1 พ.ค. 2022 เวลา 09:43 • การศึกษา
การเลือกคบคน
กัลยาณมิตร หรือเพื่อนที่ดี มีความสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต การคบใครซักคนที่จะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองผ่าน ดังคำกล่าวที่ว่า
อันเพื่อนดี เพียงหนึ่ง ถึงจะน้อย
ดีกว่าร้อย เพื่อนคิด ริษยา
เหมือนเกลือดี แม้มีน้อย ด้อยราคา
มีค่ากว่า น้ำเค็ม เต็มทะเล”
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
ตรงกันข้ามกับการคบเพื่อนไม่ดี ชีวิตก็มีแต่จะตกต่ำ หรือออกจากเส้นทางบุญกุศล ซึ่งเราก็อาจจะเคยได้รู้ได้เห็นจากข่าว หรือเหตุการณ์ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
เราจะเห็นว่าเพื่อนที่ดีแม้เพียงคนเดียว หากแต่มีอิทธิพลต่อความคิด คำพูด การกระทำ และการดำเนินชีวิตของเราซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นก็เกิด หรือเป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป
เหมือนความมีกัลยาณมิตร ย่อมยังกุศลธรรมที่ไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป
มีตัวอย่างในมหานารทกัสสปชาดกเล่าว่า ในสมัยหนึ่งมีพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า อังคติ ทรงเสวยราชสมบัติ ในกรุงมิถิลามหานคร ณ วิเทหรัฐ ทรงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการรบมาก เมื่อไปรบ หรือแสวงหาเมืองขึ้น ก็ทรงได้รับชัยชนะทุกครั้ง ในคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง พระเจ้าอังคติราชทอดพระเนตรเห็นดวงจันทร์แจ่มกระจ่าง ส่องสว่างกลางรัตติกาล ทรงมีความสบายพระทัย จึงปรึกษากับอำมาตย์ที่ปรึกษา ทั้ง 3 ท่าน ว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง เราควรจะเสด็จไปที่ไหนดี
คนที่ 1 อลาตมหาอำมาตย์ กราบทูลว่า ขอให้พระองค์จัดกองทัพ ไปรบกับข้าศึกตามหัวเมืองต่างๆ ที่ยังไม่ได้ขึ้นตรงต่อเมืองของเรา
คนที่ 2 สุนามอำมาตย์ ทูลขึ้นว่า ในเมื่อพระองค์มีทรัพย์สมบัติมากมายแล้ว ควรแสวงหาความสุขจากสมบัติเหล่านั้นให้เต็มที่ สมกับความเหนื่อยยาก ที่ได้ออกไปรบทัพจับศึก และได้ชัยชนะกลับมา
เมื่อพระราชาสดับถ้อยคำของอำมาตย์ทั้งสองท่านแล้ว ทรงนิ่ง ยังไม่ตัดสินพระทัยอะไร
คนที่ 3 วิชัยอำมาตย์ กราบทูลว่า เราควรเข้าไปหานักปราชญ์ผู้ทรงความรู้ สนทนาธรรมกับท่าน เพื่อประดับสติปัญญาเถอะพระเจ้าข้า
เมื่อพระเจ้าอังคติราช สดับเช่นนั้น ทรงเห็นดีด้วย
อลาตมหาอำมาตย์จึงแนะว่า มีนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ซึ่งเขาลือกันว่าเป็นพหูสูต พูดจาไพเราะ เป็นเจ้าคณะ พวกเราน่าจะไปกราบท่าน เมื่อสดับดังนั้น พระราชาทรงเห็นชอบ จึงรับสั่งให้จัดขบวนทัพเข้าไปหาอเจลกะ พอเสด็จไปถึง ก็ได้สนทนากันในเรื่องของการทำบุญ ให้ทาน ว่ามีผลเป็นอย่างไร บุญบาปมีจริงไหม อเจลกะ บอกว่า การทำความดีมันไม่ดีหรอก คนเราเมื่อทำความชั่ว หรือทำความดี พอทำไปถึงระยะหนึ่งแล้ว ประมาณ 84 กัป ทุกคนก็จะบริสุทธิ์หมด เพราะฉะนั้น ผลของการทำความชั่วความดีไม่มี
