[SkillLane] 🐻ทำไมตลาดตราสารหนี้ถึงเผชิญกับตลาดหมีอย่างหนัก? หลายทศวรรษที่ผ่านมา ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในตำราการจัดพอร์ตการลงทุนอันเนื่องมาจากผลตอบแทนที่มักช่วยลดความผันผวนจากหุ้นต่อพอร์ตการลงทุ

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

22 เม.ย. 2022 เวลา 11:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🐻ทำไมตลาดตราสารหนี้ถึงเผชิญกับตลาดหมีอย่างหนัก?

หลายทศวรรษที่ผ่านมา ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในตำราการจัดพอร์ตการลงทุนอันเนื่องมาจากผลตอบแทนที่มักช่วยลดความผันผวนจากหุ้นต่อพอร์ตการลงทุน ความนิยมมีมากจนกระทั่งทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond yield) ในบางประเทศติดลบ เช่น ญี่ปุ่น และเยอรมนี

แต่แล้วตลาดกระทิงรอบใหญ่ของตราสารหนี้ก็ทำท่าจะจบลงแล้ว เมื่อเงินเฟ้อพุ่งทะยานจนธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อหยุดยั้ง แล้วเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ ทำไมเงินเฟ้อและดอกเบี้ยถึงส่งผลต่อตราสารหนี้ และจะมีผลต่อภาคธุรกิจและประชาชนหรือไม่?

#ย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

📌 Bond yield แตะระดับสูงสุดที่ 15.6% ช่วงปลายปี 1981 จากนั้นตลาดตราสารหนี้ก็เข้าสู่รอบตลาดกระทิงครั้งใหญ่ เมื่อ Bond yield กลับตัวเป็นขาลงซึ่งจะส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้น นั่นเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกลับตัวเป็นขาลงนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 80 นอกจากนี้ตราสารหนี้ยังได้แรงหนุนเป็นระยะในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ระหว่างปี 2001-2004 และวิกฤติปี 2008 เป็นต้น

📌 ตลาดตราสารหนี้ถูกหนุนอย่างแรงด้วยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากช่วงปี 2020 เพื่อรับมือผลกระทบจาก COVID ต่อเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยจนแตะระดับ 0% และการใช้มาตรการ QE ซื้อสินทรัพย์การเงินแบบไม่จำกัดปริมาณ ส่งให้ Bond yield ของพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงจาก 1.4% แตะระดับต่ำสุดที่ 0.52%

📌 แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อทั่วโลกเริ่มกลับมาเปิดเมืองส่งให้ตลาดตราสารหนี้เผชิญความกดดันจากแรงขาย ดัชนี Bloomberg Global Aggregate ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดผลตอบแทนของหุ้นกู้และพันธบัตร ร่วงจากระดับสูงสุดเมื่อต้นปี 2021 ราว 12% ตัวเลขเช่นนี้สำหรับสินทรัพย์เสี่ยงอาจเป็นเรื่องปกติ แต่กับสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้นับเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 1990

#การปรับตัวลงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร

📉 ดัชนีดังกล่าววัดผลตอบแทนจากทั้งดอกเบี้ยที่ตราสารหนี้จ่ายและการเปลี่ยนแปลงของราคาตราสารหนี้ ผลตอบแทนของดัชนีที่ติดลบตลอดช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากราคาตราสารหนี้ปรับตัวลง เพราะนักลงทุนต้องการ Yield ที่มากขึ้น จึงเทขายตราสารหนี้ที่มีอยู่และรอลงทุนเมื่อได้ Yield ที่มากขึ้นในอนาคต

💡 หากเป็นนักลงทุนที่ถือครองตราสารหนี้จนครบกำหนด (buy-and-hold) การเปลี่ยนแปลงราคาจะไม่มีผลต่อนักลงทุนประเภทนี้เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อครบกำหนดชำระหนี้ นักลงทุนก็จะได้รับการชำระหนี้คืนทั้งหมด แต่ถ้าเป็นกลุ่มเทรดเดอร์ที่การทำกำไรขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาก็คงรับผลกระทบแน่นอน ยกเว้นแต่จะใช้กลยุทธ์ทำกำไรขาลง

