28 เม.ย. 2022 เวลา 13:00 • การ์ตูน
EP : 1,033
รักนายเจ้าชายคาบูกิ
ผมเป็นนักอ่านอีกคนหนึ่งที่มักจะมองหาสิ่งแปลกใหม่ในมังงะที่ตัวผมเองกำลังจะเลือกอ่านอยู่เสมอ .... เพราะนอกจากเงื่อนไขที่ว่า เรื่องนั้นเป็นงานของนักวาดมังงะที่ผมชอบ/เคยอ่านมาหรือเปล่า.... หรือเป็นเรื่องที่มีลายเส้นสวยถูกใจผมหรือไม่ ....หรือ เรื่องราวเป็นแนวไหน ตลก แฟนตาซี ดาร์ก เอาชีวิตรอดและ/หรือเป็นแบบที่ผมอยากใช่ไหม...
หลายๆครั้งผมก็จะมองด้วยว่า เรื่องนั้นกำลัง “เล่า/นำเสนอเกี่ยวกับอะไรอยู่?” สิ่งนั้นเป็นสิ่งใหม่หรือเป็นเรื่องราวที่ผมไม่เคยอ่านมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผมให้ความสำคัญอยู่เสมอครับ เพราะหากมังงะเรื่องนั้นกำลังเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ผมยังไม่เคยได้อ่าน แม้จะเป็นเรื่องราวเก่าๆ หรือคนอื่นอาจเคยเขียนมาแล้ว แต่...ถ้าผมยังไม่เคยได้อ่านเรื่องราวแบบนั้น ผมมักจะไม่พลาดที่จะลองหามาอ่านเพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งนั้นมีเนื้อหาหรือเรื่องราวรายละเอียดเป็นอย่างไร มันใช่แบบที่ผมชอบหรือเปล่า...ครับ
ก็เพราะแบบนั้น ... ผมถึงสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมากครับ ตั้งแต่ได้เห็นว่าเรื่องราวในเรื่องนี้หยิบเรื่องราวของศิลปะการแสดงโบราณชั้นสูงของญี่ปุ่นอย่าง “คาบูกิ” มานำเสนอให้อ่านกัน แม้ตัวเรื่องจะดูแล้วรู้ว่าเล่าออกมาเป็นแนวรักๆแบบ “โชโจ” ก็ตามเท่านั้นยังไม่พอเพราะเมื่อดูหน้าปกคร่าวๆ มันมีความเป็น “บอยเลิฟ” นำเสนออยู่แบบสังเกตได้ ซึ่งส่วนตัวผมแล้ว ผมไม่อ่านงานแนว บอยเลิฟ เลย เรียกว่าปิดโอกาสมังงะแนวนี้เลยก็ว่าได้ แต่ก็เพราะมันเป็นเรื่องของ “คาบูกิ” ที่ผมจะมองข้ามมันไปไม่ได้นั่นก็เลยเป็นที่มาของรีวิวในครั้งนี้กับมังงะที่ผมอยากจะอ่านมากๆเรื่องนึงในช่วงนี้ครับกับ “รักนายเจ้าชายคาบูกิ” ...
......รูปหล่อ หุ่นดี หน้าตาดี ไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจอยู่เสมอ..... นั่นคือสิ่งที่ “คาวามูระ” เป็นอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะด้วยตัวเขาเองเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลคิจิมายะ ตระกูลคาบูกิที่โด่งดังมาตั้งแต่อดีต ทำให้เขาซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลคิจิมายะ เป็นดาวเด่นของวงการละครโนห์อย่างคาบูกิอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในวงการศิลปะระดับสูงอย่างคาบูกินั้น “สายเลือดของตระกูล” เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เป็นอันดับต้นๆ เพราะแบบนั้นชีวิตของ คาวามูระจึงอยู่ภายใต้แสงสปอต์ไลท์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสายเลือดมารวมกับรูปร่างและความหน้าตาดีของเขา เส้นทางในวงการคาบูกินี้ของเขาจึงสว่างและไร้อุปสรรค์ใดขวางกั้นเขาได้...
