16 เม.ย. 2022 เวลา 22:58 • การศึกษา
#MeToo กับผู้ที่ถูกละเมิดทางเพศ
มาดูกันของผลกระทบของการเคลื่อนไหว #MeToo และสังคมให้การสนับสนุน เพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ มีผู้หญิงนับหลายที่ออกมาไม่ใช่กับเคสที่เป็นข่าวอย่างเดียว แต่อาจจะเกี่ยวกับที่ทำงานหรือคนที่ผู้บังคับบัญชา ผู้หญิงหลายคนได้มีการรวมตัวกันเข้ามา เปิดตรงถึงปัญหานี้ในสังคม
credit Washington Post
https://prismreports.org/2020/09/01/incarcerated-women-fight-for-a-place-in-the-metoo-movement/
ทำความรู้จักกับแฮชแท็กตัวนี้นะคะ #MeToo คือการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศและการล่วงละเมิดทางเพศ (ซึ่งผู้คนเผยแพร่ข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมทางเพศ)
ข้อสังเกตนะคะ #MeToo ไม่ใช่แค่การไล่ผู้ชายออกเท่านั้น หรือผู้ชายลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น
Tarana Burke เริ่มแคมเปญ Me Too เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เป้าหมายของเธอคือ "เพื่อเผยแพร่ข้อความสำหรับผู้รอดชีวิต: คุณได้ยิน คุณเข้าใจแล้ว" เมื่อนักแสดงสาว Alyssa Milano ได้ช่วยเริ่มการเคลื่อนไหวในช่วงปัจจุบันเมื่อสองปีที่แล้ว เธอต้องการ “ให้ผู้คนเข้าใจถึงความสำคัญของปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ”
#MeToo ให้ความสำคัญกับการปลุกจิตสำนึกและผลร้ายของความรุนแรงทางเพศที่มีผลร้ายต่อผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับการสร้างการเปลี่ยนแปลง
📌 #MeToo เป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม มุ่งมั่นที่จะยุติความรุนแรงทางเพศและการล่วงละเมิดทางเพศ
แต่ ณ จุดนี้ สองปีหลังจากที่ New York Times เปิดเผยข้อกล่าวหาต่อโปรดิวเซอร์ Harvey Weinstein ช่วยทำให้ #MeToo เป็นหัวข้อของการสนทนาทั่วอเมริกา อะไรเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ในฐานะนักข่าวที่พูดถึงประเด็นนี้ คำถามที่ฉันได้ยินบ่อยกว่าคำถามอื่นๆ: ผู้รอดชีวิตได้ออกมาเล่าเรื่องราวของพวกเขา ออกมาแฉทำให้ผู้ชายที่มีตำแหน่งสูงๆหลายคนออกมาตกงานจะเสียชื่อเสียง
ตั้งแต่ #MeTooออกมาได้มีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายในระดับรัฐจนถึงระดับรัฐบาลในอเมริกา
แต่เมื่อขบวนการ #MeToo ได้รับความสนใจ หลายรัฐได้ออกกฎหมายห้ามมิให้มีการใช้ข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลในคดีประพฤติผิดทางเพศ
ในเดือนกันยายน 2018 แคลิฟอร์เนียได้สั่งห้ามข้อตกลงในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศ การล่วงละเมิด หรือการเลือกปฏิบัติทางเพศ นิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ออกกฎหมายที่คล้ายคลึงกัน พระราชบัญญัติ BE HEARD ของรัฐบาลกลาง
ตัวอย่างกรณีผู้ที่ถูกกระทำเก็บ เป็นความลับมาถึง 20 ปีซึ่งเขาไม่เคยพูดออกมา ภายใต้กฎหมายใหม่ ทำให้คนที่ถูกกระทำออกมาพูดได้ง่ายขึ้น
📌 รัฐยังออกมาตรการคุ้มครองแรงงานอีกด้วย
กฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศของรัฐบาลกลางและกฎหมายของรัฐส่วนใหญ่คุ้มครองผู้รับเหมาอิสระ นั่นหมายความว่าผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ตั้งแต่นักแสดง ช่างแต่งหน้า ไปจนถึงคนขับ Uber ได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายหากถูกคุกคามจากงาน
📌ชาวอเมริกันได้เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการถืออำนาจและตำแหน่ง
ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของขบวนการ #MeToo คือการแสดงให้ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลกเห็นว่าการล่วงละเมิดทางเพศ การทำร้ายร่างกาย และการประพฤติมิชอบอื่นๆเกิดขึ้นมาก
เมื่อผู้รอดชีวิตพูดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาได้เรียนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียว และคนที่ไม่เคยมีเหตุให้คิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนก็เห็นว่าการล่วงละเมิดทางเพศส่งผลกระทบกับเพื่อนร่วมงาน ลูกๆ พ่อแม่และเพื่อนๆ อาจจะเป็นคนใกล้ชิด
การเคลื่อนไหว #MeToo เป็นการเริ่มต้นซึ่งไปในแนวทางที่ดีขึ้นต่อสังคมแต่ก็ยังไม่ได้บรรลุทุกอย่างไปที่สุดเพราะว่า มีหลายปัจจัยที่จะต้องผ่านขั้นตอนในระดับองค์กรหลายขั้นแต่ทุกคนก็ได้ตระหนักถึงข้อสำคัญของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมและผิด
ในประเทศเกาหลี ผู้หญิงอีกหลายคนออกขึ้นมาพูด ต้องใช้บุคคลที่กล้าหาญสองสามคนในการขับเคลื่อน โดยผู้หญิงเกาหลีหลายร้อยคนออกมาเล่าเรื่องการทารุณกรรมด้วยน้ำมือของผู้ชาย
แรงบันดาลใจหลักคือซอ จี-ฮยอน ซึ่งกล่าวหาในระหว่างการสัมภาษณ์สดกับช่องข่าวว่า อัน แทกึน อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้ ลวนลามเธอในปี 2010
เช่นเดียวกับสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง เมื่อผู้คนออกไปตามท้องถนนเพื่อประท้วง ขบวนการ #MeToo จัดการประท้วงมาราธอนในย่านใจกลางเมืองโซล เมื่อผู้หญิงเกือบ 200 คนหยิบไมโครโฟนมาเล่าเรื่องราวส่วนตัวของพวกเขาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ รวมเวลาถึง 2018 นาทีโดยไม่มีหยุด
📌 การเปลี่ยนแปลงกำลังเริ่มต้นขึ้นโดยฝ่ายบริหารของ Moon Jae-in ประกาศขยายระยะเวลาจำกัดในคดีล่วงละเมิดทางเพศ และกระบวนการที่อนุญาตให้เหยื่อรายงานการก่ออาชญากรรมโดยไม่เปิดเผยตัว อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีกล่าวว่า 📌👉 "ประเทศไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียว และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมและทัศนคติของเรา"📌
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและทัศนคติที่จะพิสูจน์อุปสรรคที่ท้าทาย แต่มีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดการพัฒนา และการเคลื่อนไหว #MeToo ยังคงเป็นแรงกระตุ้นหลักที่ยกระดับสังคมเราให้ชัดและเท่าเทียมกัน สิ่งที่เราเรียนรู้จากต่างประเทศที่เขามีการเคลื่อนไหวกันเราสามารถที่จะทำอะไรกับประเทศเราได้
โฆษณา