6 พ.ค. 2022 เวลา 18:56 • ความคิดเห็น
ผมขออนุญาติตอบแบบไม่ตรงคำถามนะครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากธรรมมะ คือ การที่เราตั้งใจจะทำอะไรซักอย่าง
เราต้องทำสิ่งนั้นเหมือนดั่งสายน้ำ ที่ทำอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่รวดเร็วร้อนแรง
เหมือนไฟ ที่ลุกโชน และเบาบางลง หรือดับไปเลยตามกาลเวลาครับ
จากประสบการณ์ชีวิตผมนะครับ ที่เรียนจบ ป.ตรี และอยู่ในวัยทำงานแล้ว
สิ่งแรกที่ผมอยากเกริ่นเริ่มต้นสั้นๆก่อนคือ
ถ้าเราส่งตัวเองเรียนหนังสือด้วยเงินของเราเอง และรู้ว่าชีวิตจริงตอนทำงานถ้าไม่มีความสามารถมากพอก็ยากที่จะหางานเงินเดือนดีๆได้ครับ (ไม่นับเส้นสายนะครับ)
ยิ่งคุณมีชีวิตที่ลำบากมากขึ้น ตอนที่ออกมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงในโลกทุนนิยมนี้ คุณเห็นคุณค่าและมีไฟในการเรียนหนังสือแน่นอนครับ
เรื่องตลกร้ายที่ชีวิตผมทำตัวเองคือ
สมัยเด็กๆ ครอบครัวผมฐานะค่อนข้างดี (แต่ไม่ถึงกับเศรษฐีนะครับ) แม่ผมก็ส่งเรียนโรงเรียนเอกชนตอนประถม พอถึงมัธยมและมหาวิทยาลัยเป็นรัฐบาลครับ
ซึ่งผมไม่ได้จะสื่อเกี่ยวกับเอกชนหรือรัฐบาลนะครับ
ตอนนั้นแม่ผมเคยจ้าง เพื่อนแม่มาสอนภาษาอังกฤษที่บ้าน เป็นระยะเวลานานพอสมควร
แต่ผมก็ไม่ตั้งใจเรียน เรียนแบบคนขี้เกียจ ไม่ได้ตั้งใจที่อยากจะเก่งขึ้น
พอผมเข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนเอก ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ตั้งใจเรียนอีก จบมาแบบเกรดเฉลี่ย 2 ต้นๆมาตลอดชีวิต
ที่ผมจะสื่อคือ ผมมีโอกาสที่จะได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่เนื่องจากแม่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ ผมซึ่งขี้เกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่เห็นคุณค่า ของโอกาสดีๆที่ผมได้รับมา
ผมมาสำนึกจริงๆ ตอนสถานะทางการเงินของครอบครัวย่ำแย่ไม่เหลือชิ้นดีเรียบร้อยแล้ว
พอมาหางานทำด้วยความที่เรียนจบแบบขอผ่านไปทีแบบผม เงินเดือนเริ่มต้นตอนปี 2556 คือ 11,000 บาท ทำงานจันทร์ถึงเสาร์ หยุดวันอาทิตย์วันเดียว
พอความลำบากมาถึงตัว คนในครอบครัวที่ไม่เห็นคุณค่าของเงิน เบียดเบียนกันเองจนลืมตาอ้าปากไม่ได้ สมัยนั้นยังไม่มีโควิดระบาด ผมเก็บขวด เศษกระดาษ ที่ใช้แล้วหรือของคนรอบตัว เพื่อขายแลกเศษเงินไม่กี่บาทก็ยังดี เดินไปทำงานเป็นกิโลเพื่อประหยัดค่ารถ 7 บาทในแต่ละวันก็ต้องทำ
ตลกร้ายที่สุด ไม่นานมานี้ พอผมลงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ โดยใช้เงินที่ตัวเองหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ผมกลายเป็นเด็กตั้งใจเรียนทันทีเลยครับ อยากเข้าเรียนให้มากที่สุดเพื่อคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ทั้งๆที่ตอนแม่ส่งเสียให้เรียน มีเวลาว่างอย่างเยอะแต่กลับไม่ตั้งใจเรียน พอมาตอนนี้วัยนี้ต้องกระเสือกกระสนหาเจียดเวลามาเรียนให้ได้ไม่ว่าจะยุ่งเท่าไรก็ตาม
และตลกร้ายกว่าที่สุดอีกคือ เพื่อนๆที่เรียนจบมหาวิทยาลัยคณะเดียวกันรวมถึงรุ่นน้อง เรียนจบมาทำงานพูดภาษาอังกฤษกันไฟแลบเลยครับ ไม่ต้องไปหาคอร์สเรียนอะไรเพิ่มเลย แต่ผมที่มีโอกาสมากมาย ตอนนี้ต้องมาเสียเงินเรียนเพิ่มอีก แต่ได้แค่ งูๆปลาๆ
ผมพูดไปผมยังสมเพช ตัวเองเลยครับ
ผมหวังว่าหลังจากอ่านเรื่องของผมแล้ว ถึงจะเพ้อเจ้อไปบ้าง แต่น่าจะพอช่วยให้เห็นความ
สำคัญของการมีไฟในการเรียนหนังสือเพื่ออนาคตที่ดีกว่าผมนะครับ
ขอให้คุณโชคดี กับทั้งการเรียน วัยทำงานในอนาคต และกับการดำเนินชีวิต นะครับ
โฆษณา