20 เม.ย. 2022 เวลา 04:40 • กีฬา
ไม่เคยมีแดงเดือดครั้งไหน ที่จะแสดงถึงความ "เอาต์คลาส" มากขนาดนี้ ฝั่งลิเวอร์พูลมีประสิทธิภาพ เข้าทำเฉียบคม เล่นด้วยความกระหาย ตรงข้ามกับทีมปีศาจแดงที่ไม่เอาอะไรเลย แผนการเล่นสับสนมึนงง นักเตะเองก็ขาด Passion เหมือนเล่นไปให้จบ 90 นาทีเฉยๆ
ไม่แปลกที่ความรู้สึกของรอย คีน และ พอล สโคลส์ สองตำนานของทีมปีศาจแดงจะพูดตรงกันว่า "Sad" การเห็นแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นแบบนี้ เล่นบอลอย่างนี้ มันไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห แต่มันเสียใจจริงๆ
1
สกอร์ 4-0 ที่แอนฟิลด์ยังบ่งบอกอีกว่า ช่องว่างของทีมคู่อริอันดับ 1 ของฟุตบอลอังกฤษตอนนี้ มันห่างไกลกันคนละเลเวลขนาดไหนแล้ว
เว็บไซต์ Whoscored ทำการวิเคราะห์ก่อนเกม ว่าลิเวอร์พูล จะชนะ 5-0 พอชาวเน็ตเห็น ก็กล่าวหาว่า เว่อร์เกินไปไหม ศักยภาพของสองทีมไม่ได้ห่างกันขนาดนั้นเสียหน่อย แต่พอลงสนามเข้าจริงๆ บทวิเคราะห์ของ Whoscored ไม่ได้โอเวอร์เกินไป คุณภาพของทั้งคู่ต่างกันระดับนั้นจริงๆ
5
ลำพังทีมเวิร์ก และฟอร์มการเล่นก็เป็นรองเยอะอยู่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด เจอมรสุมอีกสารพัด แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, ลุค ชอว์ และ วาราน บาดเจ็บทั้งหมด แม้แต่ความหวังอันดับหนึ่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวซัลโวของทีม เจอข่าวร้าย ลูกชายที่เพิ่งคลอดเสียชีวิตไปอีก เกมนี้จึงไม่มีชื่อทั้งตัวจริง และตัวสำรอง
แน่นอนว่า ตรงข้ามอย่างมาก กับลิเวอร์พูลที่ฟูลทีมสุดๆ ไม่มีใครเจ็บเลยสักคน
1
ความเด็ดขาดจนน่ากลัวของคล็อปป์ คือเขาให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่า นักเตะบางคนที่ไม่ได้เป็นสำรองในเกมเอฟเอคัพเมื่อคืนวันเสาร์ ก็จะไม่มีชื่อเป็นสำรองในเกมนี้เช่นกัน แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บก็ตาม (Note : กล่าวถึง อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, มินามิโนะ, เอลเลียตต์) มันแสดงให้เห็นว่า ณ วินาทีนี้ โค้งสุดท้ายแล้ว เขาจะใช้แต่ตัวผู้เล่นที่มั่นใจจริงๆ เท่านั้น ไม่มีการส่งผู้เล่นคนไหนเพื่อรักษาน้ำใจ ซึ่งนักเตะคนที่ไม่ถูกเลือกทำได้อย่างเดียวคือต้องยอมรับความจริงไป
3
ลิเวอร์พูล เลือกใช้ทีมชุดที่ดีที่สุด Trio ซาลาห์-มาเน่-ดิอาซ ลงตัวจริงต่อเนื่อง คือถ้าเป็นเกมสำคัญจริงๆ คล็อปป์จะใช้ 3 คนนี้ยืนพื้นก่อน เหมือนเกมนัดชิงคาราบาวคัพ หรือรอบรองเอฟเอคัพ
3
ราล์ฟ รังนิก รู้ดีว่าเป็นรองแค่ไหนในเกมนี้ เขาจึงใช้แผน 5-3-2 วางเซ็นเตอร์แบ็ก 3 คน (ฟิล โจนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ) เพื่อต้านทานเกมบุกของหงส์แดง คิดตามคอมม่อนเซนส์ มีกองหลังเยอะ ก็น่าจะเหนียวแน่นมากขึ้น
แต่ที่น่าสนใจคือ นี่เป็นการเล่นด้วยระบบหลัง 3 คน เป็นครั้งแรกของราล์ฟ รังนิก ตั้งแต่ย้ายมาคุมแมนฯ ยูไนเต็ดเลยด้วย ซ้อมกันแค่แป้บเดียวก็หยิบมาใช้งานเลย
