25 เม.ย. 2022 เวลา 11:34 • กีฬา
ย้อนอดีตสุดคลาสสิค เจอร์เก้น คล็อปป์ กระตุ้นทีมแบบไหน ถึงทำให้ทีมหงส์แดงพลิกนรกกลับมาโค่นบาร์เซโลน่าได้ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2018-19 เราจะย้อนเรื่องราวไปด้วยกัน
1
ตอนนี้ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กำลังจะเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว และสำหรับลิเวอร์พูล คู่แข่งที่ต้องเจอคือบียาร์เรอัล ตัวแทนจากสเปน
1
ถ้าดูเรื่องความเป็นต่อ สื่อทุกสำนักยกให้ลิเวอร์พูลเป็นต่อเยอะอยู่แล้ว จากฟอร์มการเล่น และตัวผู้เล่นที่ดีกว่า
แต่ทว่ามันไม่ใช่เกมที่ประมาทได้เลย เกร็ดที่น่าสนใจแปลกๆ คือ ใน 4 ปีของคล็อปป์ที่ได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีก ถ้าปีไหนตกรอบ ต้องตกด้วยน้ำมือของทีมจากสเปนเสมอ
2017-18 แพ้ เรอัล มาดริด (รอบชิงชนะเลิศ)
2018-19 แชมป์
2019-20 แพ้ แอตเลติโก้ มาดริด (รอบ 16 ทีมสุดท้าย)
2020-21 แพ้ เรอัล มาดริด (รอบ 8 ทีมสุดท้าย)
ถ้าคิดแบบทฤษฎีสมคบคิด ถ้าลิเวอร์พูลจะพัง ก็ต้องพังในการเจอบียาร์เรอัล จากสเปนนี่แหละ (หรือไม่ก็เรอัล มาดริดในรอบชิง) ดังนั้นว่ากันตรงๆ หนทางของหงส์แดงยังอีกยาวไกลนัก ถ้าคิดจะเป็นแชมป์ยุโรป
แต่เอาล่ะ ถ้าคิดทฤษฎีสมคบคิดในแง่บวกก็มีเหมือนกัน เช่นในปีที่เป็นแชมป์ 2018-19 ลิเวอร์พูลได้แชมป์ด้วยการโค่นทีมจากโปรตุเกสในรอบ 8 ทีมสุดท้าย (ปอร์โต้) ตามด้วยโค่นทีมจากสเปนในรอบรองชนะเลิศ (บาร์เซโลน่า) และทีมจากอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศ (สเปอร์ส)
ถ้าเป็นไปตามสคริปต์ ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ ชนะทีมจากโปรตุเกสในรอบก่อนรองชนะเลิศ (เบนฟิก้า) ตามด้วยเจอทีมจากสเปนในรอบรอง (บียาร์เรอัล) และ อาจจะเจอทีมจากอังกฤษในรอบชิง (แมนฯ ซิตี้)
1
ดังนั้นทฤษฎีทั้งหลาย ก็มีแง่ลบและแง่บวกทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะเชียร์ฝ่ายไหน เขาถึงบอกว่า อย่าไปจริงจังอะไรกับทฤษฎีพวกนี้มาก เพราะมันจับโยงได้หมดแหละ
เมื่อพูดถึง "รอบรอง" ของแชมเปี้ยนส์ลีก หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของรอบนี้ คือการที่ลิเวอร์พูลพลิกนรก ชนะบาร์เซโลน่าได้ 4-0 ในเลกสอง รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูลเข้ารอบอย่างเหลือเชื่อด้วยสกอร์ 4-3 อย่าลืมว่าเกมนี้ ไม่มีซาลาห์ ไม่มีฟีร์มีโน่ ทีมเต็มไปด้วยความไม่พร้อมอย่างยิ่ง
คำถามคือลิเวอร์พูลทำได้อย่างไร เรื่องนี้เจมส์ มิลเนอร์ เคยเล่าให้ฟังในหนังสือ ชื่อ Ask a Footballer ครับ ผมว่ามันเห็นภาพดี ขออนุญาตแปลแบบคำต่อคำ มาให้ลูกเพจอ่านนะครับ เราอาจจะพอได้เห็นภาพเบื้องหลังมากขึ้น โดยเฉพาะการกระตุ้นของเจอร์เก้น คล็อปป์ ก่อนเกมนัดสำคัญที่แอนฟิลด์ในปี 2019
