13 เม.ย. 2022 เวลา 02:15 • กีฬา
หนึ่งในคำสาปที่ยาวนานที่สุดในวงการกีฬา คือคำสาปแบมบิโน่ ในกีฬาเบสบอล ที่กว่าจะแก้คำสาปกันได้ ต้องใช้เวลายาวนานถึง 84 ปี เรื่องราวเป็นอย่างไร ไปย้อนดูความคลาสสิคของเหตุการณ์นี้ด้วยกัน
1
แบมบิโน่ แปลว่า Baby ในภาษาอิตาเลียน เป็นฉายาที่แฟนเบสบอลในนิวยอร์กที่มีคนอิตาเลียนอยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งให้นักกีฬาชื่อ เบบ รูธ (Babe Ruth)
ความหมายก็ตรงๆ เลย Babe = Baby = Bambino
เบบ รูธ คืออัจฉริยะของวงการเบสบอลในยุค 100 ปีที่แล้ว เขาตีโฮมรันได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา นอกจากนั้นยังเป็นพิชเชอร์ (ตัวขว้าง) ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
1
รูธ ฟาดโฮมรันไปตลอดอาชีพ 714 ครั้ง เป็น Home Run Leader ของลีก (เทียบได้กับดาวซัลโว) ถึง 12 ฤดูกาล และเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์เบสบอล ที่ตี 60 โฮมรันได้ในฤดูกาลเดียว ก่อนสถิติจะถูกทำลายได้ในปี 1961
ลองคิดดูว่าสมัยก่อน ขนาดของสนามเบสบอลใหญ่กว่าปัจจุบัน และไม่มีวิทยาศาสตร์การกีฬาใดๆ คอยช่วย การที่คุณหวดโฮมรันได้เป็นว่าเล่นแบบนั้น แปลว่าคุณต้องเป็นยอดคนจริงๆ
เบบ รูธ เริ่มต้นอาชีพที่บอสตัน เรดซ็อกซ์ ในปี 1914 ตอนเขามีอายุ 19 ปี และการมาของเขา ได้เปลี่ยนทีมเรดซ็อกซ์ ให้กลายเป็นยอดทีม
1
ตั้งแต่ก่อตั้งทีม ตอนยังไม่มีเบบ รูธ ทีมเรดซ็อกซ์ ได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์ 2 สมัย (1903 และ 1912) แต่พอเซ็นสัญญากับเบบ รูธ ปั๊บ ทีมได้แชมป์รัวๆ ถึง 3 สมัย (1915, 1916 และ 1918)
จุดเปลี่ยนสำคัญของเบบ รูธ กับทีมเรดซ็อกซ์เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 1919 หลังได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์ สมัยที่ 3 เมื่อเบบ รูธ เรียกร้องขอค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากเดิมปีละ 7,000 ดอลลาร์ มาเป็น 15,000 ดอลลาร์
ถ้าในอเมริกันเกมส์ปัจจุบันนี้ นักกีฬาต้องหมดสัญญาก่อน จากนั้นจึงสามารถเซ็นสัญญาฉบับใหม่ได้ แต่ในยุคนั้น นักกีฬาสามารถเรียกร้องค่าเหนื่อยขอเพิ่มได้ทันทีระหว่างสัญญา หลักการเดียวกับฟุตบอลนั่นเอง
เบบ รูธ ในวัย 23 ปี กำลังอยู่ในช่วงพีก นอกจากนั้นยังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากชาวเมืองบอสตัน เขาจึงมั่นใจว่าตัวเองคู่ควรจะได้รับสัญญาใหม่
อย่างไรก็ตาม การเจรจานั้นไม่เป็นผลอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อแฮร์รี่ ฟราซี่ เจ้าของทีมเรดซ็อกซ์ ยอมขึ้นเงินเดือนให้แค่ 10,000 ดอลลาร์เท่านั้น ในมุมของฟราซี่ นักกีฬาคนอื่นๆ ในทีม ได้ค่าจ้างกันใกล้ๆกัน เขาไม่คิดว่า เบบ รูธ ควรได้ค่าจ้างฉีกไปมากกว่าคนอื่นขนาดนั้น