ถือเป็นความท้าทายดี ที่มาเปลี่ยนแผนเอาในเกมสำคัญแบบนี้ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ดไม่ได้ใช้แผน 3 เซ็นเตอร์แบ็กมาแล้ว 6 เดือนเต็มเลยนะ
สถิติการเจอกันของคล็อปป์ กับรังนิก ทั้งคู่เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ตอนคล็อปป์คุมดอร์ทมุนด์ และรังนิกคุมชาลเก้ บทสรุปคือ รังนิกชนะไปในหนนั้น และรังนิก เป็นโค้ชเพียงไม่กี่คนบนโลกที่มีสถิติชนะคล็อปป์ มากกว่าแพ้ (ชนะ 6 แพ้ 2) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในอดีตกับตอนนี้ ต่างกันมากแล้ว
1
เกมเริ่มต้นขึ้น แมนฯ ยูไนเต็ด ท้าทายลิเวอร์พูลด้วยการ High Line เพรสซิ่งกดดันไปจนถึงผู้รักษาประตู การจะเล่นวิธีนี้ได้ คุณต้องมั่นใจจริงๆว่า แบ็กซ้าย-ขวา จะไม่หลุดตำแหน่ง หรือถ้าหลุด เซ็นเตอร์แบ็กต้องซ้อนทัน
นาทีที่ 5 แมนฯ ยูไนเต็ด เพรสซิ่งมาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มาเน่ได้บอลกลางสนาม ปรากฏว่าแฮร์รี่ แม็กไกวร์ ตามมาด้วย แต่ก็เข้าไม่สุด จนไม่มีใครอยู่ข้างหลัง มาเน่เห็นดังนั้นแทงบอลให้ซาลาห์ ในพื้นที่ว่างทันที ซึ่งแน่นอนว่าหลุดทั้งแผง แบบไม่ล้ำหน้า ซาลาห์ปาดเข้ากลางให้ดิอาซ ยิงจ่อๆ เป็นประตูอย่างง่ายดายที่สุด
แบ็กก็หลุด เซ็นเตอร์ก็หาย คือลิเวอร์พูลไม่ได้ทำอะไร มากไปกว่าเจาะตามช่องที่มี แค่นั้นเลย ลิเวอร์พูลนำ 1-0 อย่างรวดเร็วมากๆ
หลังจากยิงได้ปั๊บ เกมเข้าสู่นาทีที่ 7 แฟนบอลทั่วแอนฟิลด์ลุกขึ้นปรบมือ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่สูญเสียลูกชาย พร้อมทั้งร้องเพลง You'll never walk alone ด้วย คือในสนามก็แข่งกันไป แต่พอเป็นเรื่องความเป็นความตาย ไม่ว่าคุณจะเชียร์ทีมไหน มันก็ต้องมีจิตใจของความเป็นมนุษย์อยู่ด้วย ซึ่งสาเหตุที่นักเตะลิเวอร์พูลใส่ปลอกแขนสีดำในเกมนี้ ก็เพื่อร่วมไว้อาลัยให้ลูกชายโรนัลโด้เช่นเดียวกัน
13
ประตูแรก อาจจะโทษได้ว่ากองหลังของยูไนเต็ดผิดพลาด แต่ในประตู 2-0 เป็นลูกที่เหนือชั้นที่สุด และส่งเข้าประกวดลูกยิงแห่งทีมเวิร์กประจำฤดูกาลได้เลย
2
ความเหนือชั้นของลูกนี้ คือการต่อบอลขั้นสมบูรณ์แบบ ลิเวอร์พูลจ่ายบอลไปมาทั้งหมด 75 วินาที นักเตะทั้ง 11 คน ช่วยกันจ่ายบอล 24 ครั้ง โดยที่ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถแย่งบอลได้เลย กองหลัง กองกลาง กองหน้า แม้แต่โกล์ จ่ายบอลเท้าสู่เท้าที่แม่นยำมากๆ ก่อนที่ซาดิโอ มาเน่ จะแทงคิลเลอร์พาสช็อตสุดท้ายให้ซาลาห์ยิงจ่อๆ ผ่านเด เกอา เข้าไป
1
เอาจริงๆ เกมรับของแมนฯ ยูไนเต็ดลูกนี้ ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่การ Pass and Move ของลิเวอร์พูลมันสุดยอดจริงๆ จ่ายแล้ววิ่ง จ่ายแล้วหาพื้นที่ ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง
3
พอยิงเข้า 2-0 ปั๊บ กล้องจับภาพที่หน้าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ที่อยู่บนสแตนด์ หน้าตาสุดเซ็ง ตามด้วยจับภาพเซอร์เคนนี่ ดัลกลิช อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ปีเตอร์ ดรูรี่ ผู้บรรยายภาษาอังกฤษใช้คำว่า not really in the same planet หรือแปลว่า ทั้งสองทีมไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกันอีกแล้ว