---------------------------
[ เจมส์ มิลเนอร์ ขอเล่า ทีมทอล์กของเราก่อนเจอบาร์เซโลน่า ]
ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะเล่าถึงเกมเลกแรกที่คัมป์นูก่อน เราตามหลัง 1-0 เราเล่นได้ดี สร้างโอกาสได้เยอะ แต่เมสซี่ก็มายิง 2 ประตูช่วงท้ายเกม และหนึ่งในนั้นคือฟรีคิกมหัศจรรย์ ที่ทำให้เราตามหลัง 3-0 มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะรับได้ เพราะเราเล่นได้โอเคมาก
ในจุดนั้น การตามหลัง 3-0 กับทีมอย่างบาร์เซโลน่า คงมีไม่กี่คนหรอก ที่เชื่อว่าเราจะพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้
เราหอบความเจ็บช้ำ จากเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ไปลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก ที่เซนต์เจมส์พาร์ก บ้านของนิวคาสเซิล ณ เวลานั้น เหลือโปรแกรมอีก 2 เกมสุดท้าย คือไปเยือนนิวคาสเซิล และเล่นในบ้านกับวูล์ฟแฮมป์ตัน ส่วนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหลือ 2 เกมเช่นกัน คือเจอเลสเตอร์ และไปเยือนไบรท์ตัน
2
ตามโปรแกรมแล้ว พวกเราแข่งก่อนในคืนวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม ส่วนแมนฯ ซิตี้ แข่งวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม ดังนั้นถ้าเราที่ตามหลังแมนฯ ซิตี้อยู่ 1 แต้มเป็นฝ่ายชนะก่อน เราจะขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว และสร้างความกดดันให้พวกเขาทันที ว่าต้องชนะสถานเดียว
การเจอกับนิวคาสเซิล เป็นเกมที่หนักอย่างสาหัสมาก เราขึ้นนำสองรอบ โดนตีเสมอสองครั้ง แถมยังเสียโม ซาลาห์ไปจากอาการบาดเจ็บอีก แต่แล้วเรามาได้ประตูชัยในช่วงท้ายเกมจริงๆ จากดิว็อค (จะใครซะอีก) ทำให้เราได้สามแต้มที่เราต้องการในที่สุด
3
แต่ตอนนั้นเราต้องยอมรับว่า โปรแกรมมันโหดจริงๆ เราเจอบาร์เซโลน่าวันพุธ เจอนิวคาสเซิลวันเสาร์ แล้ววันอังคารต้องเจอบาร์เซโลน่าเลกสองต่อ ยิ่งเป็นช่วงปลายฤดูกาลแบบนี้แล้วด้วย มันเหมือนกับว่าทุกๆ อย่าง ไม่มีอะไรเป็นใจให้เราเลย
1
คิดดูว่า คุณต้องเจอทีมอย่างบาร์เซโลน่าด้วยสกอร์ตามหลัง 3-0 และไม่มีบ๊อบบี้ กับ โม ที่บาดเจ็บ เจอกับบาร์เซโลน่า โอกาสชนะมันยากแค่ไหน
(Note : บาร์ซ่ายอมทิ้งเกมลาลีกา ก่อนเจอลิเวอร์พูลเลกสอง โดยพักเมสซี่, ซัวเรซ, ปิเก้, บุสเกตต์, แตร์-ชเตเก้น ในเกมเจอเซลต้า บีโก้ จนแพ้ไป 2-0 แต่พวกเขาก็ไม่สนเพราะลอยลำได้แชมป์ใสๆ ไปแล้ว)