1
สตาร์คนอื่นในทีม เช่น แจ๊ค แบร์รี่ (Second Base) รับ 4,500 ดอลลาร์ ส่วน แฮร์รี่ ฮูเปอร์ (Right Field) รับ 9,000 ดอลลาร์ ดังนั้น การให้ค่าจ้างเบบ รูธ 10,000 ดอลลาร์ ก็ถือว่าดูสมดุลดีแล้ว ไม่ห่างจากคนอื่นเกินควร และดูเป็นหลักการบริหารที่ถูกต้อง
1
แต่ในมุมของเบบ รูธ เขาเป็นพิชเชอร์ตัวหลัก แล้วพอเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้เล่น Left Field ก็กลายเป็นตัวตีโฮมรันเบอร์ 1 ของลีก คนที่ครบเครื่องแบบเขา ได้เงินแค่นั้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยแฟร์นัก เพราะไท ค็อบบ์ ผู้เล่นจากดีทรอยต์ ไทเกอร์ ซึ่งได้รายได้สูงสุดของลีก รับอยู่ 20,000 ดอลลาร์ ดังนั้นแปลว่า ตัวเบบ รูธ ได้รับรายได้ห่างจากไท ค็อบบ์ ถึงครึ่งต่อครึ่งทีเดียว
5
แม้จะไม่ได้สัญญาอย่างที่ต้องการ แต่เบบ รูธ ก็ยังเล่นเต็มที่ ในฤดูกาล 1919 เขาตีโฮมรันไป 29 ครั้ง คว้าอันดับ 1 ของลีกเช่นเคย พอจบซีซั่นเขาไปคุยกับเจ้าของทีมอีกครั้ง ถึงการปรับค่าเหนื่อยให้เหมาะสม
1
ฟราซี่ไม่แฮปปี้ เพราะเขาไม่อยากเสียเงินไปมากกว่านี้ ตัวฟราซี่นอกจากเป็นเจ้าของทีมบอสตัน เรดซ็อกซ์แล้ว ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างละครบรอดเวย์ด้วย โดย ณ เวลานั้น เขากำลังจะสร้างละครเวทีเรื่องใหม่ ชื่อ No, No, Nanette ซึ่งต้องใช้เงินทุนเยอะมาก ดังนั้นจะต้องมาจ่ายเพิ่มให้เบบ รูธอีกอย่างนั้นหรือ
1
ในเวลาเดียวกันกับที่แฮร์รี่ ฟราซี่ กำลังกระอักกระอ่วนใจ ทีมเบสบอลอีกทีมชื่อนิวยอร์ก แยงกีส์ เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของใหม่ เป็นยาค็อบ รัพเพิร์ต เศรษฐีจากแมนฮัตตัน ในวันที่ซื้อทีม รัพเพิร์ตถาม มิลเลอร์ ฮักกินส์ ผู้จัดการทีมแยงกีส์ ว่าต้องการอะไรบ้างถึงจะพาแยงกีส์เป็นแชมป์เวิลด์ซีรีส์ได้
2
ผจก. ทีม ฮักกินส์ตอบประโยคคลาสสิคว่า "Get me Ruth" (เอารูธมาให้ผม)
ระหว่างที่แฮร์รี่ ฟราซี่ ไม่รู้จะทำยังไงดี เขาก็พบทางสว่าง เมื่อได้รับข้อเสนอจาก ยาค็อบ รัพเพิร์ต เจ้าของใหม่ทีม นิวยอร์ก แยงกีส์ ขอซื้อตัวเบบ รูธ ด้วยราคา 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดตลอดกาล ตั้งแต่ลีกเบสบอลก่อตั้ง
ไม่เพียงแค่นั้นเจ้าของทีมแยงกีส์ ยังให้แฮร์รี่ ฟราซี่ กู้เงินพิเศษอีก 300,000 ดอลลาร์ โดยมีดอกเบี้ย 7% สำหรับเอาไปหมุน ในการสร้างละครบรอดเวย์อีกด้วย
นี่เป็นข้อเสนอที่แฮร์รี่ ฟราซี่ ไม่สามารถปฏิเสธได้ การได้เงินก้อนโตขนาดนี้แลกกับผู้เล่นคนเดียว ในราคาสถิติโลก ถือเป็นอะไรที่ลงตัวมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจขายเบบ รูธ ให้ทีมแยงกีส์