..... แต่ ทั้งๆที่ชีวิตอยู่ภายใต้คาบูกิมาตลอดเวลา และได้รับการฝึกฝนตามแบบแผนของคาบูกิมาตั้งแต่เด็กจำความได้ ตัวเขาเองกลับไม่ได้รู้สึกมีจิตใจให้กับคาบูกิซึ่งเป็นทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตของเขาซักเท่าไหร่ แม้การแสดงจะออกมาดีระดับนึงด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดแฟนๆให้คอยติดตาม แต่ในด้านฝีมือที่ขึ้นๆลงๆ หาความสม่ำเสมอไม่ได้นั้นก็ทำให้คนในวงการคาบูกิที่ยึดมั่นถึงมาตรฐานและแบบแผนธรรมเนียมปฎิบัติในสังคมการแสดงศิลปะชั้นสูงมาหลายร้อยปีนั้นไม่อาจยอมรับเขาในแง่ฝีมือได้ แม้ทุกคนจะไม่ได้รังเกียจในตัวตนของเขาและด้วยสายเลือดของตระกูลคิจิมายะ อันโด่งดังก็ทำให้เขามีที่ยืนในวงการนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา
.... จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อโชคชะตาทำให้เขาได้พบกับ “จิบะ อายาเมะ” สาวน้อยผู้ชื่นชอบคาบูกิอยู่ในสายเลือด นั่นก็ทำให้หัวใจของเขาได้รู้จักการตกหลุ่มรักเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน แม้จะมีสาวๆมารุมล้อมเขาด้วยหน้าตาและชื่อเสียงที่โด่งดังในวงการมาตลอดเวลา
แต่ปัญหาก็คือ สำหรับตัวจิบะ สาวน้อยผู้รักในคาบูกิคนนี้แล้ว ตัว “คาวามูระ” นั้นเป็นได้เพียงคนหน้าตาดีทั่วไป แถมฝีมือในการเล่นคาบูกิ ก็ยังธรรมดาในสายตาของเธออีกด้วย และที่สำคัญ ตัวเธอนั้นมีชายหนุ่มที่เธอแอบรักมาตลอดอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้พบกันมานานมากแล้วก็ตาม และที่สำคัญ “อิจิยะ” ชายหนุ่มรูปหล่อที่ “จิบะ อายาเมะ” แอบรักมาตลอดนั้น ยังเป็นนักแสดงคาบูกิฝีมือดีที่กำลังพยายามไต่เต้าในวงการคาบูกิที่สายเลือดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งอีกด้วย และนี่คือเรื่องราวการต่อสู้และขับเคี่ยวกันระหว่าง 2 ชายหนุ่มในวงการ “คาบูกิ” ที่มีเรื่องฝีมือและหัวใจของหญิงสาวคนเดียวเป็นเดิมพันใน “รักนายเจ้าชายคาบูกิ” ครับ
ผมมองเรื่องนี้ในหลายๆองค์ประกอบนะครับ แต่สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือภาพรวมของเรื่องนี้ก่อน แน่นอนตามที่ผมเกริ่นไว้แล้ว เรื่องนี้กำลังเล่าเรื่องราวเหล่าตัวเอกซึ่งเป็น 2 ชาย 1 หญิงซึ่งผูกทั้งหมดถูกดึงมาเกี่ยวข้องกันด้วย “คาบูกิ” ครับ เพราะด้วยองค์ประกอบแบบนี้หลักๆของเรื่องนี้จะพูดถึง “วงการคาบูกิ” และ “ความรักและความสัมพันธ์” ของตัวละคร โดยในช่วงแรกเริ่มของเรื่องนี้จะเน้นหนักที่จะเล่าถึง “ความรักและความสัมพันธ์” ของตัวละครเอกและรอบข้างเป็นหลัก โดยมีภาพของวงการคาบูกิใส่เข้ามาให้เห็นรายละเอียดและเป็นฉากหลังในการขับเคลื่อนเนื้อหาของเรื่องไปพร้อมๆกับความรักและความสัมพันธ์ของเหล่าตัวเอกครับ