4
ในขณะที่ลิเวอร์พูลรู้ว่าจะเล่นยังไง เล่นแผนอะไร ต้องวิ่งไปตรงไหน แต่ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ยังสับสน และอยู่ในช่วงค้นหาตัวตนอยู่เลย ช่องว่างของทั้งคู่ยังห่างกันเกินไปจริงๆ
นาทีที่ 30 กล้องจับภาพฟิล โจนส์ เหงื่อแตก หายใจหอบ คือรู้เลยว่า ใช้พลังมากๆ ในการป้องกัน ซาลาห์-มาเน่-ดิอาซ จริงๆ ก็สงสัยเหมือนกัน เพราะฟิล โจนส์ ไม่ได้ลงสนามมา 3 เดือน เป็นตัวสำรองตลอด (แล้วในฤดูกาลนี้ ก็เพิ่งได้เล่น 1 เกม) รังนิก เอาอะไรมามั่นใจว่าจะหยิบมาใช้งานทันที ในเกมที่เจอคู่แข่งที่บุกดีที่สุดในลีก อย่างลิเวอร์พูล
4
ครึ่งแรก จบด้วยสกอร์ 2-0 ด้วยทรงเกมที่สู้กันไมได้เลย ลิเวอร์พูลเหนือกว่าทุกอย่าง
- โอกาสยิง ลิเวอร์พูล 9 ครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด 0 ครั้ง
- เปอร์เซ็นต์ครองบอล ลิเวอร์พูล 76% แมนฯ ยูไนเต็ด 24%
- จำนวนการส่งบอล ลิเวอร์พูล 438 ครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด 144 ครั้ง
- การสัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่ง ลิเวอร์พูล 25 ครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด 2 ครั้ง
ด้วยการที่เป็นรองสุดกู่ ทำให้รังนิก ต้องแก้เกม ด้วยการโละแผน 3 เซ็นเตอร์แบ็กทิ้ง เอาโจนส์ออก แล้วส่งเจดอน ซานโช่ลงมาแทน ซึ่งก็โอเค พอเปลี่ยนมาใช้แผนเดิมๆ ของตัวเอง ก็ดูดีกว่าในครึ่งแรก แต่มันยังไม่ดีพอ ที่จะต้านทานลิเวอร์พูลได้
1
นาทีที่ 67 ลินเดอเลิฟจ่ายบอลไม่ระวัง โดนโรเบิร์ตสันตัดบอลได้ แล้วโต้กลับเร็วทันที จากที่อยู่ฝั่งตัวเอง ลิเวอร์พูลสวนเร็วขึ้นมา ใช้เวลาแค่ 9 วินาที จ่ายบอลกัน 2 ครั้ง โรเบิร์ตสัน จ่ายให้ดิอาซ ส่งต่อให้ซาดิโอ มาเน่ ซัดเข้าประตู ลิเวอร์พูลนำ 3-0 แบบง่ายดายสุดๆ
4
ความแตกต่างของลิเวอร์พูล กับแมนฯ ยูไนเต็ด คือจังหวะเบสิค เรื่องการจ่ายบอลเท้าสู่เท้า การจับบอล ในขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูลรับ-ส่ง กันง่ายๆ แต่ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ยังเล่นยาก อย่างลูก 4-0 ก็เกิดจากการที่กัปตันแม็กไกวร์ส่งลูกผิดน้ำหนักให้ฮันนิบาล เมจบรี้ จนโดนแย่งบอลได้ นำมาสู่การซัดเข้าประตูของซาลาห์ในที่สุด
เกมนี้ลิเวอร์พูลชนะ 4-0 คือลิเวอร์พูลน่ะเก่งแน่นอน แต่การที่สกอร์ห่างขนาดนี้ เพราะฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ช่วยส่งเสริมด้วยการเล่นพลาดด้วย ยิ่งบวกกับแผนที่สับสนของโค้ช ทุกอย่างยิ่งไปกันใหญ่ จนเป็นเกมที่ห่างชั้นกันอย่างมาก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเกมแดงเดือด
เกร็ดที่น่าสนใจในเกมนี้ 3 ประตูแรกของลิเวอร์พูล เป็นคอมบิเนชั่น ของ ซาลาห์-มาเน่-ดิอาซ ทั้งหมด
ลูก 1-0 ซาลาห์ จ่ายให้ ดิอาซยิง
ลูก 2-0 มาเน่ จ่ายให้ ซาลาห์ยิง
ลูก 3-0 ดิอาซ จ่ายให้ มาเน่ยิง
5
จะเห็นเลยว่าความเข้าขากันของสามคนนี้ ทั้งแอสซิสต์ได้ และยิงเองได้ คือไม่ใช่ว่าโชต้าเล่นไม่ดี (โชต้าแอสซิสต์ได้ในลูก 4-0) แต่ในเกมสำคัญสามคนนี้ยังเหมาะกับการเป็นตัวจริงมากที่สุด
