3 พ.ค. 2022 เวลา 10:39
วิทยาศาสตร์คืออะไร?
คำถามง่ายๆที่ว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร หลายๆคนคงตอบว่า วิทยาศาสตร์ก็คือวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ในขณะที่ดนตรี ศิลปะ ศาสนา ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่หากเราคิดทบทวนอีกสักรอบ เราไม่ได้ถามถึงศาสตร์หรือสาขาที่มักถูกเรียกว่า “วิทยาศาสตร์” แต่เรากำลังพูดถึงอะไรที่เป็นจุดร่วมของศาสตร์เหล่านั้นที่ทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์
แน่นอนว่าวิทยาศาสตร์ถูกใช้เพื่อตอบคำถาม อธิบายและทำนายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น หากพูดเพียงเท่านี้สาขาอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน ศาสนาก็สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ได้และบางทีอาจไปไกลกว่าที่วิทยาศาสตร์ในขณะนั้นจะตอบได้ หรือหมอดูก็สามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มิหนำซ้ำยังทำนายเป็นรายบุคคลแต่ศาสตร์เหล่านี้ก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ หลายคนเชื่อว่าจุดต่างของศาสตร์เหล่านี้คือกระบวนการ (methods) ที่ใช้ในการสืบเสาะความรู้
กระบวนการที่นักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่วิทยาศาสตร์ยุคเก่าพัฒนามาเป็นวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ (Modern Science) คือ การทดลอง (experiments) แม้ในบางครั้งเราไม่อาจทดลองได้ตรงๆ แต่นักวิทยาศาสตร์มีกระบวนการการสังเกตการณ์ (observation) แล้วจดบันทึกข้อมูลด้วยความระมัดระวัง วิเคราะห์ออกมาในเชิงตัวเลขเพื่อสามารถนำไปตีความต่อทางสถิติได้หรือด้วยวิธีต่างๆ อีกจุดที่สำคัญคือ ทฤษฎี (theory)
ทฤษฎีไม่ใช่ตำราความรู้สำเร็จรูปที่จะถูกต้องเสมอไป บางครั้งทฤษฎีเหล่านี้ก็ถูกทฤษฎีใหม่ๆมาล้มล้างไป แล้วเราจะเชื่อถือทฤษฎีไหนดี งานในการมาตรวจสอบการได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านขั้นตอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองหรือการสังเกตการณ์เป็นหน้าที่ของปรัชญาวิทยาศาสตร์ (Philosophy of Science)
ไม่ว่าจะในชั้นเรียนมัธยมศึกษาหรืออุดมศึกษา เรามักเรียนวิทยาศาสตร์ในรูปแบบไอเดียหลักในวิทยาศาสตร์ (key ideas of a scientific) แต่การที่เราศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์นั้นจะทำให้เราเห็นปัญหาที่เหล่านักปรัชญาวิทยาศาสตร์สนใจ ซึ่งจะกล่าวถึงปัญหาเหล่านี้ในครั้งต่อๆไป เราจะเห็นได้ชัดเจนจากประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ที่ได้ปฏิวัติความเข้าใจจักรวาลวิทยา (Cosmology) แบบ Aristotelianism ที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล นำไปสู่การวางรากฐานกลศาสตร์ (Mechanics) แบบคาร์ทีเชียนและนิวโตเนียนในเวลาต่อมา
พระเจ้าชาร์ลที่ 2 มีพระราชโองการให้จัดตั้งราชสมาคมแห่งลอนดอน
วางรากฐานให้กับการศึกษาธรรมชาติตลอด 300 ปี จนกระทั่งการเกิดขึ้นของทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relativity) และฟิสิกส์ควอนตัม (Quantum physics) ที่มาอธิบายปรากฏการณ์ที่กรอบคิดแบบนิวโตเนียนอธิบายได้ไม่สมบูรณ์แบบ หลายครั้งที่สิ่งเหล่านี้ขัดกันสามัญสำนึกของเรา ดูไปดูมาเหมือนจะมีแต่สาขาฟิสิกส์ซึ่งไม่แปลกเพราะสุดท้ายฟิสิกส์ก็ดูจะเป็นรากฐานของหลายๆ สาขาในวิทยาศาสตร์ แต่การเสือทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดสรรตามธรรมชาติ (The theory of evolution by natural selection) ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อวงการชีววิทยา