และแน่นอนครับตัวเรื่องเล่าความสัมพันธ์ของ 1 หญิงซึ่งเป็นเป้าหมายจากทั้ง 2 หนุ่มหล่อที่สาวๆในเรื่องทุกคนต่างหมายปอง ตามคอนเซปอีกแบบนึงที่สายโชโจชอบใช้เป็นปกติ ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆที่เรื่องใส่มาให้เห็นกัน ซึ่งตรงนี้สำหรับผมถ้าพูดตรงๆแล้วมันออกจะธรรมดาและไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่ผมเคยอ่านเจอในมังงะโชโจทั่วไปเลยครับ
ซึ่งเมื่อเรื่องเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์และทำให้เราเห็นปมของ 1 หญิง 2 ชาย ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องให้คนอ่านอย่างเรามองภาพออกเรียบร้อย เขาก็จะเล่าถึงความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งที่ผมเกร็งเอาไว้ว่าต้องมีแน่ๆ นั่นก็คือความสัมพันธ์แบบ BL หรือ บอยเลิฟ หรือ ชายรักชาย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมกังวลในการเล่าของเรื่องในเชิงนี้มากกว่าความสัมพันธ์แบบ 1 หญิง 2 ชายในช่วงแรกมากครับ
ก็อย่างที่บอกว่าผมปิดใจไม่เปิดให้กับความเป็น BL โดยเด็ดขาด ที่ผ่านมาผมมองข้ามและไม่หยิบอะไรทำนองนี้มาอ่านเลย อาจจะมีกึ่งๆบ้างในบางเรื่องเพราะมันเล่นได้ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดมากก็อ่านไปปกติ แต่ถ้าเป็นสไตล์ฮาร์ดคอร์แบบ BL เต็มเรื่องอันนี้ผมไม่เคยอ่านนะครับ ในทางกลับกันแนวยูริ ผมรับได้และชอบอ่านด้วยซ้ำ
ทำให้ผมค่อนข้างกังวลและเกร็งว่าเรื่องนี้จะเล่าความสัมพันธ์ BL ของตัวเอกทั้งสอง อย่าง คาวามูระและอิจิยะ อย่างไร และจะออกมาแบบทำให้ผมอ่านแล้วยังอยากจะอ่านเรื่องราวต่อไปไหม อ่านแล้วจะรับได้ไหม สำหรับคนที่ไม่ใช่คอ BL อย่างผมคนนี้ได้ดีหรือไม่อย่างไร นั่นคือสิ่งที่ผมกังวลอย่างมากระหว่างอ่านเรื่องนี้ไปเรื่อยๆครับ
ถ้าพูดถึงตรงจุดนี้ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันมีความสอดคล้องกับความเป็นจริงของการแสดง “คาบูกิ” อย่างมากแค่ไหน เพราะผมรู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าการแสดงละครโนหชั้นสูงอย่าง “คาบูกิ” นั้นแต่ดั้งเดิมเขาใช้นักแสดงชายเพศเดียวเท่านั้นในทุกบทบาทซึ่งรวมถึงบทนางเอกหรือผู้หญิงสาวทุกคนในทุกเรื่องราว ซึ่งลักษณะอย่างนี้ก็มีอยู่ในศิลปะการแสดงบางอย่างของไทยในสมัยโบราณเช่นกัน การแสดงที่ยึดความเชื่อแต่ดั้งเดิมว่าศิลปะการแสดงบางประเภทไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้ามาร่วมแสดงแบบนี้นั้น
