3 พ.ค. 2022 เวลา 05:35 • ธุรกิจ
#BrandHistory เปิดตำนาน ‘นันยาง’ จากเสื่อผืนหมอนใบ สู่รองเท้าพื้นเขียวสุดฮิต
ถ้าจะพูดถึงรองเท้าผ้าใบสุดอึดถึกทนที่หลายคนเคยใส่โดยเฉพาะในวัยเรียน แบรนด์ระดับตำนานที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น ‘นันยาง’
แต่เอาเข้าจริงๆ กว่าจะกลายเป็นรองเท้าผ้าใบสุดเก๋าที่อยู่คู่คนไทยมาได้ราว 68 ปี นันยางก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ฝ่ามรสุมมาไม่น้อยเลยทีเดียว
เรื่องราวของ ‘นันยาง’ มีที่มาที่ไปอย่างไร TODAY Bizview ชวนไปเปิดตำนานแบรนด์สุดเก๋านี้กัน
จุดเริ่มต้นของนันยางมาจากเด็กหนุ่มชาวจีนวัย 15 ปี ที่ในวันนี้เขามีชื่อว่า “วิชัย ซอโสตถิกุล” เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากจีนแผ่นดินใหญ่ หอบเสื่อผืนหมอนใบสู่สยามในราปี 2460
เริ่มแรกเขาไม่ต่างจากคนจีนส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ในไทย คือไปทำงานเป็นลูกจ้าง ค่อยๆ เก็บเงิน จนในที่สุดก็สามารถเปิดธุรกิจของตัวเองได้ดังใจหวัง
บริษัทที่เขาเปิดมีชื่อว่า “บริษัท ฮั่วเซ่งจั่น จำกัด” เป็นธุรกิจซื้อมาขายไป มีออฟฟิศเป็นอาคาร 2 ชั้น แถวสะพานพุทธ
13 ปีจากวันเริ่มต้นธุรกิจ ฮั่วเซ่งจั่นก็เจอกับความท้าทายแรกคือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้ทำธุรกิจได้ยากลำบากเพราะเศรษฐกิจชะลอตัว มีการทิ้งระเบิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ส่งผลต่อความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต
แต่หลังจากผ่านพ้นมรสุมนี้มาได้ ธุรกิจของเขายังคงมั่นคงและเติบโต จนปี 2491 ก็ตั้งบริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด ย้ายออฟฟิศไปย่านตลาดน้อย
และพัฒนาธุรกิจไปสู่การค้าขายกับต่างประเทศ นำเข้า-ส่งออกสินค้าหลายชนิด และร่วมทุนธุรกิจกับชาวสิงคโปร์
โดยหนึ่งในสินค้าที่นำเข้าจากสิงคโปร์คือ รองเท้าผ้าใบ รุ่น 500 ผ้าสีน้ำตาล พื้นยางสีน้ำตาล ภายใต้ชื่อแบรนด์ “หนำเอี๊ย” ขายในราคาคู่ละ 12 บาท
ด้วยความที่ทนทานต่อการใช้งาน รองเท้าหนำเอี๊ยได้รับการตอบรับดีมาก ทำให้บริษัทเปลี่ยนกลยุทธ์จากขายของหลายอย่าง มาเป็นขายรองเท้าเป็นหลัก
1
รวมถึงเปลี่ยนชื่อแบรนด์จากการผันเสียงภาษาจีนแต้จิ๋ว มาเป็น “หนันยาง” ในภาษาจีนกลาง ซึ่งฮิตติดปากคนไทยเป็น “นันยาง” นั่นเอง และนี่คือจุดเริ่มต้น “รองเท้าสุดเก๋า” ที่ใครๆ ก็รู้จัก
ต่อมาประเทศไทยมีนโยบายเชิญชวนให้คนไทยใช้ของไทย “วิชัย ซอโสตถิกุล” เลยตัดสินใจซื้อกิจการและกรรมวิธีการผลิตจากสิงคโปร์ แล้วก่อตั้งเป็นบริษัท ผลิตยางนันยาง (ไทย) จำกัด
เขาตั้งโรงงานบนพื้นที่กว่า 4 ไร่ บนถนนเพชรเกษม ย่านภาษีเจริญ นำเข้าบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสิงคโปร์มา และราว 6 ปีให้หลัง ก็เริ่มผลิตรองเท้าคู่แรก “นันยางตราช้างดาว” ในไทย ประทับตรา Made in Thailand
จากนั้นราว 4-5 ปี นันยางภายใต้วิชัยและภรรยา ก็พัฒนาและปรับกระบวนการผลิต แตกไลน์สินค้าใหม่สู่ “รองเท้าแตะตราช้างดาว” รุ่น 200 มี 2 สีให้เลือกคือ สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน ขายคู่ละ 15 บาท และแน่นอนว่ากระแสตอบรับดีเช่นเคย
แล้วผ้าใบพื้นยางสีเขียวที่ใส่เดินไปไหนก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปกับทุกพื้นผิว เริ่มต้นขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร?
