30 เม.ย. 2022 เวลา 17:07 • ความคิดเห็น
"Don't let anyone make you disappear"
เราเจอทวีตนี้แล้ว ชอบประโยคนี้มากจนรู้สึกว่า ตัวเราเองเคยเป็นคนตัวเล็กในความสัมพันธ์
เป็นอะไรที่เล็กมากๆ จนเหมือนฝุ่นละอองที่มองไม่เห็น ปากบอกไม่เป็นไร แต่ใจมันว่างเปล่าขึ้นทุกวัน จนต้องถามตัวเองว่า
เมื่อไหร่กันที่ฉันเริ่มมองไม่เห็นตัวเอง คนตรงหน้าฉันในกระจกคือใคร
เพราะ ความคิดที่เรียกว่า 'ความรัก' หรืออะไรที่ทำให้เรายึดติดและคิดว่ามันคือ 'ความรัก'
ความรัก...มันไม่ซับซ้อนหรอก เคยมีคนบอก "ถ้าคุณรู้จักธรรมชาติ คุณจะรู้จักความรัก" เมื่อก่อนเรามีแนวคิดที่เรียบง่ายและมองว่าเป็นเช่นนี้
เวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน เรามีความคิดที่โตขึ้น ค้นพบความสัมพันธ์ที่มากขึ้นในหลายรูปแบบจนเรียนรู้ว่า ความรัก มันไม่เรียบง่ายเหมือนธรรมชาติหรอก
'ธรรมชาติ' ไม่ซับซ้อน แต่ 'มนุษย์' เราซับซ้อนกว่า
เราค้นพบคีย์เวิร์ดหนึ่งของนักจิตวิทยาท่านหนึ่ง เลยขออนุญาตแปลเป็นไทยในฟีลลิ่งที่น่าจะใช้ได้กับกรอบความคิดนี้
คำ : อีริก ฟรอมม์
[Erich Fromm, 1900-1980]
นักจิตวิเคราะห์ นักปรัชญาทางสังคมชาวเยอรมัน
... คัดลอก/แปล : ME
"Love isn't something natural. Rather it requires discipline, concentration, patience, faith, and the overcoming of narcissism. It isn't a feeling, it is a practice."
"ความรักไม่ใช่อะไรที่เป็นธรรมชาติ ค่อนข้างจะมีบางอย่างคล้ายกฎปฏิบัติ ที่ต้องใช้ ความใส่ใจ ความอดทน มีศรัทธาต่อกัน สามารถอยู่เหนืออีโก้ของตัวตน มันไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึก หากแต่คือการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ"
"What does one person give to another? He gives of himself, of the most precious he has, he gives of his life. This does not necessarily mean that he sacrifices his life for the other—but that he gives him of that which is alive in him; he gives him of his joy, of his interest, of his understanding, of his knowledge, of his humor, of his sadness—of all expressions and manifestations of that which is alive in him. In thus giving of his life, he enriches the other person, he enhances the other's sense of aliveness by enhancing his own sense of aliveness. He does not give in order to receive; giving is in itself exquisite joy. But in giving he cannot help bringing something to life in the other person, and this which is brought to life reflects back to him."
"คนคนหนึ่งให้อะไรแก่อีกคน? เขาให้ตัวเขาเอง ให้สิ่งล้ำค่าที่สุดที่เขามี ให้ชีวิตของเขา ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเขาเสียสละชีวิตของเขาเพื่ออีกคน - แต่เขาให้ตัวตนที่มีชีวิตชีวาของเขา ให้ความรื่นเริง ยินดี ให้ความสนใจ เข้าใจ ความรู้ อารมณ์ขัน เสียงหัวเราะ ความรู้สึกเศร้า เสียใจของตน -ทุกการแสดงออก ความเป็นตัวตนที่มีชีวิต ของเขาทำให้อีกคนสมบูรณ์ขึ้น เขายกระดับความรู้สึกแห่งความมีชีวิตชีวาของอีกคนขึ้น เขาไม่ได้ให้เพื่อจะรอรับคืน แต่เป็นการให้ด้วยใจที่ปรารถนาดี
และในการให้นั้นช่วยไม่ได้ที่จะนำบางสิ่งบางอย่างไปสู่ชีวิตของอีกคน และบางสิ่งซึ่งถูกนำไปสู่ชีวิตนั้นก็ได้สะท้อนกลับมายังตัวเขาเหมือนกัน"
มีหลายประโยค หลายแนวคิด แต่สองประโยคนี้น่าจะอธิบาย ส่วนประกอบของความรักได้ดี
คนที่รักกันจะไม่ทำให้ใครคนหนึ่งรู้สึกหายไป
คนที่รักกันจะใส่ใจ และถนอมใจอีกฝ่ายเสมอ
คนที่รักกันจะรู้สึกตัวเท่ากันเสมอ พอมองกันแล้วสบายใจ ไม่มีคำถาม รู้สึกวางใจกันและกัน
วันใดที่คุณรู้สึก มีคำถามเกิดขึ้น มีความคิดบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกด้อยค่า ไร้ตัวตน คุณคิดว่า สิ่งที่คุณทำดี มอบให้อีกฝ่ายคือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมานั้น ทำให้คุณหดหู่ ซึมเศร้า คิดมาก และคุณยังอยากอยู่ในจุดนั้นต่อไป คุณสามารถอยู่ได้เท่าที่ใจต้องการ
เราจะรู้ว่ารักที่ไม่ใช่ รักนั้นจะทำร้ายเราซ้ำๆ จนเราตระหนักรู้และคิดได้ว่ามันคือรักที่ไม่ใช่ เค้าจะทำร้ายเราจนสะบักสะบอม กระหน่ำแทงเราซ้ำๆ จนเราตื่นขึ้นมา พอแล้วเจ็บพอแล้ว
แล้วเราจะออกจากจุดนั้น
ได้อย่างเด็ดขาด
หวังว่า คุณจะมองตัวเองในกระจกสักวันหนึ่ง มองให้ดีว่าคนในกระจก มีแววตาแบบไหน ร่องรอยของความสุขบนใบหน้ามีมากน้อยแค่ไหน สามารถยิ้มให้กับตัวเองได้อย่างสดใสหรือไม่
หวังว่า คุณจะไม่ใจร้ายกับคนที่อยู่กับคุณมาทั้งชีวิต แบ่งความรักที่มีให้คนอื่นอย่างมากมาย โดยที่เขาไม่เห็นค่าที่เรามอบให้ กลับมาให้กับตัวเองบ้าง
ตราบใดที่เรารักตัวเองมากๆ มันจะง่าย เราจะรู้ว่าใครรักเรา เราจะรู้เราควรรักใคร
หวังว่าคุณจะกลับมา มีแววตาที่สดใส ยิ้มให้กับตัวเอง มองตัวเองแล้วรู้สึกดีขึ้นทุกวันนะ ...
ผู้เขียนเจอคลิปนี้ จาก TikTok โดยบังเอิญ ซึ่งคำที่พิธีกรพูด ตรงกับสิ่งที่เราเขียนมาก แต่เราเขียนจากประสบการณ์จริง เลยมีความรู้สึก เข้าใจในอารมณ์นี้เป็นอย่างมาก
โฆษณา