ไม่แปลกที่จะมองได้ว่าการเข้าถึงบทบาทซึ่งคนที่จะต้องแสดงบทนางเอกและสาวๆในคาบูกินั้นจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีนิสัยและความรู้สึกที่พิเศษกับนักแสดงชายบนเวทีเดียวกัน ซึ่งนั้นก็อาจเพราะทำให้การแสดงคู่นั้นเข้ากันและเพื่อการสื่อสารไปยังคนดูอีกด้วย เพราะแบบนั้นตั้งแต่เริ่มต้นที่ผมรู้ว่าเรื่องนี้หยิบเรื่องคาบูกิมาเล่านั้น ผมก็รู้สึกแล้วว่ามีความเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้จะมีความเป็น BL ผสมอยู่ทั้งในแง่สร้างความนิยมในกลุ่มนักอ่านแนวนี้เพิ่มและเพื่อให้สอดคล้องกับความเฉพาะของวงการคาบูกินี้ นั่นไม่ใช่อะไรที่ผมคาดไม่ถึงและรับรู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วครับ
และเมื่อถึงจังหวะนั้นเมื่อเรื่องเล่าผ่านในแง่ความเป็น 1 หญิง 2 ชายมาได้แล้ว ความสัมพันธ์ในฐานะนักแสดง ชาย และ ชาย ของทั้งคู่จึงได้เริ่มต้น ซึ่งเรื่องราวก็นำเสนออกมาได้นิ่มนวลกว่าที่ผมคิด ดูสนุกและตลกในแง่การเล่าเรื่องให้มันออกมาโทนนั้น ใส่จังหวะความจิ้นแบบ BL ไว้ในเนื้อหาเพื่อสร้างความฮาให้ออกมาในหลายๆจังหวะ และสร้างคำตอบให้กับคำถามในใจของชายหนุ่มทั้งสองว่า ความรู้สึกและสายสัมพันธ์ระหว่างกันที่ทั้งคู่คิดและมองกันและกันนั้น มันคือความรักหรือความเคารพหรือความเชื่อใจ หรือความรู้สึกอย่างไรกันแน่ สิ่งเหล่านี้เล่าออกมาด้วยโทนสนุกและหาทางลงให้ออกมาสมูธได้ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มากครับ
เรียกว่าเรื่องราวมีการแบ่งช่วงการเล่าความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป แบบชายหญิงก่อน แล้วสลับด้วย ชายและชาย ก่อนจะหาคำตอบสำหรับสองคนได้และกลับมายืนอยู่ในจุดความสัมพันธ์แบบปกติ พร้อมกับสร้างเป้าหมายเพื่อเติบโตและจริงจังกับการไปยืนอยู่บนเวทีคาบูกิที่ทั้งคู่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ครับและนั่นก็ทำให้เรื่องก้าวเข้าสู่บทดราม่าของคาบูกิที่ล้อไปกับตัวละครและความเป็นมาของทั้ง 2 คนอย่างมากมาย
สิ่งที่เรื่องนี้เซ็ทเอาไว้ได้ดีมากๆ โดยที่ตอนแรกผมมองว่ามันทั่วไปมากเกินไปจนดูไม่แตกต่างหรือหาจุดเด่นในสายตาผมไม่ได้นั่นคือคาเรทเตอร์ของตัวเอกทั้งสองอย่าง “คาวามูระและอิจิยะ” ที่ทำออกมาล้อไปกับความเป็นจริงในวงการของ “คาบูกิ” ได้เป็นอย่างดีจนผมไม่คิดว่าการขึ้นต้นตัวละครให้ออกมาแบบนั้นจะกลายเป็นอีกแบบในตอนจบที่ผมประทับใจได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ
แม้ตอนแรกการที่เรื่องเซ็ทให้ “คาวามูระ” ผู้สืบทอดตระกูลคิจิมะยะซึ่งเป็นตระกูลคาบูกิชื่อดังทั้งเพรียบพร้อมไปทั้งรูปร่างหน้าตา และชาติตระกูลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในวงการคาบูกินั้น มีนิสัยออกแนวมองโลกในแง่ดี ล่องลอย อ่อนไหวในหลายๆเรื่องง่าย ดูเหมือนจะเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ทั้งในแง่การแสดงและนิสัย แต่ก็ยังเป็นคนดีที่ทุกคนรักรวมถึงมีฝีมือการแสดงที่ดีได้ อาจจะเรียกว่ามีพรสวรรค์ในการแสดงคาบูกิก็ได้ เพราะเรื่องแสดงให้เห็นถึงจุดนั้นบ่อยๆ เพียงแต่ตัวเขานั้นมีปัญหาก็คือ