พระราชาทรงสดับเช่นนั้น ก็หลงเชื่อ เพราะทรงเข้าพระทัยว่า บุคคลผู้ไม่มียางอาย มีหนวดเครายาว ไม่ได้นุ่งห่มเสื้อผ้าอาภรณ์อะไรเลย คงจะเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว จึงดำริว่า จริงสินะ สมัยก่อนเราเคยคิดว่า บุญบาปมีจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง เราคิดผิดไปแล้ว เราจะต้องเลิกทำความดีทุกอย่าง เมื่อเสด็จกลับถึงพระนคร จึงรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งหมด จัดงานรื่นเริงภายในพระราชวัง หลังจากนั้น พระราชาก็ไม่ออกว่าราชการอีกเลย ทรงประพฤติผิดศีลธรรมอยู่เป็นนิตย์
จนกระทั่งถึงวันพระขึ้น 15 คํ่า พระราชธิดาพระนามว่า รุจาราชธิดา ซึ่งเป็นผู้ใฝ่ในธรรม เข้ามากราบทูลพระราชาให้ทำทานแก่พวกยาจก แต่ก็ได้รับการปฏิเสธว่า ลูกเอ๋ย สมัยก่อนพ่อให้ทรัพย์ลูก ครั้งละ 1 พัน กหาปณะ ให้เจ้าไปทำบุญ พ่อว่า พ่อคิดผิดแล้วละ เพราะพ่อไปถามพระอรหันต์มาแล้ว ท่านบอกว่าการทำความดีไม่มีผลหรอก ทำความชั่วมันก็ไม่มีผล เมื่อไปถึงระยะหนึ่งแล้วจะบริสุทธิ์เอง
แล้วยกตัวอย่างขอทานคนหนึ่ง ที่ได้ยืนยันถึงถ้อยคำของอเจลกะในครั้งที่ได้เข้าไปสนทนาถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษในครั้งนั้น ซึ่งขอทานนั้น ได้กล่าวว่า ข้าพระองค์ขอยืนยันว่า บาปบุญคุณโทษไม่มี เพราะข้าพระองค์สามารถจะระลึกชาติได้ 1 ชาติ
สมัยก่อน ข้าพระองค์เป็นเศรษฐีในเมืองแห่งหนึ่ง ตั้งใจหมั่นทำบุญทำทานไม่เคยขาด แล้วทำไมชาตินี้ ข้าพระองค์ถึงกลายเป็นคนขอทาน ทำไมความดีที่ทำเอาไว้ถึงไม่ส่งผล ต่อจากนั้น พระราชาก็ได้ตรัสเล่าเหตุการณ์ในอดีตของอลาตมหาอำมาตย์ ผู้ระลึกชาติได้ 1 ชาติ ยืนยันว่า ในชาติที่แล้ว ตนเป็นนายพรานฆ่าโค เอาเนื้อมาขายในตลาด ทำกรรมอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิต แต่ทำไมผลกรรมที่ข้าพระองค์ทำนั้น ไม่เห็นตามส่งผลเลย ชาตินี้ ได้เป็นอำมาตย์ เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ แสดงว่าผลของการทำความชั่วไม่มี
ฝ่ายพระราชธิดาเอง ก็สามารถระลึกชาติในอดีตได้ถึง 7 ชาติ แล้วยังระลึกชาติในอนาคตได้อีกถึง 7 ชาติ ได้กราบทูลพระราชาว่า สองคนนั้นระลึกชาติได้เพียงแค่ชาติเดียวเท่านั้น ความเห็นยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ เพราะว่า การที่ขอทานเขาระลึกชาติได้ว่า สมัยหนึ่งเป็นเศรษฐี และอดีตชาติของเศรษฐีคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยทำวิบากกรรมขัดลาภของพระอรหันต์รูปหนึ่ง ผลกรรมนั้น จึงส่งผลให้กลายเป็นขอทาน ส่วนท่านอำมาตย์ที่เคยเป็นคนฆ่าโค เพราะว่าในภพชาติก่อนหน้านั้น ได้เอาดอกอังกาบไปบูชาที่พระเจดีย์ ผลบุญนั้น จึงส่งผลให้เป็นมหาอำมาตย์
พระราชาแม้ได้สดับเช่นนั้น ก็ไม่ทรงเชื่อพระธิดา เพราะถือว่าคำพูดของอเจลกะ
ที่ตัวเองนับถือนั้น เป็นจริงกว่า ฝ่ายราชธิดารู้ว่าพระบิดาทรงคบคนพาล ทำให้กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงอธิษฐานจิตว่า ถ้าหากว่าผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมีอยู่จริง ก็ขอให้มาช่วยแก้ทิฏฐิของพระบิดาด้วยเถอะ