เบบ รูธ ไม่มีปัญหาในการย้ายทีม เพราะเขาจะได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 20,000 ดอลลาร์ต่อปี สูงสุดในลีกเทียบเท่าไท ค็อบบ์ ของดีทรอยต์ ทำให้การย้ายตัวลุล่วงในที่สุด
ในกีฬาเบสบอลการเทรดผู้เล่น สามารถทำได้ทั้งเอาผู้เล่นไปแลกมา หรือจ่ายเป็นเงินสดเพียวๆ ก็ได้ (Cash Considerations) วิธีนี้ก็ไม่ได้ผิดกติกาอะไร แต่แฟนๆ บอสตันก็ไม่พอใจ เพราะถ้าจะปล่อยเบบ รูธ ก็ควรได้นักกีฬาฝีมือดีคนอื่นมาทดแทน แต่เขาดันขายคีย์แมนเบอร์ 1 แลกกับเงินซะอย่างนั้น
5 มกราคม 1920 การซื้อขายเสร็จสิ้น ฟราซี่ เจ้าของทีมเรดซ็อกซ์ บอกว่า "โฮมรันของเบบ รูธ ดูอลังการมากกว่าจะเป็นการเล่นที่มีประโยชน์ และการมีอยู่ของเบบ รูธ ทำให้เรดซ็อกซ์ เป็น one-man team ทีมที่พึ่งพาแค่นักกีฬาคนเดียว"
-------------------------------
ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เบสบอล MLB จะแบ่งเป็น 2 ลีก คือ อเมริกันลีก (AL) กับ เนชั่นแนลลีก (NL) ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน จะเอา 5 ทีม ที่ดีที่สุดของแต่ละสายมาเพลย์ออฟกัน
แต่ในยุค 100 ปีที่แล้ว จะเอาแค่ทีมสถิติอันดับ 1 ของแต่ละลีกเท่านั้น มาซัดกันในรอบชิงชนะเลิศ ที่เรียกว่า เวิลด์ซีรีส์ ใครชนะก็ได้แชมป์ประจำปีไปครอง
ตั้งแต่นิวยอร์ก แยงกีส์ ก่อตั้งทีมในปี 1903 พวกเขาไม่เคยเข้าเวิลด์ซีรีส์ได้เลยแม้แต่หนเดียว แต่พอได้เบบ รูธ มาในปี 1920 ช่วงเวลา 15 ปีที่เบบ รูธ อยู่กับทีม แยงกีส์เข้าเวิลด์ซีรีส์ได้ถึง 7 ครั้ง และพาทีมเป็นแชมป์ได้ 4 ครั้ง
3
จากทีมที่ไม่เห็นความสำเร็จอะไรเลย แยงกีส์แปลงร่างกลายมาเป็นสุดยอดทีมแห่งยุคสมัย เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลในกีฬาเบสบอล และเป็นทีมที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับ 2 ของโลกในเวลานี้ (เป็นรองแค่ดัลลัส คาวบอยส์) จุดเริ่มต้นของทุกอย่างก็คือการเซ็นสัญญาซื้อเบบ รูธ เข้ามาสู่ทีมนั่นเอง
1
ที่สำคัญกว่านั้น คือเรื่องค่าตัว อย่างที่เราบอกดีเทลไปว่านอกจากจะจ่ายค่าตัว 100,000 ดอลลาร์แล้ว รัพเพิร์ต เจ้าของทีมแยงกีส์ ให้ฟราซี่ เจ้าของเรดซ็อกซ์ ยืมเงิน 300,000 ดอลลาร์ กับดอกเบี้ยปีละ 7% เท่ากับว่าเจ้าของเรดซ็อกส์ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 21,000 ดอลลาร์
กว่าที่ฟราซี่ จะผ่านจ่ายเงินกู้คืนรัพเพิร์ตครบ ใช้เวลา 5 ปี เท่ากับว่าเขาจ่ายดอกเบี้ยให้ถึง 21,000 x 5 = 105,000 ดอลลาร์
1
ราคาที่แยงกีส์ซื้อตัวเบบ รูธ มาอยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์เท่านั้น ทำให้ไมเคิล เฮาเพิร์ต นักเศรษฐศาสตร์คนดัง วิจารณ์ว่า "หลังจาก 5 ปี เจ้าของเรดซ็อกซ์ต้องจ่ายดอกเบี้ยสะสมคืนให้แยงกีส์ รวมแล้วดอกเบี้ยแพงกว่าค่าตัวของเบบ รูธ เสียอีก หรือพูดง่ายๆว่า เรดซ็อกซ์เป็นคนจ่ายค่าตัวให้แยงกีส์ซื้อเบบ รูธนั่นเอง"