#ช่วงที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ร่วงเพราะอะไร

📌 การบริโภคฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วหลังประเทศทั่วโลกกลับมาเปิดเมืองส่งให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรกผู้กำหนดนโยบายในธนาคารกลางต่างคาดว่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องชั่วคราว แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินตึงตัวโดยเตรียมขึ้นดอกเบี้ยเร็วและสูงกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ นับเป็นจุดเริ่มต้นขาลงของตลาดตราสารหนี้

📌 สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ทั้งจากการส่งออกพลังงานที่น้อยลงและมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แน่นอนว่าธนาคารกลางต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวยิ่งขึ้นเพื่อชะลอเงินเฟ้อที่ร้อนแรงมากเกินไป นักลงทุนจึงลดความสนใจและเทขายตราสารหนี้

#ทำไมเมื่อดอกเบี้ยขึ้น นักลงทุนถึงไม่สนใจตราสารหนี้

📌 การลงทุนตราสารหนี้จะพิจารณากระแสเงินสดที่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เมื่อนักลงทุนเห็นชัดว่าในอนาคตอันสั้นดอกเบี้ยจะปรับขึ้นก็จะขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ออกไป เพื่อรอเข้าลงทุนตราสารหนี้ที่จะออกใหม่ในอนาคตซึ่งจะให้ผลตอบแทนจากการจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ธนาคารกลางปรับขึ้น อีกทั้งนักลงทุนยังต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นเพื่อหักล้างกับกำลังซื้อของเงินสดที่น้อยลงอันเกิดจากเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเกินคาดยังเร่งให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกด้วย

📌 แรงขายจากนักลงทุนส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลง ส่วน Bond yield ปรับตัวขึ้นไป (ราคาตราสารหนี้ลง Bond yield ขึ้น) จนกว่าจะถึงจุดที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นมาถึง ตราสารหนี้ก็จะมีความน่าสนใจมากพอดึงดูดเงินลงทุนกลับเข้ามาได้ ซึ่งจุดดังกล่าวจะเกิดขึ้นช่วงที่ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยไปได้ระยะหนึ่งแล้ว

#ส่งผลกระทบอย่างไรต่อพอร์ตลงทุน

📌 ราคาตราสารหนี้ที่อยู่ในแนวโน้มขาลงส่งให้นักลงทุนมีสัดส่วนลงทุนตราสารหนี้น้อยกว่าสภาวะปกติ เพราะผลตอบแทนที่คาดหวังก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน ด้วยภาวะเงินเฟ้อสูงจะส่งผลดีต่อพันธบัตรรัฐบาลที่มีการปรับมูลค่าโดยอ้างอิงจากอัตราเงินเฟ้อ (TIPs)

📌 นักลงทุนจะรอจนกระทั่งเงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัว และคาดว่า Bond yield อยู่ในจุดใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นมาถึง จึงจะเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ในพอร์ตลงทุนอีกครั้ง

#ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค

📌 ภาคธุรกิจจะต้องแบกภาระต้นทุนหนี้สินจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทั้งหนี้สินซึ่งมีอยู่แล้วที่เป็นดอกเบี้ยลอยและหนี้ที่จะกู้ยืมในอนาคต ส่วนผู้บริโภคก็จะรับภาระจากภาคส่วนที่เคลื่อนไหวตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย เช่น สินเชื่อที่พักอาศัย ทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยอาจชะลอการตัดสินใจไปก่อน ขณะที่ตลาดหุ้นก็รับผลกระทบเช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเติบโตเร็ว หุ้นเทคโนโลยี ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่าภาพรวมตลาดหุ้น

📌 น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าตลาดตราสารหนี้จะยังอยู่ในแนวโน้มตลาดหมีต่อไปอีกสักระยะ นักลงทุนควรมีสัดส่วนตราสารหนี้ที่ลดลงจากภาวะปกติ ขณะที่สาเหตุหลักอย่างเงินเฟ้อที่พุ่งสูงก็ยังส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชนรวมไปถึงเพิ่มภาระการเงินของภาคธุรกิจ ดังนั้นการลงทุนควรมีความระมัดระวังและกระจายความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน

#พบกับบทความด้านธุรกิจ #เศรษฐกิจและการลงทุนเชิงลึก

จาก SkillLane ได้ที่ Blockdit แล้ววันนี้

ไปดูกันเลย > https://www.blockdit.com/skilllane

#ลงทุนในหุ้น #SkillLane

#เรียนออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน