสุดเสียที แต่คำขอร้องของยูเซบิโอถึงวันนี้ก็ยังไม่เป็นผล
1
และถ้าอ้างอิงจากคำสาปของกัตต์มานน์ ในปีนี้อาจจะยังเร็วเกินไป ที่เบนฟิก้าจะไปถึงตำแหน่งแชมป์ยุโรป
1
อย่างไรก็ตามคิดในแง่ดี กัตต์มานน์แช่งในปี 1962 ตอนนี้ปี 2022 ผ่านมาแล้ว 60 ปี แปลว่าคำสาปของกัตต์มานน์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เหลืออีกแค่ ... 40 ปีเท่านั้น
#CURSEOFGUTTMANN
โฆษณา