21 เม.ย. 2022 เวลา 12:17 • สุขภาพ
อย่าชะล่าใจ พาลูกหลานมาฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบโดส+เข็มกระตุ้น รับเปิดเทอม
ในช่วงที่โควิด 19 ยังระบาดในตอนนี้ ขณะที่การเปิดภาคเรียนก็งวดเข้ามาแล้ว การฉีดวัคซีนให้เด็กให้ได้มากที่สุดเท่านั้น พร้อมกับย้ำเตือนเรื่องการป้องกันตัวเองเป็นทางออกเดียว กระทรวงสาธารณสุขและแพทย์โรงพยาบาลต่างออกมากระตุ้นให้ผู้ปกครองนำลูกหลานมาฉีดวัคซีน
แม้ว่าเด็กที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย แต่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม เพื่อป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิต นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำเตือน พร้อมกับบอกถึงมติการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 2/2565 แนะนำให้เด็กอายุ 12-17 ปี ที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็มแล้ว ให้เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 โดยให้มีระยะห่างจากเข็มที่สอง 4-6 เดือนขึ้นไป เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ไฟเซอร์ ในกลุ่มเป้าหมายอายุ 12-17 ปี (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6) ที่มีสุขภาพแข็งแรง เป็นการฉีดเข็มกระตุ้นผ่านระบบการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเทอมภาคการศึกษาที่ 1/2565 เป็นการบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นภูมิคุ้มกันดี มีผลข้างเคียงน้อยลง และเป็นวัคซีนที่พร้อมใช้งานได้ทันทีไม่ต้องผสมน้ำเกลือก่อนฉีด สามารถเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานขึ้นเป็น 10 สัปดาห์ หลังเปิดใช้แล้วต้องฉีดให้หมดภายใน 2-6 ชั่วโมง ซึ่งสูตรการฉีดในกลุ่มเด็กอายุ 12-17 ปี จะฉีดคนละ 15 ไมโครกรัมต่อโดส โดยจะเริ่มฉีดพร้อมกันทั่วประเทศช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2565
นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มนักเรียนนอกระบบการศึกษา เช่น Home School การจัดการเรียนการสอนที่บ้าน กลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค 1.โรคอ้วน 2.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง 3.หัวใจและหลอดเลือด 4.ไตวายเรื้อรัง 5.มะเร็งและภูมิคุ้มกันต่ำ 6.เบาหวาน 7.โรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า ให้เข้ารับการบริการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล
อย่างไรก็ตามหากผู้เข้ารับวัคซีนกลุ่มเป้าหมายอายุ 12-17 ปีมีเงื่อนไขเฉพาะ หรือมีข้อจำกัดในการรับวัคซีนตามแนวทางการฉีดวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำผ่านระบบการศึกษา ให้เข้ารับวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล โดยให้หน่วยบริการฉีดสามารถพิจารณาฉีดวัคซีนตามดุลพินิจของแพทย์ ภายใต้หลักวิชาการ คำแนะนำจากบริษัทผู้ผลิต ความสมัครใจของผู้ปกครองและผู้รับวัคซีน
ทั้งนี้สถิติจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2565 มีเด็กติดเชื้อโควิด 19 สะสมรวม 13,600 คน แบ่งเป็นกลุ่มอายุ 0-2 ปี ติดเชื้อสะสม 4,448 คน กลุ่มอายุอายุ 3-4 ปี ติดเชื้อสะสม 3,212 คน และกลุ่มอายุ 12-17 ปี ติดเชื้อสะสม 12,126 คน โดยกลุ่มอายุ 0-4 ปี และ 5-9 ปี ส่วนใหญ่ติดเชื้อจากในครอบครัว ขณะที่กลุ่มอายุ 10-14 ปี และ 15-19 ปี ติดเชื้อจากนอกบ้าน
นายแพทย์เจริญ เดโชธนวัฒน์ กุมารแพทย์ ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ย้ำว่าเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี เป็นช่วงวัยที่มีแนวโน้มการติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากโควิด 19 สายพันธุ์โอไมครอนที่ติดต่อได้ง่าย จึงทำให้เกิดการระบาดภายในครอบครัว ประกอบกับสถานศึกษาหลายแห่งที่เปิดเรียนแบบ on-site ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในสถานศึกษา รวมทั้งยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ครบ 2 เข็ม ส่งผลให้เกิดการระบาดของโควิด 19 ในเด็กเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุ 5 -11 ปี
อย่างไรก็ตาม เด็กที่ติดเชื้อโควิด 19 กว่า 90 % อาการไม่รุนแรง โดยกลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ กลุ่มอายุน้อยกว่า 1 ปี และเด็กที่มีโรคประจำตัว ขณะนี้ มีเด็กที่ติดเชื้อโควิด 19 เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีแดงและสีเหลือง พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ และโรงพยาบาลในเครือประมาณ 200 ราย และมีบางส่วนที่รักษาตัวใน Hospitel หรือ Home Isolation โดยผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการการรักษาของกลุ่มโรงพยาบาลได้ทุกสิทธิ
ทั้งนี้นายแพทย์เจริญ ให้ข้อมูลว่า เด็กที่หายจากการติดเชื้อโควิด 19 ประมาณ 2 เดือน บางรายอาจมีอาการอักเสบในอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ด้วยภาวะอาการ Multisystem inflammatory syndrome in children (MIS-C) มีไข้สูง ผื่น ตาแดง ปากแดง ผื่นขึ้นตามตัว มีอาการช็อค ลักษณะอาการคล้ายโรคคาวะซากิ ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้
สำหรับการดูแลและป้องกันเด็กจากการติดเชื้อโควิด 19 ผู้ปกครองควรให้เด็กเล็กหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านโดยไม่จําเป็น เลี่ยงการสัมผัสวัสดุต่างๆ ในที่สาธารณะ เลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก ล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ยกเว้นเด็กแรกเกิดถึง 2 ปี เพราะระบบการหายใจยังไม่แข็งแรงพอ เสี่ยงต่อภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่งได้ ที่สำคัญพาบุตรหลานที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ไปรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ป้องกันป้องกันการป่วยหนักจากโควิด 19 รวมทั้งลดภาวะการเกิด MIS-C โดยวัคซีนเข็มแรกกับเข็มที่สองควรห่างกันอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์
แพทย์หญิงธัญลักษณ์ ศรีบูระเดช ผู้อำนวยการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ บอกว่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ยิ่งกลายพันธุ์ ยิ่งแพร่เชื้อได้ง่าย ประกอบกับอาการสังเกตได้ยาก รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการกิจกรรมทางสังคม ทำให้ประชาชนขาดการระวังตัว และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น ประชาชนควรใส่ใจในการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้บ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
.
“อนาคตโควิด 19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหากรู้จักการดูแลป้องกันตัวเองได้ดี ก็สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ แต่ถ้าติดเชื้อก็ต้องรีบรักษา เมื่อไม่สามารถเลี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด 19 ได้ ก็ต้องยอมรับและอยู่อย่างมีสติ ไม่ต้องกลัว”
#โควิด #วัคซีนเด็ก #วัคซีนเข็มกระตุ้น #ไฟเซอร์
โฆษณา