30 เม.ย. 2022 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
เรื่อง : การขโมยโมนาลิซาที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก!
2
ระยะเวลาที่ใช้ในการอ่านโดยประมาณ : 10นาที
Part 1 : เริ่มเรื่อง
หากคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เมือง Paris ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าอยู่ 3 ชิ้น ได้แก่รูปปั้นของ Alexandros, วีนัสแขนหัก และ ภาพวาดของ da Vinci จิตกรผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคเรเนสซองส์ ซึ่งนั่นก็คือโมนาลิซานั้นเอง
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
โมนาลิซาถูกแขวนโชว์อยู่บนผนังเพียงลำพัง ด้านนอกมีกระจกครอบ ตรงกลางกั้นเขตเพื่อความปลอดภัย และมีระบบป้องกันระดับสูง นักท่องเที่ยวทำได้เพียงชื่นชมเธอจากระยะไกลเท่านั้น โดยภาพวาดนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก สูง 77 เซ็นติเมตร กว้าง 53 เซ็นติเมตร โดยเป็นการวางลงไปบนแผ่นไม้ป็อปลาร์สีขาว เป็นภาพวาดของสตรีผู้หนึ่ง ที่เก็บอารมณ์บนสีหน้า เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ารอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่ลึกลับที่สุดในโลก
ภาพวาดนี้เกิดขึ้นในยุคเรเยสซองค์ ใช้เวลาวาดกว่า 4 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ จิตกรผู้สร้างสรรค์ผลงานคือ Leonardo di ser Piero da Vinci เขาถูกยกย่องร่วมกับ Raffaello และ Michelangelo ว่าเป็น 3 ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี
ประมาณปี 1502 da Vinci เริ่มวาดภาพโมนาลิซา จนกระทั้งวาดเสร็จในปี 1506 เขาใช้เทคนิคการวาดภาพแบบ Sfumato หางตาและมุมปากซึ่งเป็นส่วนที่แสดงอารมณ์ของคนได้ดีที่สุด ถูกแสดงออกมาด้วยแสงและเงา แทนที่จะแสดงออกมาด้วยลายเส้น ดังนั้นส่วนของหางตาและมุมปากจึงดูเบลอๆ โดยที่เป็นเทคนิคการวาดภาพบุคคลที่ได้รับความนิยมมากในยุคเรเนสซองส์
Leonardo di ser Piero da Vinci
ต่อมาได้มีคนวิเคราะห์โมนาลิซาด้วยการเอกซเรย์ พบว่าที่หางตาและมุมปากของเธอนั้นมีสีน้ำมันบางเฉียบมากถึง 30 กว่าชั้นและแต่ละชั้นมีความหนาไม่ถึง 2 ไมครอน นั้นแสดงในเห็นว่า da Vinci มีทักษะการวาดภาพที่ล้ำลึกมาก อีกทั้งยังมีคนพบอีกเวยว่าภาพวาดโมนาลิซานี้แท้จริงแล้วอาจเป็นภาพของตัว da Vinci เอง หรือบางคนก็ถึงขั้นบอกว่ามีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตต่างดาวอยู่บนภาพวาดนี้ด้วย
1
ความจริงแล้วในช่วงแรกๆ ภาพวาดโมนาลิซาไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างในปัจจุบัน โดยในปี 1911 ภาพวาดนี้เคยถูกขโมยไปแล้วครั้งนึง และเพราะการขโมยในครั้งนั้นจึงทำให้ภาพนี้โด่งดังขึ้นมา
Part 2 : วันเกิดเหตุ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี 1911 วันนี้เป็นวันจันทร์ ซึ่งจะเป็นวันที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ปิดทำการ โดยจะมีแต่เจ้าหน้าที่ ของพิพิธภัณฑ์ และช่างซ่อมบำรุงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ และวันนี้ยังถือเป็นวันโปรดของพนังงานรักษาความปลอดภัย เพราะพวกเขาจะไม่ค่อยมีงานมากนัก อีกทั้งวันจันทร์ยังเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะแอบอู้งานได้
พนังงานซ่อมบำรุงคนหนึ่งชื่อว่า Vincenzo Perugia โดยเขาเป็นพนักงานชั่วคราวของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และเช้าในวันดังกล่าวเขาก็พร้อมแล้ว สำหรับปฏิบัติการขโมยภาพวาดโมนาลิซา โดยในวันนี้เขาสวมเครื่องแบบทำงานตามปรกติ เขาเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเขาก็คุ้นเคยกับทางเดินในพิพิธภัณฑ์เป็นอย่างดี อีกทั้งยังรู้ตำแหน่งของภาพวาดต่างๆอย่างแม่นยำ