ก่อนจะเจอบาร์เซโลน่า 1 วัน แมนฯ ซิตี้ เล่นเกมรองสุดท้ายของฤดูกาล เจอเลสเตอร์ ซึ่งเราอยากให้พวกเขาสะดุด เราจะได้ยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้ต่อ และเลสเตอร์ก็ยัน 0-0 จนเหลืออีก 20 นาทีจะหมดเวลา แต่แล้ววินนี่ ก็องปานี เติมขึ้นหน้า มายิงประตูแห่งชีวิตเข้าประตู
สำหรับพวกเรา มันเหมือนเอามีดดาบเสียบไปที่ข้้วหัวใจ เพราะแมนฯ ซิตี้ แซงเราขึ้นไปเป็นจ่าฝูงด้วยเกมที่เหลือในฤดูกาลอีก 1 เกม ถ้าพวกเขาชนะเกมสุดท้ายได้ เกมก็จบ แชมป์พรีเมียร์ลีกก็จะเป็นของซิตี้
ความรู้สึกของนักเตะ มันจมดิ่งมาก เพราะเราแพ้ขาดลอยในเลกแรก ตามด้วยสะบักสะบอมในเกมเจอนิวคาสเซิลเสียทั้งโม ทั้งบ๊อบบี้ ตามด้วยเจ็บปวดที่แมนฯ ซิตี้ ชนะเลสเตอร์จากคนที่แทบไม่เคยยิงประตูอย่างก็องปานี พูดตรงๆ นะ แต่ละคนรู้สึกหดหู่ใจมาก ตอนที่มาถึงสนามซ้อมในช่วงเช้าวันอังคาร
ในเช้าวันนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้านายของเรา บอกกับกลุ่มนักเตะว่า "เราทุกคนคงได้ดูเกมคืนนั้นใช่ไหม? ยิงสวยมากนะ ว่าไหม" จากนั้นคล็อปป์ก็ยิ้ม แล้วพูดต่อว่า "เราควรให้ความสนใจกับเกมนั้นไหม มีใครอยากพูดถึงหรือเปล่า?"
เมื่อเจอร์เก้นพูดแบบนั้น เราทุกคนเงียบหมด และนักเตะก็เริ่มเข้าใจที่คล็อปป์สื่อว่า คุณจะไปให้ความสำคัญทำไมกับเกมของแมนฯ ซิตี้ ที่ไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดผลได้
1
คุณมานั่งเศร้าเสียใจที่โชคชะตารุมเร้าทำไม ในเมื่อโอกาสของคุณในสนามยังมีอยู่ การตามหลังบาร์เซโลน่า 3-0 ไม่ได้แปลว่าจะพลิกกลับไม่ได้
1
เมื่อรู้สึกดังนั้น มันเลยกลายเป็นแรงกระตุ้นชั้นดี ให้เราเอาชนะบาร์เซโลน่าให้ได้ หรือถ้าไม่ชนะ ก็จงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มี ผมไม่ได้บอกนะ ว่าเรามั่นใจขนาดที่จะพลิกกลับมาโค่นบาร์เซโลน่าได้ แต่เราก็มีทัศนคติที่ดี และคิดกันว่า "ถ้าจะมีใครสักคนสร้างปาฏิหาริย์ได้ มันก็คงต้องเป็นเรานี่แหละ"
1
พวกเราคิดกันว่า "เริ่มต้นให้ดี ยิงเร็วให้ได้ และจากนั้นก็มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
1
สิ่งสำคัญคือการ Set Tone (Note : กำหนดจังหวะเกม) ถ้าหากบาร์เซโลน่าโดนนำเร็ว และรู้สึกว่าเป็นรอง บรรยากาศในแอนฟิลด์จะกดดันมากขึ้น และผลักดันให้เกมของเราน่ากลัวขึ้นได้
1
ตอนนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือการเล่น High Tempo ดันสูง และไล่บี้คู่แข่งให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากดดันจนผู้รักษาประตูพลาด มันจะทำให้กองเชียร์คึกแน่ๆ
1