ไม่เพียงเท่านั้นการค้นพบ DNA ซึ่งเป็นสารพันธุกรรม คอยทำหน้าที่ถ่ายทอดลักษณะต่างๆจากรุ่นสู่รุ่น ได้มาเติมเต็มสิ่งที่ทฤษฎีวิวัฒนาการอธิบายไม่ได้ว่า ลักษณะที่ถูกคัดสรรนั้นมีการถ่ายทอดอย่างไร การค้นพบ DNA สร้างการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดให้กับสาขา Molecular biology เกิดงานมากมายที่พยายามเเกะรหัส ไขความลับของมนุษย์
Watson และ Crick ผู้ค้นพบโครงสร้าง DNA
วิทยาศาสตร์มีการวางระเบียบแบบแผนในการศึกษาที่ชัดเจนมากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาสาขาอื่นๆ ที่ศึกษาด้วยกระบวนการคล้ายกันแต่วิธีการอาจแตกต่างกัน เพราะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อาจไม่เหมาะกับสาขาอื่น เพียงแต่สาขาเหล่านั้นนำเอาแนวคิดไปใช้ ไม่ว่าจะเป็น จิตวิทยา (Psychology) ที่พัฒนาไปเป็น Cognitive Science
ในช่วงศตวรรษที่ 20 เพื่อศึกษาความทรงจำ ความรู้สึกของคน มองว่าสมองเราเหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง การใช้ neuroscience มาช่วงในการวิเคราะห์การทำงานของสมองด้วยวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย เสริมการทำให้เพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่ สังคมศาสตร์ (Social Sciences) เช่น เศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยาและสังคมวิทยา เกิดขึ้นช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นศึกษาสังคม การเกิดขึ้นมาของศาสตร์เหล่านี้ใช้ระเบียบวิธีการ (methodology) ซึ่งแสวงหาความรู้ต่างจากจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural science)
เมื่อเราพูดถึงกระบวนการเหล่านี้แล้ว ใครจะมาตรวจสอบกันว่าการแสวงหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์น่าเชื่อถือดังที่เล่าในตอนต้น หน้าที่นี้ตกเป็นของนักปรัชญาแทนที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะ มุมมองทางปรัชญามองเห็นจุดโหว่ของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์บางประการ เเละนักวิทยาศาสตร์มีหน้าที่ในการแสวงหาองค์ความรู้ ซึ่งก็ยากพอตัวอยู่แล้วว่า
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆที่ยากจะยืนยันคำตอบ จินตนาการเมื่อคุณทดลองหยิบลูกบอลจากกล่องทึบที่คุณไม่มีทางรู้ว่าจะหยิบได้สีอะไร คุณหยิบมาครั้งแรกปรากฏว่าเป็นสีดำ ครั้งต่อๆมาก็เป็นสีดำ หยิบเป็นสิบครั้งก็ได้สีดำ คุณจึงสรุปว่าลูกบอลในกล่องเป็นสีดำทั้งหมด นักปรัชญาจึงเดิมเข้ามาถามคุณว่า คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าลูกต่อไปจะไม่ใช่สีอื่นที่ไม่ใช่สีดำ การด่วนสรุปแบบนี้อาจทำให้เราละเลยกระบวนการบางประการไป
การหยิบลูกบอลสีดำ
นักปรัชญากลุ่มนี้พัฒนาวิธีการเพื่อมาเป็นผู้คอยตรวจสอบนักวิทยาศาสตร์ว่า การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์น่าเชื่อถือหรือไม่ วิธีการสรุปและการให้เหตุผล เราเรียกการตรวจสอบดังกล่าวว่า ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ( Philosophy of Science ) ศาสตร์แห่งการวิเคราะห์กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ น่าเสียดายที่ปรัชญาวิทยาศาสตร์นี้ถูกละเลยโดยนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เพราะมองว่าเราจะเสียเวลาไปตรวจสอบผลการทดลอง สังเกตการณ์หรือการคำนวณไปทำไม ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องย้อนมาตรวจสอบวิทยาศาสตร์และบอกให้ได้ว่าอะไรเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ ความรู้วิทยาศาสตร์ที่ได้มาหรือที่มีอยู่น่าเชื่อถือและถูกต้องขนาดไหน ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์จะปรากฏเมื่อคุณตั้งคำถามกับทุกสิ่งและตรวจสอบการค้นพบนั้นเสมอ
อ้างอิงหนังสือ Philosophy of Science:A Very Short Introduction
โฆษณา