หลังจากเปิดตัวรองเท้าแตะไปได้เพียง 1 ปี ทายาทรุ่นที่ 2 “เพียรศักดิ์ ซอโสตถิกุล” คัมแบ็กจากอังกฤษ ก็สานต่อกิจการด้วยการต่อยอดพัฒนารองเท้าพื้นสีเขียวขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์นักแบดมินตันโดยเฉพาะ
โดยรุ่นแรกของรองเท้าผ้าใบพื้นเขียวนี้คือ 205-S
ซึ่งด้วยความที่คร่ำหวอดในวงการแบดมินตัน ทำให้เพียรศักดิ์เข้าใจความต้องการของนักกีฬาชนิดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง แม้จะสร้างความแปลกใหม่ในเรื่องของสี แต่คุณสมบัติก็ตอบโจทย์ได้อย่างตรงเป้านักกีฬา
1
หลังจากนั้นกลุ่มลูกค้าก็ขยายวงกว้างมากขึ้น ไปสู่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ นักกีฬาประเภทอื่นๆ การเกษตร อุตสาหกรรม อาชีพรับจ้าง รวมถึงการขนส่ง เรียกได้ว่าแทบจะทุกวงการต้องเคยได้ลองสัมผัส
กระทั่งปี 2515 นันยางก็เล็งเห็นตลาดใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพที่มีจำนวนมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรไทย และแทบจะมีจำนวนคงที่ในทุกๆ ปี ก็คือกลุ่มนักเรียน
นันยางขยายตลาดไปสู่กลุ่มนี้ จนฮิตติดตลาดเรื่อยมา มากไปกว่านั้น รองเท้านันยางยังตอบโจทย์กลุ่มกีฬาตะกร้อด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่นักกีฬาตะกร้อไทย แต่ยังติดใจนักกีฬาประเทศเพื่อนบ้านด้วย
เมื่อดีมานด์สูงขึ้น บริษัทก็ขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งศูนย์การผลิตแห่งใหม่ย่านบางแค และยังจัดตั้งบริษัทอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ตามลำดับ และย้ายสำนักงานใหญ่มาที่ถนนสี่พระยา ย่านบางรัก
แม้ดูเหมือนจะไปได้สวย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคใหม่ที่กระแสต่างๆ ถาโถมเข้ามา นันยางเองก็ต้องปรับตัวรับเทรนด์ใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
ภายใต้เจเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง “ชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล” และน้องเล็กรุ่นที่ 3 “จักรพล จันทวิมล” พวกเขาพานันยางปรับตัวด้วยการนำกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ เข้ามาเสริมคุณภาพซึ่งเป็นความแข็งแกร่งของแบรนด์อยู่แล้ว
พวกเขาทำอะไรรับเทรนด์และกระแสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบ้าง ลองมาดูกัน
-ตอกย้ำเรื่องวัสดุ ที่ว่ารองเท้าของนันยางทุกคู่ใช้ยางพาราไทย 100%
-ออกรองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียนหญิง เจาะตลาดกลุ่มใหม่
-ออกรองเท้าแตะช้างดาวรุ่นสำหรับพระสงฆ์
-ออกรุ่น Nanyan Red สำหรับแฟนๆ ลิเวอร์พูล
-ช่วงกระแสรักษ์โลกมาแรง นำรองเท้าแตะช้างดาวกับขยะรองเท้าแตะทั่วไป มา Upcycled แตกไลน์สู่รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นอย่าง KHYA (ขยะ) รองเท้ารักษ์โลกสุดเก๋
-เปิดตัวกระเป๋า “Nanyang Bag 2020” ที่นำเอาป้ายไวนิลโฆษณามารีไซเคิล
-เกาะกระแสกลุ่มตลาดออนไลน์ของจุฬาฯ และ มธ. เปิดตัวรองเท้าแตะรุ่น COVID Edition เวอร์ชั่นลูกแม่โดม-รั้วจามจุรี
-ช่วงโควิดออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “Nanyang Have Fun” คือ รองเท้าผ้าใบนักเรียนที่ไม่ต้องผูกเชือก ตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ ลดโอกาสสัมผัสเชื้อโรคลง
-นำแบรนด์ช้างดาวร่วมกับห่านคู่ ออกสินค้าที่มีการออกแบบร่วมกัน คือ เสื้อ กระเป๋า รองเท้า ในชื่อรุ่นว่า Legendary Edition
และนี่ก็คือเรื่องราวของ ‘นันยาง’ ที่ยืนหยัดอยู่ได้จากจุดเริ่มต้นของการมองเห็นโอกาส สร้างความสำเร็จด้วยคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า และคงความเก๋าให้อยู่ได้ทุกยุคสมัยด้วยการปรับตัวและทำความเข้าใจผู้บริโภคนั่นเอง
#TODAYBizview
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
1
ติดตาม TODAY Bizview จากทีม workpointTODAY
ไม่พลาดข่าวธุรกิจ การตลาด การเงิน เทคโนโลยี
กับเพจ TODAY Bizview https://www.facebook.com/todaybizview
ติดตามรายการ TOMORROW เทรนด์สำคัญของโลกเพื่อวันพรุ่งนี้
ติดตามรายการของ workpointTODAY
ติดต่อโฆษณาอีเมล advertorial@workpointnews.com
โฆษณา