บรรยากาศในแอนฟิลด์คืนนั้น แฟนบอลของเรารู้หน้าที่ของตัวเองดี พวกเขาเริ่มต้นด้วยการโห่ใส่หลุยส์ ซัวเรซ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขี่ยบอล ผมคิดว่านักเตะบาร์ซ่าก็คาดไม่ถึงว่าแฟนๆ ของเราจะรุนแรงขนาดนี้ ตามหลักคุณโดนนำ 3-0 ควรจะถอดใจไปแล้วไม่ใช่หรือ และความเซอร์ไพรส์ของบาร์เซโลน่า มันทำให้ค่ำคืนนี้อะไรๆ ก็เริ่มเข้าทางเรามากขึ้น
เราได้เตะมุมตั้งแต่นาทีที่ 2 และเสียงคำรามจากแฟนๆ ดังสนั่น จนคุณอาจจะคิดได้เลยว่ามีใครยิงเข้าหรือเปล่า แต่พอผ่านไป 7 นาที เราก็ยิงประตูได้จริงๆ โดยเป็นดิว็อค ตามซ้ำลูกยิงของเฮนโด้เข้าไป
1
ผมคิดว่าบาร์ซ่าได้เข้าใจแล้วว่า แม้เราจะตามหลังเยอะ แต่ไม่ได้คิดจะปล่อยเกมนี้ให้บาร์ซ่าเข้ารอบได้ง่ายๆ ซึ่งพอบาร์ซ่าเริ่มระวังตัว คราวนี้มันทำให้เราเล่นยากขึ้นมาก
นัดนี้เมสซี่ยังไม่ได้บอลเยอะมาก แต่เราวางใจอะไรไม่ได้เลย เพราะถ้าพวกเขายิงได้แม้แต่ลูกเดียว ก็จะปิดตายความหวังของเราทันที ดังนั้นในส่วนของเกมรับ เราต้องเล่นโดยทุ่มพลังชีวิตทั้งหมด ไม่ให้โดนยิงได้
เข้าสู่ครึ่งหลัง เราเจอข่าวร้ายอีก เมื่อร็อบโบ้ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกไป กลายเป็นผมที่ต้องเข้าไปเล่นแบ็กซ้ายแทน และเป็นจินี่ ไวจ์นัลดุม เข้ามาเสียบแทนในตำแหน่งมิดฟิลด์
แต่การเปลี่ยนตัว ไม่ได้ทำให้เราแผ่วลง ตรงข้ามเราเริ่มครึ่งหลังได้อย่างสุดยอดมาก จินี่ยิง 2 ประตูสำคัญ และเราตีเสมอเป็น 3-3 ในสกอร์รวม
1
จุดสำคัญอยู่ที่พอเสมอ 3-3 ทัศนคติของเราไม่ได้คิดว่า "ผ่อนเกมหน่อยดีกว่า ดึงไว้ไม่ให้แพ้ก่อน แล้วค่อยไปตัดสินเอาทีหลัง" แต่เราลุยแหลก และเหยียบคันเร่งมิดไมล์ เพื่อเอาประตูที่ 4 ให้ได้ เพื่อฆ่าพวกเขาให้ตาย และความตั้งใจของเรา ทำให้เราได้รับผลตอบแทนในที่สุด
ผมเชื่อว่านักเตะบาร์เซโลน่า วางใจเกินไปจนไม่ระวังว่าเราจะทำอะไรในลูกที่ 4 จังหวะนั้นเทรนต์เห็นพวกเขาเหม่อ จนรีบจ่ายเร็วให้ดิว็อคยิงเข้าไป มันเป็นประตูที่ผู้คนตำหนิการไม่มีสมาธิของกองหลังบาร์เซโลน่า แต่ในเวลาเดียวกัน ผมไม่อยากจะตำหนิบาร์ซ่านักหรอก เพราะผมว่าควรให้เครดิตกับเทรนต์มากกว่า ที่คิดเร็วทำเร็ว และต้องชมดิว็อคที่ยิงได้อย่างเฉียบขาดมาก
1
เกมนี้บาร์เซโลน่า ไม่ได้เล่นดีที่สุดอย่างที่เคยเป็น พวกเขาเองก็รู้ดี แต่อย่าลืมว่า นี่คือสุดยอดทีม ที่ได้แชมป์มาแล้วมากมาย แถมยังมีนักเตะที่ผมคิดว่าเก่งที่สุดในโลกอยู่ด้วย
คำถามคือทำไมเราสามารถเอาชนะทีมระดับนี้ได้อย่างขาดลอยขนาดนั้น คำตอบคือเพราะเรา Set tone เอาไว้ตั้งแต่นาทีแรกที่ลงเล่น ทำให้เขาประหลาดใจว่าเรายังสู้อยู่นะ แม้จะตามหลังสามลูก
ความมุ่งมั่นของเรา ทำให้เงื่อนไขความเป็นรองทุกอย่างมันหายไป เราไม่สนใจว่าคู่แข่งมีคุณภาพขนาดไหน ไม่สนใจว่าสกอร์เลกแรกตามหลังมากเท่าไหร่ ไม่สนใจความโหดของโปรแกรมที่ต้องเตะถี่สามนัดใน 7 วัน และไม่สนใจว่าเราจะขาดคีย์แมนกี่คนในเกมนี้