2
ตอนนี้แยงกีส์ได้ทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง และความสำเร็จ แต่ในมุมกลับกัน หายนะ เริ่มเกิดขึ้นกับบอสตัน เรดซ็อกซ์
การสูญเสียซูเปอร์สตาร์ ส่งผลให้บอสตันฟอร์มร่วงลงไปเลย เมื่อทีมไม่ชนะ นักกีฬาคนอื่นๆ ก็อยากย้ายไปทีมอื่น ที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ได้มากกว่า
ตั้งแต่เสียเบบ รูธไป บอสตันมีสถิติแพ้ มากกว่าชนะ ในฤดูกาลปกติ ถึง 14 ฤดูกาลติดต่อกัน และต้องใช้เวลาอีก 27 ปี กว่าจะกลับเข้าสู่เวิลด์ซีรีส์ได้อีกครั้ง แต่ก็แพ้ในเกมนัดชิงอยู่ดี
บอสตัน เรดซ็อกซ์ กลายเป็นทีมใหญ่ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่สามารถเป็นแชมป์ 86 ปีติดต่อกัน ไม่ว่าจะเข้าชิงเวิลด์ซีรีส์กี่ครั้ง ก็แพ้คู่แข่งทั้งหมด
1
บางปีฤดูกาลปกติฟอร์มดีมากๆ สถิติดีที่สุดอันดับ 1 ของลีก แต่พอเข้าเพลย์ออฟ เข้าเวิลด์ซีรีส์ สุดท้ายก็พ่ายแพ้คู่แข่งแบบไม่มีสาเหตุ ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ ทำให้ผู้คนมองว่าบอสตันไปโดนคำสาปอะไรหรือเปล่า
1
และสุดท้ายคนก็โยงมาจนถึงเรื่องเบบ รูธ จนได้ ว่าตั้งแต่วันที่ขายเบบ รูธไปนั่นแหละ ชีวิตของทีมก็ตกต่ำมาตลอด และอาถรรพ์เรื่องนี้ ถูกเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า Curse of the Bambino (คำสาปแบมบิโน่)
ถ้าเป็นในหนังแนวหมอผีวูดู เมื่อเจอคำสาป ก็ต้องมีทางแก้ แฟนบอสตันก็ทำทุกวิธีทางเพื่อล้างอาถรรพ์ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นไปปีนเขาเอเวอเรสต์ แล้วเอาธงเรดซ็อกซ์ไปปัก หรือ เผาหมวกของทีมแยงกีส์ บนเทือกเขาหิมาลัย
1
บางคนไปงมหาเปียโนของเบบ รูธ ที่จมน้ำอยู่ในบ่อที่แมสซาชูเซต เพื่อเอามาทำพิธีแก้คำสาป บางคนใส่ชุดแม่ชีมาทำพิธีที่สนามแข่งขัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเป็นผลสักอย่าง
1
แม้แต่นักกีฬาก็พยายามใจดีสู้เสือกับคำสาปนี้ ตัวอย่างเช่นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2001 เรดซ็อกซ์ เอาชนะแยงกีส์ได้สำเร็จ 1 เกมในฤดูกาลปกติ ทำให้เปโดร มาร์ติเนซ ซูเปอร์สตาร์ของทีมให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า "ผมไม่เชื่อคำสาปห่าเหวอะไรนั่นหรอก ไปปลุกผีไอ้ห่าแบมบิโน่นั่นขึ้นมาสิ ให้ผมเผชิญหน้ากับเขาแบบตัวต่อตัวเลย ผมจะเอาอะไรยัดตูดมันสักที"
1
หลังจากเปโดร มาร์ติเนซพูดจาอย่างห้าวหาญในวันนั้น เรดซ็อกซ์ เจอแยงกีส์ในฤดูกาลปกติอีก 6 นัด ปรากฏว่าแพ้รวด 100% จนมีสถิติแย่เกินกว่าจะเข้าเพลย์ออฟได้ ทำให้แฟนแยงกีส์ก็ได้ทีเยาะเย้ยว่า เป็นไงล่ะ ดูหมิ่นวิญญาณของเบบ รูธ ต้องมีจุดจบแบบนี้แหละ!