ใจเขาไม่ได้รักการแสดงคาบูกิขนาดนั้น ทำได้ดีก็ทำได้แบบนี้ ถือเป็นตัวละครที่กึ่งๆ ที่เราทั้งเคยเห็นคาเรทเตอร์แบบนี้มาบ้างแล้วและเป็นคาเรทเตอร์ที่เราไม่ได้เกลียดตัวตนอย่างนี้ตั้งแต่ต้นที่เราได้รู้จักเขา ถือเป็นทางเลือกกลางๆที่ผมรู้สึกในตอนแรกนะครับ และมันออกจะเข้ากันกับแนวโชโจแบบนี้ กับเรื่องราวความรัก 2 ชายกับ 1 หญิงในตอนแรก ซึ่งเอาเข้าจริงผมรู้สึกเฉยๆ กับคาเรทเตอร์ตัวเอกตัวนี้ ในตอนแรกพอสมควรครับ
ในขณะที่ตัวเอกอีกคนอย่าง “อิจิยะ” นั้นตัวเรื่องได้วางคาเรทเตอร์และบทบาทให้อยู่ในขั้วตรงข้ามกับ “คาวามูระ” ตามสไตล์เรื่องราวแนวนี้ก็เหมือนกัน ซึ่งผมไม่แปลกใจกับคาเรทเตอร์ของตัวละครแบบเขานะ เพราะมองว่ามันต้องออกมาแบบนี้แหละ อย่างเป็นคนทุ่มเท ให้ความสำคัญกับคาบูกิ มาตั้งแต่เด็ก พยายามขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีคาบูกิให้ได้ แม้เวทีนี้จะให้ความสำคัญกับสายเลือดเป็นอันดับ 1 ก็ตาม ซึ่งในช่วงแรกคาเรทเตอร์แบบนี้ถูกใช้ประโยชน์ทั้งเป็นคนที่นางเอกรักและทำให้คาวามูระรู้สึกมีแรงขับในด้านคาบูกิมากขึ้น รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิจิยะและนางเอกที่ดูน้ำเน่าสำหรับผมไม่น้อย ผมมองว่าการวางคาเรทเตอร์ของตัวเอกและความสัมพันธ์ในเชิงแบบนี้ให้อารมณ์ของความเป็นโชโจได้อย่างดีและชัดเจนมากๆครับ
เพราะฉะนั้นในช่วงแรกสำหรับผมแล้วมันออกจะทั่วไปในสายโชโจซะมากกว่า ผมจึงโฟกัสไปที่เรื่องราวบนเวทีของ 2 พระเอกเราในเรื่อง ซึ่งในแง่ความเป็นคาบูกิแล้วผมชอบในการนำเสนอในช่วงแรกอย่างมากครับ ซึ่งตรงนี้มันก็จะลิงค์กับบุคลิกและตัวตนของ 2 พระเอกเรา ที่มีความเกี่ยวข้องกันในแง่คาบูกิเข้าไปเรื่อยๆ และการที่เรื่องชูประเด็นสายเลือดของตระกูลว่ามีผลอย่างชัดเจนมากๆ เรียกว่าแทบจะกำหนดชีวิตของคนในวงการคาบูกิตั้งแต่แรกเริ่มนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องมันดูมีมิติและเงื่อนไขที่ยากจะฝ่าไปได้ และนั่นเองก็ทำให้เรื่องในส่วนที่ 2 มันเข้มข้นไปด้วยเรื่องราวดราม่าที่ผมชื่นชอบอย่างมากครับ