Vincenzo Perugia
โมนาลิซาในสมัยนั้นมีชื่อเสียงน้อยกว่าในปัจจุบันมาก จึงไม่ได้ถูกจัดแสดงไว้เดี่ยวๆอย่างในปัจจุบัน แต่ถูกแขวนไว้รวมกับรูปอื่นๆ โดยอยู่ระหว่างภาพ 2 ภาพ ภาพด้านซ้ายเป็นภาพ “The Allegory of Marriage”ของ Tiziano และ ภาพด้านขวาเป็นภาพ “การแต่งงานของนักบุญแคทเธอรินแห่งอเล็กซานเดรีย”ของ Correggio แต่ Perugia นั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจน สิ่งที่เขาต้องการจะขโมยคือ “โมนาลิซา” เท่านั้น
ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในตอนนั้นการปลดภาพวาดลงจากผนังเพื่อมาดูแลรักษาถือเป็นเรื่องธรรมดามาก แถมบางครั้งภาพวาดเหล่านั้นยังถูกถอดออกไปยังสตูดิโออื่นๆเพื่อถ่ายรูป Perugia จึงได้ปลดภาพวาดโมนาลิซาลงและถือมันไปเตรียมที่จะหลบหนีอย่างง่ายดาย โดยเขาได้ปลดตัวภาพออกจากกรอบเพื่อความสะดวกในการพกพาในขณะหลบหนีด้วย และในวันนั้นทั้งวันก็ไม่มีใครที่สังเกตุเห็นว่าภาพวาดโมนาลิซาได้หายไปเลย
วันรุ่งขึ้นมีจิตกรชาวฝรั่งเศสชื่อว่า Luis Belud ซึ่งเขาได้นัดหมายล่วงหน้าไว้กับทางพิพิธภัณฑ์เพื่อที่จะเข้ามาคัดลอกภาพโมนาลิซา แต่เมื่อเขามาถึงจุดที่โมนาลิซาควรอยู่กลับพบว่าถาพวาดมันได้หายไปเสียแล้ว เขาจึงได้ไปรีบแจ้งเรื่องกับพนักงงานรักษาความปลอดภัย แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ อาจจะมีคนยืมไปก็ได้
ต่อมาเมื่อมีคนพบกรอบรูปของโมนาลิซาที่ถูกวางทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้ตระหนักว่า โมนาลิซานั้นถูกขโมยไปแล้วจริงๆ เขาจึงได้รีบโทรแจ้งตำรวจ และเมื่อเกิดเป็นคดีความขึ้นมา หนังสือพิมพ์จึงได้ลงข่าวว่าภาพวาฟชื่อดังของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ โมนาลิซา ได้ถูกขโมยไปแล้ว นั้นทำให้ในเวลาช่วงข้ามคืน ภาพวาดที่ในตอนแรกไม่มีชื่อเสียงและไม่มีคนสนใจมากนั้น ได้รับความนิยมพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
1
ตำรวจเริ่มการสืบสวนโดยทันที พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ถูกปิดเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ บนกรอบของภาพวาดที่เหลืออยู่ ตำรวจเก็บลายนิ้วมือหนึ่งได้ ซึ่งมันก็คือลายนิ้วมือของ Perugia นั่งเอง แต่ในตอนนั้นตำรวจยังไม่รู้ว่าลายนิ้วมือนี้เป็นของใคร จึงได้เก็บตัวอย่างลายนิ้วมือจากเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ไปตรวจสอบ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสะเพร่าหรือออะไร การเก็บลายนิ้วมือนั้นดันตกหล่น ไม่ได้เก็บลายนิ้วมือของ Perugia ทำให้การสืบสวนยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
Perugia ได้นำรูปภาพที่เขาขโมยมาได้มาไว้ที่บ้าน ซึ่งต่อมาตำรวจก็ได้มาหาเขาถึงที่บ้านเพื่อที่จะสอบปากคำ Perugia จึงได้นำรูปภาพไปซ่อนไว้ได้ทัน ทำให้เขารอดจากการถูกจับกุมไปได้อีก 1 ครั้ง
เวลาล่วงเลยมาถึงฤดูร้อน ปี 1913 มีนักสระสมของเก่าในประเทศอิตาลีชื่อว่า Alfred Jerry เขาก็ได้รับจดหมายที่ลงนามว่า Leonardo.V ภายใจจดหมายระบุว่า เขามีภาพโมนาลิซาของแท้ที่หายไปจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ของฝรั่งเศสที่ถูกขโมยไปเมื่อ 2 ปีก่อน และตัวเขาต้องการบริจาคภาพวาดนี้ให้กับประเทศอิตาลีซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา โดยเขาต้องการให้ Alfred Jerry จ่ายเงินให้กับเขาเป็นจำนวน 50,000 ลีรา เพื่อแลกกับภาพวาดโมนาลิซา
เมื่อ Alfred Jerry อ่านจดหมายจบก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เขาจึงได้เขียนจดหมายตอบกลับ โดยได้นัดวันเวลา และสถาที่เพื่อนัดพบกับ Leonardo.V ด้วย