3
สุดท้ายเมื่อทุกอย่างลงตัว ทำให้ค่ำคืนมหัศจรรย์เกิดขึ้นที่แอนฟิลด์
ฉากตอนจบเกม มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก ผมเองก็แทบจะน้ำตาไหลเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ทุกอย่างหลอมรวมกัน
ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งก็โล่งใจที่เกมจบแล้ว ส่วนหนึ่งคือความสุข และอีกส่วนคือความอ่อนล้าของร่างกายเพราะเราทุ่มเทพลังทั้งหมดจริงๆ
เฮนโด้นั้นเจ็บเข่าอยู่ แต่วินาทีนั้นเขาลืมทุกอย่างไปเลย พอกรรมการเป่านกหวีดปั๊บ เขาทำท่าสไลด์เข่าโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเจ็บ! คือเราทุกคนบ้าคลั่งกันหมดเลย จากนั้นนักเตะกับสตาฟฟ์ทั้งหมด ก็รวมตัวกันหน้าสแตนด์ฝั่งเดอะ ค็อป แล้วเราก็ร่วมกันร้องเพลง You'll never walk alone มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่มีวันลืมเลือนได้เลย
5
นี่คือคำอธิบายของเจมส์ มิลเนอร์ ที่ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทั้ง 2 นัด ที่คัมป์นู และที่แอนฟิลด์ ดังนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกแบบรถไฟเหาะเป็นอย่างดี
จากเสียใจที่สุดที่แพ้เละ 3-0 กลายมาเป็นสุขสมหวังที่ชนะ 4-0 ในเลกสอง ใครจะไปเชื่อว่าหงส์แดงจะทำได้จริงๆ
สิ่งที่มิลเนอร์เล่า เราจะเห็นได้ว่า ต่อให้อยู่ในเงื่อนไขที่เสียเปรียบขนาดไหน ตราบใดที่เกมฟุตบอลยังแข่งอยู่ กรรมการยังไม่เป่าหมดเวลา มันมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะได้เสมอ
5
ดังนั้นการรวบรวมสมาธิเพื่อโฟกัสในเกมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ก็เหมือนที่คล็อปป์บอกในเช้าวันก่อนเกม คุณจะไปสนใจผลการแข่งขันของแมนฯ ซิตี้ ที่ชนะเลสเตอร์จนแซงเป็นจ่าฝูงทำไม ทั้งๆที่ เกมแชมเปี้ยนส์ลีก โอกาสเข้ารอบยังอยู่ในมือตัวเอง
1
ในกลางสัปดาห์หน้า ลิเวอร์พูลจะลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบรองชนะเลิศอีกครั้ง และปาฏิหาริย์ย่อมเกิดได้ตลอด แปลว่าบียาร์เรอัล ก็อาจเป็นฝ่ายชนะได้เช่นกัน
แชมป์สมัยที่ 7 ของหงส์แดงในเกมยุโรปจะเกิดหรือไม่ สิ่งสำคัญคือพวกเขาประมาทบียาร์เรอัลหรือเปล่า อย่าลืมว่านี่คือทีมโค่นทั้งยูเวนตุส และ บาเยิร์น มิวนิคมาแล้ว
แต่ก็นะ เจอร์เก้น คล็อปป์เองรู้ดีว่า "ปาฏิหาริย์" มันเกิดได้จริงๆ ถ้าองค์ประกอบทุกอย่างลงตัว ดังนั้นเขาต้องมีวิธีพูดกับลูกทีมแน่นอน ว่าจะพิชิตทีมที่ไม่ธรรมดาอย่างบียาร์เรอัลได้อย่างไร แต่นักเตะจะทำได้หรือไม่ เกมในสนามจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
1
โฆษณา