ความเก่งอีกอย่างนึงของเรื่องนี้ในแง่การวางคาเรทเตอร์สำหรับผมก็คือ การสร้างตัวละครเอกให้ไม่ดูน่ารำคาญหรือรู้สึกว่าไม่ชอบเมื่อได้อ่านครับ ตรงนี้สำหรับผม ผมเคยเจอหลายเรื่องที่มีตัวละครแนวนี้อยู่เยอะ(เพราะมันเป็นคาเรทเตอร์ที่ถูกหยิบมาใช้เป็นประจำในเนื้อหาแนวโชโจอยู่เสมอ) แต่ด้วยความล้นอยู่เสมอผมจะรู้สึกว่านิสัยน่ารำคาญไม่น้อย ซึ่งหากใครไม่ใช่แฟนโชโจจะรู้สึกแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาเจอตัวละครแนวสมบูรณ์แบบอย่างนี้ แต่เรื่องนี้เขาเซ็ทเอาไว้ได้ดีนะครับ ในความล้นมันมีความพอดีในแง่ตัวตนที่มองโลกในแง่ดี คนที่สามารถเติมให้เต็ม หรือคนที่พร้อมเรียนรู้เพื่อใครซักคน ไม่ใช่ปิดกั้นตัวตนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นตัวละครที่เราเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนทั้งกับตัวคาวามูระในแง่วงการคาบูกิ และ คิจิมะ ในแง่การใช้ชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ผมถือว่าเขานำเสนอความจำเจในสายตาผมให้ออกมาดีและไม่น่าเบื่อนะครับ
ตัวเรื่องถือว่าเล่าไปได้เร็วมากนะครับ แม้ช่วงแรกจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์มากไปซักหน่อย แต่เพราะมันเป็นแนวโชโจไม่แปลกที่จะได้อ่านเรื่องราวความรักในเนื้อหาส่วนแรกแบบนี้แบบจุกๆ ซึ่งเราจะได้เห็นพัฒนาการต่างๆของตัวละครไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ผ่านสถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆของคาบูกิ เนื่องด้วยตัวละครทุกคนผูกกันไว้ด้วยคาบูกิครับ ซึ่งมันถูกเล่าไว้ได้อย่างกระชับรวดเร็วและมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างมาก และทำได้ดีในแง่การนำเสนอความเป็นคาบูกิ ได้แบบที่ผมต้องการจะได้อ่านจากมังงะเรื่องนี้ครับ รวมถึงความดราม่าที่เรื่องแทรกใส่เข้ามาเป็นระยะ ที่แม้ช่วงแรกมันจะเกี่ยวกับความรักมากไปซักหน่อยแต่ก็ถือว่าเล่าได้ตามสเตปของเรื่องราวที่ได้อ่าน และเมื่อเรื่องราวเล่าไปเรื่อยๆ ดราม่าก็จะพันพันไปสู่ความเป็นคาบูกิมากขึ้นเรือยๆ ครับ
ซึ่งเนื้อหาช่วงหลังจะเป็นอะไรที่ผมชอบเอามากๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีความเข้มข้นในแง่ความดราม่าได้ชัดเจนอย่างนี้ ความฉลาดของเรื่องนี้นอกจากจะเป็นการหยิบเรื่องทั่วไปที่คุ้นเคยมาเล่าได้อย่างน่าสนใจแล้ว การเปิดปัญหาและปิดปัญหาแต่ละข้อก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน เพราะเรื่องราวที่เข้มข้นเรื่อยๆ ยิ่งในช่วงกลางเรื่องถึงปลายเรื่องหลังจากที่ความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอกเราลงตัวแล้วนั้น ตัวเรื่องก็ไปขยี้ต่อได้ดีและให้คำตอบกลับคนอ่านได้ดีเช่นกัน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงแม้จะเป็นดราม่าที่เกี่ยวกับชีวิต แต่มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความเป็นคาบูกิได้อย่างลงตัวและเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับสิ่งที่เราได้เห็นมาตั้งแต่ต้นในประเด็นต่างๆจากพระเอกเรา 2 คนด้วยครับ