ทั้ง 2 ได้พบกันในโรงแรมแห่งหนึ่ง Leonardo.V ได้มอบภาพวาดโมนาลิซาให้กับ Alfred ได้ดู ซึ่งตัว Alfred นั้นมีความรู้ทางด้านงานศิลปะพวกนี้อยู่แล้ว เขาตรวจสอบภาพขวาดอย่างละเอียดโดยอาศัยการดูจากรอยแตกของสีที่ยากจะเลียนแบบ แล้วก็พบว่ามันเป็นแท้แน่นอน เขาจึงกล่าวกับ Leonardo.V ว่าเดี๋ยวเขาจะกลับไปเตรียมเงินมาให้
1
รอยแตกของสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ยากต่อการลอกเลียนแบบ
Alfred ไม่ได้ทำการเตรียมเงินอย่างที่เขาพูด แต่เดินทางไปแจ้งความกับตำรวจแทน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายจึงเดินทางมาที่โรงแรม และเข้าจับกุม Leonardo.V ทันที
Leonardo.V หรือที่แท้เขาก็คือ Vincenzo Perugia ผู้ขโมยภาพวาดโมนาลิซาไปเมื่อ 2 ปีก่อน ถูกจับกุมและดำเนินคดีในทันที ในขณะที่เขาอยู่ในศาลเขาได้กล่าวกับศาลว่า ตอนที่เขาทำงานในพิพิธภัณฑ์ เขาได้ตกหลุมรักผู้หญิงในภาพวาด และยังบอกอีกว่าเขานั้นรักชาติมาก เขาต้องการนำภาพที่ Napoleon ปล้นมา กลับคืนสู่มาตุภูมิให้ได้
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ผู้คนในอิตาลีต่างก็เห็นด้วยกับ Perugia และยกให้เขาเป็นวีรีบุรุษ โดยในขณะที่ Perugia ถูกควบคุมตัว ก็มีคนหลายคนที่ส่งจดหมายรวมถึงส่งของขวัญไปให้กำลังใจเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วภาพวาดโมนาลิซาไม่ได้ถูก Napoleon ปล้นไป แต่ในช่วงบั้นปลายชีวิตของ da Vinci เขาได้รับคำเชิญจากพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศส โดยเขาก็ได้เดินทางจากบ้านเกิดไปยังดินแดนน้ำหอม พร้อมพกภาพวาดที่เป็นผลงานของเขาติดตัวไปด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโมนาลิซานั่นเอง
1
พระเจ้าฟร็องซัวที่ 1
หลังจากที่ da Vinci เสียชีวิตลงในฝรั่งเศส พระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 ก็ได้ตัดสินใจซื้อภาพวาดของเขาเอาไว้ทั้งหมด โมนาลิซาจึงถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวัง Palace of Fontainebleau และต่อมาเมื่อพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ถูกปรับปรุงเสร็จสิ้น โมนาลิซาจึงได้ถูกย้ายมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แต่ชาวอิตตาลีในตอนนั้นที่ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก ต่างก็เชื่อ Perugia ว่าโมนาลิซาถูกฝรั่งเศสขโมยไปจริงๆ ทำให้ในที่สุดศาลก็ต้องยอมเพราะทนต่อแรงกดดันไม่ไหว ตัดสินโทษจำคุกแก่ Perugia เพียง 1 ปี 15 วัน และในความเป็นจริง Perugia นั้นถูกปล่อยตัวก่อนครบกำหนดโทษถึง 7 เดือน และสุดท้ายอิตาลีก็ตัดสินใจคืนภาพวาดให้กับฝรั่งเศสผู้ซื้อมันมา
Part 3 : บทสรุป
เรื่องราวทั้งหมดควรจบลงที่ตรงนี้ แต่ทว่าในอีก 20 ปีให้หลัง หรือในปี 1932 นักต้มตุ๋นงานศิลปะคนหนึ่งชื่อ Valfierno เขาได้ไปเที่ยวดื่มที่บาร์แห่งหนึ่ง หลังจากดื่มจนเมาได้ที่ เขาก็พลั้งปากบอกความลับกับนักข่าวชาวอเมิกันชื่อว่า Karl Deker โดยเขาพูดว่าเขานี่แหละที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังจากขโมยโมนาลิซาในตอนนั้น Perugia เป็นเพียงคนที่เขาจ้างมาเพื่อไปขโมยภาพโมนาลิซา และเขาก็ไม่สนใจว่าตอนนี้โมนาลิซาของจริงจะตกอยู่ในมือใคร แต่เขาได้อาศัยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้หลอกขายภาพโมนาลิซาปลอมให้กับเศรษฐีชาวอเมริกันได้ถึง 6 คน สร้างรายได้ให้เขาอย่างมหาศาล
ถึงแม้วันเวลาจะล่วงเลยมากว่า 100 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการสรุปที่แน่ชัดออกมาเลยว่า รูปโมนาลิซาที่ทางการฝรั่งเศสได้กลับคืนไปนั้นเป็นของแท้จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงของทำเลียนแบบเท่านั้น อีกทั้งจนกระทั้งในปัจจุบันก็ยังมีคนที่ยืนยันว่าภาพวาดโมนาลิซาที่ตัวเองครอบครองไว้ คือผลงานจริงของ da Vinci
1
เรียบเรียงโดย
นายจอมโม้
29 เมษายน 2022
โฆษณา