ในขณะนั้นพระพรหม ชื่อ นารทะ ได้ทราบด้วยญาณของท่าน ด้วยหัวใจของความเป็นยอดกัลยาณมิตร จึงอันตรธานจากพรหมโลก มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระราชา พระราชาเห็นแสงสว่างเกิดขึ้น ก็ตกพระทัยไม่สามารถจะดำรงอยู่บนราชอาสน์ของพระองค์ได้ จึงเสด็จลงจากราชอาสน์ ประทับยืนอยู่ที่พื้น ตรัสถามพรหมนารทะว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน
นารทพรหม จึงบอกว่า เราเป็นพรหม ที่มาคราวนี้ก็จะมาเตือนพระราชาว่า เรื่องการทำความดี ความชั่วนั้นมีจริง พระราชาตรัสว่า ถ้ามีจริงอย่างนั้น ข้าพเจ้าขอยืมทรัพย์ 500 กหาปณะกับท่าน แล้วจะใช้คืนให้ท่าน 1,000 กหาปณะในชาติหน้าก็แล้วกัน นารทพรหมบอกว่า หากท่านยืมไปแล้ว คงไม่มีโอกาสคืนให้ข้าพเจ้าได้หรอก เพราะว่าท่านมัวประพฤติผิดศีลผิดธรรมอยู่อย่างนี้ เมื่อตกนรกแล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืนข้าพเจ้า จากนั้น นารทพรหมก็ได้พรรณนาถึงความทุกข์ทรมานในนรก ให้พระราชาได้สดับ
พระราชาสดับแล้วสลดพระทัย เกิดความเกรงกลัว จึงขอร้องให้นารทพรหม บอกหนทางไปสวรรค์ ให้แก่พระองค์ นารทพรหมจึงแสดงหนทางไปสวรรค์ว่า ถ้าจะพ้นจากนรกได้ต้องทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา มีเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อทำได้อย่างนี้ จึงจะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป
อาศัยมหากรุณาของนารทพรหม มาช่วยเป็นกัลยาณมิตรให้ในครั้งนั้น ทำให้พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ต่างหันกลับมาปกครองประเทศชาติโดยธรรม และหมั่นสั่งสมบุญตามที่ได้รับคำแนะนำ เมื่อละโลกแล้วก็ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์
เราจะเห็นว่า การคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตของเรา ผู้คนในโลกนี้มีมากมาย มีทั้งคนพาล และบัณฑิต มีทั้งมิตรแท้ และมิตรเทียม การที่บุคคลจะพบกับความก้าวหน้าในชีวิต จำเป็นจะต้องคบหากัลยาณมิตร และเมื่อพบผู้เป็นกัลยาณมิตรอย่างนี้ จึงควรที่จะเข้าหาทำความสนิทสนม คุ้นเคยไว้ เพราะตัวเราเองจะได้มีกัลยาณมิตร คอยชี้แนะ ประคับประคองให้อยู่บนเส้นทางของความดีได้ ถ้าเราคบกับใครแล้ว คนๆ นั้น ก็มีส่วนในการตัดสินใจให้ตัวเรา หรือบางครั้งอาจมีอิทธิพลต่อเราเป็นอย่างมากก็ได้ เข้าทำนอง “ศีลเสมอแล้วเจอกัน” หากคบคนพาลเราก็จะพลอยติดนิสัยพาลกับเขาไปด้วย และหากคบบัณฑิตก็จะมีนิสัยดีๆ ติดตัวไปเช่นกัน
ขอบคุณภาพ : https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12957
ดังนั้น หากปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต ก็ต้องรู้จักเลือกคบหาสมาคมกับนักปราชญ์บัณฑิต ต้องใช้สติปัญญาเลือกคบแต่คนดี จากนั้น ก็ทำตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนอื่นเป็นแสงสว่างให้กับชาวโลก โลกนี้จะได้สว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรมตลอดไป
อ้างอิง : (ขุ.ชา. (ไทย) 28/ 1153-1345/ 363-390 มจร.)
เอื้อยทิน บอกเว่าเล่าสู่ฟัง
1
โฆษณา