21 เม.ย. 2022 เวลา 12:19 • สุขภาพ
3 สารเคมีอันตรายกระทบสุขภาพ
สถาบันมะเร็งฯประกาศจุดยืนเดิม “ต่อต้านการใช้”
มหากาพย์ แบน/ไม่แบน 3 สารเคมีกำจัดศัตรูพืช พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส กรุ่นขึ้นมาอีกเมื่อนายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ออกมาแถลงการณ์จุดยืนเดิมร่วมต่อต้านการใช้สารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด
โดยสถาบันฯ ย้ำว่า มีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ในประชากร 57,311 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรพบว่า ผู้ที่เคยใช้สารพาราควอตอาจมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยใช้สารพาราควอต อย่างไรก็ตามปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งนั้นมีหลายประการ จึงยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าสารพาราควอตเป็นสารก่อมะเร็ง ส่วนสารไกลโฟเซตมีการศึกษาด้านพิษวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าสามารถทำลายดีเอ็นเอซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
นอกจากนี้ข้อมูลวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าหากได้รับหรือสัมผัสสารไกลโฟเซตเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไต มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนจากการติดตามในมนุษย์
ส่วนคลอร์ไพริฟอสมีการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่มีการสัมผัสสารคลอร์ไพริฟอสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าคลอร์ไพริฟอสเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากให้สูงขึ้นในกลุ่มประชากรที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เหตุนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) จึงได้ประกาศให้หยุดใช้สารคลอร์ไพริฟอสในอาหารทุกชนิดเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะในเด็กและผู้ปฏิบัติงานด้านเกษตรกรรม เป็นต้น
นายแพทย์สกานต์ ระบุว่า จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้จำนวนมาก แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของการเกิดมะเร็งกับสารกำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิดนี้ แม้จะยังไม่ชัดเจนพอที่องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติจะจัดให้สารทั้ง 3 ชนิดอยู่ในกลุ่มของสารก่อมะเร็ง เพราะงานวิจัยด้านนี้สามารถทำในสัตว์ทดลอง แต่ไม่สามารถทดลองในคนโดยให้คนรับสารกลุ่มนี้เข้าสู่ร่างกายแล้วติดตามผลระยะยาวได้ เนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าอันตรายต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ จึงต้องใช้การติดตามสังเกตจากผู้ใช้จริง และต้องใช้ระยะเวลาติดตามนานหลายปี ซึ่งระหว่างติดตามมักจะมีปัจจัยอื่นๆ อีกมาก ที่ส่งผลต่อสุขภาพ และการเกิดโรคมะเร็ง ทำให้ข้อมูลที่ได้ไม่ชัดเจน
“ยังไม่มีองค์กรใดออกมารับรองความปลอดภัยว่าสารทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่นเดียวกับในกรณีขององค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติที่สรุปว่าสารไกลโฟเซตไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งในมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหาร แต่ก็ไม่ได้สรุปว่าจะไม่เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งผ่านการสัมผัสทางอื่นๆ นอกจากนี้สารทั้ง 3 ชนิดยังก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงได้นอกเหนือจากความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง”
ที่สถาบันมะเร็งฯ ต้องออกมาย้ำกันแบบนี้ ต้นตอมาจากการที่เครือข่ายอาสาคนรักแม่กรอง ซึ่งก่อนหน้ามีบทบาทสนับสนุนให้มีการใช้ 3 สารเคมีอันตรายดังกล่าวต่อไป ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อขอข้อมูลวิชาการทางการแพทย์มาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นหนังสือด่วนที่สุด 052/2565 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2565 และทางสถาบันฯ ได้ทำหนังสือตอบอย่างเป็นทางการ ที่ สธ 0315/782 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2565 แต่ต่อมาได้มีการตัดต่อนำบางส่วนของข้อความในหนังสือไปตีพิมพ์ผ่านสื่อจนสร้างความเข้าใจผิด
เรื่องการแบน 3 สารเคมีดังกล่าว ปะทุขึ้นมาเป็นระลอก เพราะระยะเวลาผ่อนผันให้ครอบครองสารเคมีเกษตรอันตราย 2 ชนิด คือ พาราควอต กับคลอร์ไพริฟอส สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 ให้สารดังกล่าวเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 แต่ผ่อนผันจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ส่วนไกลโฟเซต ให้จำกัดการใช้ตามมติเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561
แม้การยกเลิกการใช้ พาราควอต กับคลอร์ไพริฟอส เดินหน้ามาถึงขั้นที่ว่า ต้องไม่มีการใช้ในประเทศไทย แต่ยังไม่จบตามนั้น การเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่อต้านการแบนยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีการทบทวนโดยอ้างเหตุยังไม่มีสารทดแทน และผลกระทบกับเกษตรกรและเศรษฐกิจประเทศ ขณะที่กลุ่มสนับสนุนการแบนก็สู้ไม่ถอยเช่นกัน เหตุผลเดียวคือผลกระทบต่อสุขภาพผู้คน
มหากาพย์เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ กระบวนการคัดง้างข้อมูลของทั้งสองฝ่ายขึ้นไปอยู่ในชั้นศาลปกครอง ภายหลังบริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด ผู้ผลิตและนำเข้าสารเคมีการเกษตรรายใหญ่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ได้ยื่นฟ้องกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2563 และคำสั่งกรมวิชาการเกษตรที่ 750/2563 เรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ที่กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อให้สามารถนำเข้าและจำหน่ายพาราควอต และคลอร์ไพริฟอสได้ต่อไป
อีกคดีคู่ขนานอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่มีคำสั่งรับอุทธรณ์คดีที่กลุ่มเกษตรกรผู้ป่วยเป็นโรคเนื้อเน่าจากการใช้สารเคมีเกษตรกลุ่มพาราควอต ยื่นฟ้องคดี บริษัท เจียไต๋ จำกัด บริษัทผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีเกษตรรายใหญ่ ในเครือเจริญโภคภัณฑ์
รวมถึงคดีที่นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทให้ยกเลิกการแบน 3 สารเคมีอันตราย ฟ้องร้องผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (Bio Thai) ซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้ 3 สารเคมีดังกล่าว ในฐานความผิดหมิ่นประมาท และนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่คดีนี้ศาลพิจารณายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเมื่อ 15 ธันวาคม 2564
เรื่องนี้จะจบลงอย่างไรอยู่ที่เทคนิคในชั้นศาลก็ส่วนหนึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดอยู่ที่การชั่งน้ำหนัก ระหว่างเศรษฐกิจกับสุขภาพของผู้คนทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค เงินคือชีวิต หรือ สุขภาพคือชีวิตกันแน่? และระหว่างผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม กับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร และผู้บริโภค เราควรเลือกสิ่งใด?
#สารเคมีเกษตร #มะเร็ง #เกษตรกร #พาราควอต
โฆษณา