2
ซาลาห์ที่โดนวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ก็ปลดล็อกได้เสียที ด้วยการซัด 2 แอสซิสต์ 1 ในเกมเดียว ทำให้เขาเพิ่มสถิติยิงประตูในซีซั่นนี้เป็น 22 ลูก นำดาวซัลโวต่อไปแบบใสๆ ห่างจาก ซน ฮึง-มิน ถึง 5 ลูก นอกจากนั้นยังเป็นดาวแอสซิสต์ของพรีเมียร์ลีก ร่วมกับอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ 12 แอสซิสต์
6
จะโดนแซะ โดนวิจารณ์ อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ผลงานในสนามมันโกหกกันไม่ได้ ดาวซัลโว + ดาวแอสซิสต์ ในตัวคนเดียว จะบอกว่าผลงานแย่ ก็คงไม่ใช่แบบนั้น
ในยุโรปตอนนี้ มีนักเตะแค่ 2 คนเท่านั้น ที่มีส่วนร่วมกับการทำประตู (ยิง+แอสซิสต์) มากกว่าซาลาห์ นั่นคือคาริม เบนเซม่า (ยิง 25 แอสซิสต์ 11 รวม 36 ลูก) และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (ยิง 32 แอสซิสต์ 3 รวม 35 ลูก) ส่วนซาลาห์ ยิง 22 แอสซิสต์ 12 รวม 34 ลูก ก็ถือว่ายอดเยี่ยม และอาจแซงเบนเซม่า กับเลวานดอฟสกี้ได้ในอนาคต
ซาลาห์ตอนนี้ ยิงประตูใส่แมนฯ ยูไนเต็ดไปแล้ว 9 ลูกในอาชีพ โดยตั้งแต่เล่นฟุตบอลมา มี 3 ทีม ที่ซาลาห์ยิงได้ 9 เม็ด คือแมนฯ ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม และ วัตฟอร์ด
1
และซาลาห์เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่ยิงแมนฯ ยูไนเต็ดได้ 5 ลูกในฤดูกาลเดียวอีกด้วย (โอลด์ แทรฟฟอร์ด 3, แอนฟิลด์ 2)
2
ส่วนซาดิโอ มาเน่ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าในช่วงที่ซาลาห์แผ่ว เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในแนวรุกและคอยแบกทีมอยู่ช่วงหนึ่ง นัดนี้ก็ยังเล่นได้สุดยอดต่อไป มาเน่เริ่มปรับตัวกับการเล่น False 9 ได้ดีขึ้น การจ่ายบอลทำได้คมกริบ แล้วพอมีโอกาสยิงเองก็ใช้ไม่เปลือง
2
สถิติที่น่าสนใจมาก คือ ตอนนี้มาเน่ยิงไปแล้ว 109 ประตูในพรีเมียร์ลีก จากการลงเล่น 258 นัด ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับไรอัน กิ๊กส์ ตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ดที่ยิงได้ 109 ลูกเท่ากัน แต่กิ๊กส์ ใช้เวลา 612 เกม กว่าจะยิงได้ ซึ่งมาเน่ทำถึง 109 ลูกได้เร็วกว่ากิ๊กส์ มากถึง 354 เกม
3
แฟนลิเวอร์พูลยกสถิติมาข่มฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด กันอย่างสนุกสนาน เช่น หลุยส์ ดิอาซ ตอนนี้ยิงไปแล้ว 3 ประตูในพรีเมียร์ลีก เท่ากับเจดอน ซานโช่ ของแมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งๆ ที่ลงเล่นน้อยกว่าถึง 19 เกม
ถือว่าตอนนี้เป็นโอกาสให้ฝั่งหงส์แดงข่ม ซึ่งแฟนบอลที่อังกฤษก็ไม่มีปราณี ยกสถิติ ยกสิ่งต่างๆ เอามาล้อเลียนอย่างสนุกสนาน
แม้กองหน้าจะเล่นดี และกองหลังจะไม่เสียประตู แต่สโมสรลิเวอร์พูลยกให้ติอาโก้ อัลคันทาร่า เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ซึ่งก็สมควรแล้วจริงๆ สถิติของติอาโก้ คือผู้เล่นที่จับบอลมากที่สุดในสนาม (132 ครั้ง), จ่ายบอลเข้าเป้าสูงสุด 95.6%, เลี้ยงหลบผ่านคู่แข่งมากที่สุด 6 ครั้ง และ แย่งบอลจากคู่แข่งได้สูงสุด 5 ครั้ง คือเขาปล่อยของทั้งหมดที่มี ทั้งรับ ทั้งรุก ทั้งคุมจังหวะ แสดงให้เห็นเลยว่า คลาสบอลระดับโลกเป็นแบบไหน