1
ทุกครั้งที่เรดซ็อกซ์ มาเยือนนิวยอร์ก แฟนๆ แยงกีส์ จะตะโกน Chant ล้อเลียนว่า "1918!" ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เรดซ็อกซ์ได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์ เป็นเรื่องที่สร้างความเจ็บแค้นให้ฝั่งบอสตันมาก
นับจากแฮร์รี่ ฟราซี่ ทีมเรดซ็อกซ์เปลี่ยนเจ้าของมา 5 คน ไม่เคยมีใครทำทีมได้แชมป์ จนในปี 2001 ได้เจ้าของใหม่คือ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ จากบริษัทชื่อเฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป (FSG) คิดดูว่าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก อาถรรพ์ก็ยังไม่คลายเสียที
2
อย่างไรก็ตามในยุคของ FSG นี่เอง ที่คำสาปของแบมบิโน่ มาถูกลบล้างได้สำเร็จ เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 2004 เป็นเวลา 84 ปี นับจากเบบ รูธ ย้ายออกจากเรดซ็อกซ์
บอสตันลงเล่นรอบเพลย์ออฟ และฝ่าฟันมาถึงนัดชิงแชมป์สายอเมริกันลีก (AL) พบกับคู่ปรับตลอดกาล นิวยอร์ก แยงกีส์ ในระบบ 4 จาก 7 ทีมไหนได้ชัยชนะ 4 เกมก่อนจะเข้ารอบไปสู่เวิลด์ซีรีส์ต่อไป
1
ปรากฏว่า แยงกีส์นำห่าง 3-0 เกม หนทางเดียวที่เรดซ็อกซ์จะชนะได้ คือต้องทำสิ่งที่เรียกว่า Reverse Sweep ชนะ 4 เกมรวดสถานเดียว เพื่อพลิกชนะ 4-3 เกม
ตั้งแต่เบสบอล MLB ก่อตั้ง ไม่เคยมีแม้แต่ทีมเดียว ที่สามารถทำ Reverse Sweep ได้ในเพลย์ออฟ มันคือสิ่งที่ทุกคนรู้กันว่า ทีมไหนก็ตามนำ 3-0 ก็ปิดฉากได้เลย ไม่มีทางแพ้แน่นอน อย่างไรก็ตามปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเรดซ็อกซ์ไม่ยอมตาย พลิกกลับมาชนะได้ 4-3 จริงๆ
2
นี่คือชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ หลายคนเชื่อว่า เมื่อเรดซ็อกซ์ทำเรื่องที่ยากที่สุด ที่ไม่มีใครเคยทำได้ มันก็มีพลังแรงกล้าพอ ที่จะลบล้างคำสาปแบมบิโน่ได้
เมื่อชนะแยงกีส์ ทีมเรดซ็อกซ์ เข้าสู่เวิลด์ซีรีส์ ก็ไม่มีใครหยุดยั้งพวกเขาได้อีก เรดซ็อกซ์เอาชนะเซนต์หลุยส์ คาร์ดินัลด์ส 4-0 เกม คว้าแชมป์ MLB เป็นครั้งแรกนับจากปี 1918
และ 84 ปี ที่ปล่อยเบบ รูธ ในที่สุดคำสาปแบมบิโน่ ก็สลายไปในที่สุด และบอสตันก็กลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง
1
ตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปัจจุบัน บอสตันได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์ไปถึง 4 สมัย ในช่วง range นี้ ไม่มีทีมไหนได้แชมป์มากเท่าบอสตัน เรดซ็อกซ์อีกแล้ว
1
นี่คืออีกหนึ่งเหตุการณ์คลาสสิกเรื่อง "คำสาป" ในวงการกีฬา และเราก็ได้เห็นไปแล้วว่า คำสาปไม่ได้คงอยู่ตลอดไป บอสตัน เรดซ็อกซ์ เป็นตัวอย่างของคนที่ล้างอาถรรพ์ได้แล้ว
2
ในหนังผีทุกเรื่อง ถ้าเป็นคำสาปต้องมีทางแก้เสมอ ด้วยหลักการเดียวกัน ถ้าคิดว่าชีวิตตัวเองโชคร้ายเหลือเกิน ที่เจอแต่คำสาป ก็ต้องหาวิธีคลายมนต์ดำเหล่านั้นให้เจอ
#BREAKTHECURSE
โฆษณา