เรียกว่าเรื่องใส่อะไรไว้ไม่ว่าจะตั้งแต่ตอนต้น กลางและท้าย มันจะมีคำตอบให้เรา และเป็นคำตอบที่อ่านแล้วเคลียร์ไม่ติดค้างอะไร รวมถึงเป็นคำตอบที่คนอ่านอย่างผมอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าเรื่องพยายามยัดเยียดให้ออกมาแบบนี้ ซึ่งหลายๆเรื่องทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ
ถ้ามองย้อนกลับไปหลังอ่านจบ ผมมองว่าเรื่องวางโครงเรื่องไว้ได้ดีมากๆ ทั้งเรียบง่าย เข้าใจง่ายและมีความครบในแง่ความเป็นมังงะสไตล์โชโจ รวมถึงมีองค์ประกอบและรายละเอียดของความเป็นคาบูกิ ที่เป็นเส้นเลือดหลักของเรื่องราวทั้งหมดในเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว ผมไม่รู้หรอกว่ามันมากหรือน้อยเกินไปในแง่คาบูกิ แต่ในแง่คนอ่าน สิ่งที่ได้รับรู้ผมถือว่าอยู่ในระดับที่ทำให้พอใจและทำให้รู้จักศิลปะชั้นสูงอย่างนี้ได้มากขึ้นจากเดิมที่เราอาจจะแค่เคยเห็นหรือรู้นิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งผมก็มองว่ามันมีความสมจริงและเป็นข้อมูลจากคาบูกิจริงๆที่ได้ใส่ลงมาในนี้ การผสมทั้งเรื่องราวความรักในหลายๆแง่ รวมเข้ากับศิลปะคาบูกิให้ออกมาอย่างในเรื่องนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ และเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีอย่างมากในสายตาผมครับ
และแน่นอนรวมถึงเรื่องลายเส้นด้วยเช่นกัน เรื่องลายเส้นเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกตั้งแต่ได้เห็นเรื่องนี้แล้วครับ อย่างแรกเลยคือด้วยความเป็นการเล่าเกี่ยวกับคาบูกิ ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูง และมีองค์ประกอบทั้งในด้านการแสดงและเสื้อผ้าต่างๆอย่างชัดเจนและเป็นจุดเด่นตั้งแต่ต้น การที่ใครจะหยิบมาวาดนั้น งานภาพจึงเป็นโจทย์ข้อแรกเลยที่ต้องถ่ายทอดออกมาให้ดี ความงดงามในแง่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและการนำเสนออารมณ์การแสดงของตัวละคร เป็นสิ่งที่หากทำออกมาแย่แล้ว ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะดีแค่ไหน มันจะถูกปฎิเสธจากคนอ่านอย่างผมโดยทันที นี่คือความน่ากลัวของงานที่หยิบศิลปะมาเล่าอยู่เสมอครับ
และเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีอย่างที่คาดหวังไว้ ผมถือว่ามันลงตัวนะ ทั้งในแง่การถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆ องค์ประกอบของความเป็นคาบูกิผ่านลายเส้น ผมถือว่าดีเลย รวมถึงการแสดงบนเวทีที่อยู่ในระดับที่ดีด้วยเช่นกัน มีความสวยของสิ่งที่เป็นญี่ปุ่นชัดเจนอย่างนี้ แม้ถ้าเทียบสัดส่วนของการนำเสนอแล้ว ผมอาจจะอยากให้มันเยอะและมากกว่านี้ก็ตาม แต่ภาพรวมผมถือว่าทำออกมาได้ดีตามที่ก่อนได้อ่านผมหวังไว้ มีความสวยทั้งในแง่คาบูกิและความน่ารักและน่าสนใจในแง่ตัวละครและการแสดงบนเวที ผมถือว่าเป็นอีกเรื่องที่นำเสนอได้ครบอีกเรื่องนึงในโจทย์ที่ยากไม่ใช่เล่นกับศิลปะชั้นสูงแบบนี้ครับ