6
ชัยชนะ 4-0 นัดนี้ เมื่อรวมกับเกมแรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 5-0 ทำให้ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 9-0 ถ้าเอาสกอร์สองเกมมารวมกัน โดยในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยแพ้ทีมไหน ด้วยสกอร์ต่าง 9 ลูก ในซีซั่นเดียว นี่คือครั้งแรก และมันเกิดในยุคของราล์ฟ รังนิก
เกมนี้ไม่เดือดอย่างที่หลายคนคาดหวัง เพราะเป็นการโจมตีแบบวันเวย์ข้างเดียว ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ดูเหมือนหมดใจ เล่นไปให้จบเกม จะมีคนที่ดูจริงจังหน่อย คือดาวรุ่งฮันนิบาล เมจบรี้ ที่ลงมาเป็นสำรอง แม้จะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็วิ่งเต็มที่ ไล่หวด ไล่เตะคู่แข่ง
เมจบรี้ โดนเหลืองนาที 88 เมื่อไล่เตะเฮนเดอร์สัน และเกือบโดนไล่ออกนาที 90 เมื่อไปสอยนาบี เกอิต้า จนกรรมการมาร์ติน แอตกินสันต้องขอคุยด้วย แล้วชี้ที่นาฬิกาพร้อมบอกว่า นี่มันนาทีสุดท้ายแล้ว และผมไม่อยากไล่คุณออกจากสนามตอนนี้
1
แม้จะทำอะไรไม่ได้มากนอกจากฟาวล์ แต่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษยังกล่าวชมว่า "อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังทุ่มเท และทำอะไรสักอย่างที่แคร์ใจแฟนบอลของตัวเอง"
3
จบเกมนี้ที่แอนฟิลด์ สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นคือ "เลเวล" ของลิเวอร์พูล กับแมนฯ ยูไนเต็ดตอนนี้ห่างกันไกลมากๆ แล้ว ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี ในการไล่ให้ทัน
1
คุณภาพของทีมที่ลุ้น 4 แชมป์ กับ ทีมที่ลุ้นท็อปโฟร์ ก็มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว การที่ลิเวอร์พูลยังไม่ตกรอบในรายการใดๆ เลย จนถึงป่านนี้ ย่อมมีเหตุผลแน่นอน ส่วนฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ทุกคนรู้ว่า เอริก เทน ฮาก โค้ชใหม่ จะมีงานต้องทำอีกเยอะมาก และมีนักเตะหลายคนในทีมชุดนี้ ที่คงไม่สามารถไปต่อได้ในฤดูกาลใหม่ บางคนเล่นแบบไม่มีใจ ไม่มี Passion คือถ้าแพ้แบบสู้เต็มที่ แม้จะเซ็งแต่ก็ยอมรับได้ แต่แพ้แบบไม่สู้ มันน่าเสียใจกว่ากันมาก
3
ศึกแดงเดือด ในความรู้สึกของผู้คน คือเกมที่แลกกันอย่างเมามันส์ ด้วยศักดิ์ศรีทั้งหมดของ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ แต่เมื่อเกมมันวันเวย์แบบนี้ จะบอกว่าสนุกก็คงไม่ได้
2
แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องกลับไปค้นหาตัวตนของตัวเองให้เจอ ว่าพวกเขาเป็นใคร ทำอย่างไรก็ได้ที่จะเอา Passion ในสนามกลับคืนมาอีกครั้ง ส่วนในวันนี้ก็ต้องยอมรับความจริงกันไป ว่าพวกเขาสู้ลิเวอร์พูลไม่ได้เลยด้วยประการทั้งปวง
1
สื่ออังกฤษ ใช้คำว่า Outclass หรือแปลเป็นไทยว่า "คนละชั้น" ซึ่งอาจดูรุนแรง แต่ 90 นาทีที่แอนฟิลด์ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า มันไม่ใช่คำที่เกินจริงแต่อย่างใด
1
#NOTTHESAMEPLANET
โฆษณา