เพชรน้ำงามดูยังไง
หากเราพูดถึงเพชร แน่นอนว่าเราจะต้องนึกถึงกับความแพง ความหรูหรา ความวิบวับ วิ๊งๆ แวววาว และความสตร๊องง!! (ต้องเน้นเสียงแบบมิสแกรนด์ สตร๊อง!!! 5555) เพราะเพชรแข็งที่สุดในโลกหล้านภาลัยนี้แล้ว ไม่ว่าจะเอามาทำเป็นสร้อยแหวน นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ หนูก็ช๊อบชอบ (กูว่าอีแอดมันไม่มีเพื่อนวะ 55555) เพชรที่ดีได้ต้องมีคุณสมบัติใดบ้าง วันนี้มีคำตอบค่ะ
เพชร หรือ Dimond มาจากภาษากรีกคำว่า Adama ซึ่งความหมายว่า ไม่มีใครเอาชนะได้ หรือไม่เคยแพ้ใคร (เอาเซ่!! ฉันคือที่หนึ่ง) เพชรเป็นแร่ชนิดหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม โครงสร้างประกอบด้วยอะตอมของธาตุคาร์บอนเชื่อมต่อกันอย่างเหนียวแน่นเป็นรูป Cubic ด้วยพันธะโควาเลนท์ ซึ่งเป็นพันธะที่แข็งแรงมาก
หากวัดระดับความแข็ง (ความแข็ง คือ การทนทานต่อการขีดข่วน) ตั้งแต่ระดับที่ 1-10 แน่นอนว่าเพชรอยู่ระดับ 10 ตาม Moh’s Scale และความแข็งแรงนี้ ทำให้วัตถุใดๆ ก็ตามบนโลกนี้ ไม่สามารถทำให้เพชรเป็นรอยได้ นอกจากจะเป็นเพชรด้วยกันเอง ซึ่งความแข็งนี้ไม่ได้สัมพันธ์กับการแตกนะคะ นั่นหมายความว่า เพชรก็สามารถตกแตกได้นะ
ที่นี้เรามาดูกันว่า การจะเป็นเพชรน้ำหนี่งได้ต้องผ่านกระบวนการ หรือผ่านมาตรฐานอะไรบ้าง ในการตรวจสอบเพชรจะใช้หลัก 4C ซึ่งกำหนดโดยใช้หลักสากลที่คิดค้นขึ้นโดยสถานบัน Gemological Institute of America (GIA) คือ Carat, Color, Cut, Clarity เรามาลงรายละเอียดให้พอเข้าใจกันสักนิดนะคะ
1. Carat หรือ กะรัต
คือน้ำหนักของเพชร โดยเพชร 1 กะรัต จะมีน้ำหนักเท่ากับ 0.2 กรัม เท่ากับ 100 point หรือ 100 ตังค์ (คนไทยเรียกกันว่าตังค์) เช่น เพชรขนาด 0.50 กะรัต หรือ 50 point หรือ 50 ตังค์ ยิ่งเพชรมีขนาดใหญ่เท่าไร ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นในอัตราก้าวกระโดด เพชรขนาด 1 กะรัต 1 เม็ด จะมีราคาสูงกว่าเพชรครึ่งกะรัตคุณภาพเดียวกันสองเม็ด น้ำหนักของเพชรถือว่าเป็นปัจจัยที่สามารถเห็นและแยกแยะความแตกต่างได้ชัดเจนที่สุดด้วยตาเปล่า
2. Color
หรือน้ำเพชร หรือสีของเพชร เพชรยิ่งขาวยิ่งสวยยิ่งราคาสูง เรามักได้ยินคำว่าเพชรน้ำหนึ่งกันมาแล้วบ้าง มันเป็นเปรียบเทียบเพชรที่งามที่สุด ประมาณว่าเป็นที่หนึ่ง งามยืนหนึ่งอะไรอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเพชรที่งามและแพงที่สุดมันคือเพชรน้ำ 100 ต่างหาก แต่จะให้เรียกเพชรน้ำร้อยมันก็อาจจะฟังดูแปลก ๆ นะ (อันนี้แอดคิดเอาเอง 5555)
การกำหนดน้ำของเพชรตามหลักของ GIA จะเริ่มจากตัวอักษร D (เพชรน้ำ 100 ไร้สี) ไปจนถึง Z (เพชรน้ำ 78 สีอมเหลือง) แอดว่าความงามของน้ำเพชรก็แล้วแต่คนชอบ บางคนก็ชอบสีขาวไปเลย บางคนชอบแบบสีเหลืองอ่อนก็มี
3. Cut
บ่งบอกถึงเหลี่ยมหรือคุณภาพการเจียระไน และรูปทรงของเพชร รวมถึงสัดส่วน พื้นผิวและความสมมาตร ความงดงามในการเล่นไฟของเพชรเม็ดหนึ่ง ปัจจัยนี้ทีความสำคัญเช่นกัน
การเลือกเหลี่ยมเพชรเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุด เพราะจะส่งผลต่อความสว่างที่เกิดจากการสะท้อนแสงสีขาวภายในเพชร (Brilliance) การเล่นไฟที่จะทำให้แสงแพร่กระจายครบทั้งสเป็กตรัม (Fire) และความระยิบระยับที่เกิดขึ้นเมื่อขยับเพชรไปมา (Scintillation)
4. Clarity
คือความสะอาดของเพชร เพชรแท้แทบจะทุกเม็ดบนโลกนี้มีตำหนิทั้งสิ้น ไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านในก็ตาม เหมือนคนนั่นแหละค่ะ เรามักจะมีไฝที่มาตั้งแต่เกิดสักตำแหน่งนึงบนตัว ไม่ว่าจะนอกร่มผ้าหรือใต้ร่มผ้า เพชรก็เช่นกัน ตำหนิของเพชร เป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเพชรแต่ละเม็ด
ความสะอาดของเพชร จะแปรผันตรงกับมูลค่าของเพชร เพชรยิ่งใสสะอาดมากก็จะยิ่งมีราคาสูง โดยทั่วไป เพชรที่จำหน่ายอยู่ทั่วโลกกว่า 1 ใน 3 ล้วนแล้วแต่เคยผ่านการบวนการสมานแผลตำหนิจากห้องทดลองมาแล้วทั้งนั้น โดยการยิงเลเซอร์เส้นตรงลงสู่ตำหนิและเติมกรดผ่านท่อ เพื่อทำให้ตำหนิดูเล็กลง ซึ่งถึงแม้ว่าจะช่วยทำให้เพชรดูสวยงามยิ่งขึ้น แต่จะส่งผลทำให้มูลค่าของเพชรลดลง
กว่าจะมาเป็นเพชรที่ดีสักเม็ดนึง ไม่ใช้ง่ายเลย ทั้งกระบวนการคัดเลือก กำหนดมาตรฐานตามหลักสากล บวกกับคุณสมบัติเฉพาะตัว จึงไม่แปลกที่จะมีค่าสูง ไปค่ะไปซื้อเพชรกัน
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
