19 เม.ย. 2022 เวลา 02:21 • การศึกษา
เรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับด็อกเตอร์ ตอน 3
Photo by Logan Isbell on Unsplash
เขียนไป 2 ตอนแล้วก่อนหน้านี้
ตอน 1 เล่าว่ามี ดร.จริง ดร.ปลอม ต้องระวังกันด้วย เพราะปลอมแปลงกันไม่ยากในสังคมเชื่อคนง่ายแบบสังคมไทย
ใครเรียกตัวเองด้วยคำว่า ดร. อยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจที่มากเกินปกติไปหน่อย และอาจเจือการมุ่งหวังใช้ประโยชน์จากคำนี้ในทางไม่เหมาะสมได้ เพราะปกติก็จะใช้กันต่อเมื่อติดต่อหรือทำงานด้านวิชาการเท่านั้น
ส่วนตอน 2 ก็เล่าว่า คำว่า ดร. ก็ได้มาตามเงื่อนไขการเรียนระดับ ป.เอก ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้เป็นผู้วิเศษวิโสอะไรนักหนา
ดังนั้น หากเจอ ดร. สักคนที่โม้สะบั้นหั่นแหละ ยกยอตัวเองว่าเก่งระดับโลก ทายาทคนนั้นคนนี้ ก็ให้ระวังให้จงหนักว่า พวกนี้มักจะ "กลวง" และมี "ราคาคุย" มากกว่าฝีมือ อย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะ ดร. แบบอัจฉริยะจริงๆ ที่ผมเจอ เค้าไม่ออกมาโม้อะไรแบบนี้กันเลย
ตอนนี้ก็จะย้ำอีกประเด็นหนึ่งคือ แม้คนที่ร่ำเรียนจนจบ ป.เอก ได้เป็น ดร. ก็มีระดับความเก่งได้อย่างหลากหลายมากมายเช่นกัน
ลองนึกภาพ เดินเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนมัธยมโรงเรียนทั่วไปที่ไม่ได้จัดแบ่งนักเรียนตามคะแนน แต่ให้คละกันไป ฉันใดกันฉันนั้น แบบเดียวกันครับ
จบจนได้ ดร. มาเหมือนกัน จากคนละประเทศ ก็อาจจะต่างกันได้มาก, จากต่างมหาวิทยาลัย ก็อาจจะต่างกันได้มาก, จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ต้องห้องแล็บ ก็อาจจะต่างกันได้มาก
ผมเคยเจอจบจากแล็บเดียวกัน คนนึงโคตรเก่งเลย อีกคนไม่เอาอ่าว-ก็มี!!!
ฉะนั้น ก็แยกดูเป็นคนๆ ไปว่า คนนี้เป็น ดร.ที่ "ได้เรื่อง" หรือเปล่า
บางคนอยู่ต่างประเทศ เก่งมาก (ระบบเค้าดี ออกแรงไม่มาก ก็ได้ผลงานแล้ว) แต่พอกลับไทย แป้กไม่เป็นท่าก็มี แต่บางคน อยู่ไหน ก็ได้งาน แน่นอนว่า จำนวนและคุณภาพอาจไม่เทียบเท่าตอนอยู่ต่างประเทศ
แต่ต้องถือว่าผลิตงานในไทย ภายใต้ข้อจำกัดล้านแปดได้นี่ โคตรเก่งเลย
อ้อ อีกข้อสำคัญที่ต้องนึกไว้เสมอ ก็คือ ดร. ในด้านหนึ่ง อาจโง่จนดูบัดซบในอีกสาขาวิชาหนึ่งก็เป็นได้
ฉะนั้น จะรู้ว่าใคร "ตัวจริง" ก็ต้องได้มีโอกาส (1) ปฏิสัมพันธ์พูดคุย (2) ดูผลงาน และที่สุดแล้วคือ (3) ได้ร่วมงาน
ไอ้ข้อ (1) นี่คนทั่วไปบอกยากมาก ส่วน (2) นี่ คนวงการเดียวกันถึงจะแยกแยะพอได้ แต่ก็ยังยากครับ แต่ถ้า (3) เมื่อไหร่ ก็เห็นสันด...กันชัดเจนแน่นอน ฮาๆ
โฆษณา