“รักนายเจ้าชายคาบูกิ” เรื่องและภาพโดย อ. Ako SHIMAKI โดยในไทย LC เป็นของค่ายสายโชโจ อย่าง Bongkoch Comics เจ้าประจำของวงการนี้ครับ โดยเรื่องนี้ออกมาจบแล้ว ด้วยจำนวนเล่ม 16 เล่มจบครบถ้วน แบบที่ใครๆก็ยังสามารถหาอ่านได้ครบถ้วนอยู่ในตอนนี้ แม้จะจบมาได้ซักพักนึงแล้วครับ ซึ่งนี่คือข้อดีของค่ายนี้นะครับ ไม่ค่อยทิ้งให้แพ แม้จะออกช้าบ้างแต่มักออกมาครบถ้วน และหาอ่านได้ง่ายแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม ที่สำคัญ ราคาสบายกระเป๋าคนจ่ายมากกับราคาปกไม่เกิน 50 บาทต่อเล่มที่ปัจจุบันหาไม่ได้แล้วนะครับราคานี้
แม้หน้าหนังสือจะบอกอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้คือแนวโชโจและมีกลิ่นงานบอยเลิฟให้เห็นอยู่ในหลายๆเล่ม แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาบอกว่าไม่อยากจะอ่านเรื่องนี้หรอกนะครับ เพราะหากคุณอยากอ่านมังงะสนุกๆ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เรื่องอื่นไม่หยิบมาเล่ากันอย่าง วงการศิลปะการแสดงคาบูกิ ที่มองไปมองมาหาไม่เจอเลยนั้น ทำให้ผมไม่อยากให้พวกคุณมองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาดครับ ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าได้อ่านไปเรื่อยๆจนถึงตอนจบ
หลายๆท่านน่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำได้ดีทั้งในแง่เนื้อหา องค์ประกอบ การเล่าเรื่อง และลายเส้นสวยๆ โดยทั้งหมดมีครบถ้วนอยู่ในมังงะเรื่องนี้ ผมอยากให้มองข้ามบางสิ่งที่อาจสร้างความกังวลไปก่อน แล้วลองหามาอ่านกันดู ผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะชอบเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอนแม้คุณจะไม่ใช่แฟนมังงะแนวโชโจก็ตาม ถ้าอยากพิสูจน์ว่าผมพูดจริงหรือเปล่า ลองหาอ่านดู หาไม่ยาก ราคาเบาๆ แนะนำเรื่องนี้มากๆครับ
ภาพ 9.4/10
เรื่อง 9/10
ความประทับใจ 9/10
อ่านรีวิวเรื่องอื่นๆที่ทางเพจเคยรีวิวไว้มีกว่า 1,000 กว่าเรื่องตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ.
.
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #16เล่มจบ #BongkochComics #การ์ตูนแนวโชโจ #การ์ตูนแนวเลิฟคอมเมอดี้ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวศิลปะญี่ปุ่น #9คะแนน #รักนายเจ้าชายคาบูกิ #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #คาบูกิ #การ์ตูนแนวรักโรแมนติก #การ์ตูนแนวดราม่า
โฆษณา