30 พ.ค. 2022 เวลา 11:00 • ท่องเที่ยว
นครนิวยอร์ก

ได้เวลาออกเดินทางกันแล้วกับซีรีส์อเมริกา ไปดูกันว่าทริปนี้จะพาไปเที่ยวที่ไหนมั่ง

Chapter 42/1: My Trip Has Started
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราได้เดินทางอีกครั้ง เดินทางจริงๆ นะ ไม่ได้เที่ยวสั้นๆ 2–3 วันเหมือนที่ผ่านมา เพราะเรากำลังจะไป "อเมริกา" 🎉🤩
ในที่สุดทริปที่รอคอยมากว่า 2 ปีก็เป็นจริงซะที เราได้มาเที่ยวเมกาละจ้า มาคราวนี้เลยจะขอเจาะเที่ยวให้นานขึ้นอีกนิ๊ดสสสเท่าที่จะทำได้คือประมาณ 16 วัน (มากสุดก็แค่นี้แหละ 😭)
Blog นี้เราขอเขียนเป็น series ซะเลย เพราะกะจะเล่าแบบละเอียดๆ สำหรับคนที่ชอบอ่านโดยเฉพาะ เพราะ Blog ต่างๆ ที่ผ่านมาล้วนเกิดขึ้นมาจากความไม่ได้เตรียมตัวที่จะเขียน Blog มาก่อน เรื่องเล่า รูปประกอบก็เลยไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ มางวดนี้กะแก้มือ จะเป็น blogger ที่เล่าเรื่องให้ดีขึ้นกว่าเดิม ถ่ายภาพให้สวยกว่าเดิม ขอให้ผู้อ่านที่รักช่วยอดทนอ่านหน่อยนะคะ 😊
สมาชิกของทริปก็เช่นเคย พี่สาว พี่เขย และหลานสาว โดยเราจองตั๋วเครื่องบินตั้งกะเดือน ส.ค. ปีที่แล้วโน่นนนน เพื่อที่จะบินเดือน เม.ย. 2022 เพราะคาดกันว่าสถานการณ์ Covid คงต้องดีขึ้นแล้วแน่ๆ
แต่ช่วงสิ้นปีก็มีให้ลุ้นอีก เพราะเจ้า Omicron ดันโผล่มา surprise ชาวโลกอีกตัว แต่ความที่มันไม่สร้างความเสียหายมากเท่ากับสายพันธ์ุอื่น ประเทศต่างๆ ก็เลยเริ่มผ่อนคลายมาตรการของตัวเองเพื่อเตรียมตัวรับนักท่องเที่ยวกันทันที
และโชคดีมากๆ ที่อเมริกาก็เป็นประเทศแรกๆ ที่ประกาศว่าข้าไม่กลัว Covid ละเฟร้ย ไม่ต้องใส่หน้ากากในที่สาธารณะเลยดีกว่า มา…คุณนักท่องเที่ยวทั้งหลายเชิญมาประเทศเราเลย
และความโชคดีก็เพิ่มเข้ามาอีกอย่าง เพราะเดือน เม.ย. 2022 ประเทศไทยเองก็ประกาศเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มที่เหมือนกัน โดยผ่อนปรนเรื่องคนที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2022 เป็นต้นไป ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าประเทศแล้ว ให้มาตรวจตอนถึงประเทศไทยเลย แต่ยังต้องกรอก Thailand Pass เหมือนเดิม
อ่ะ เกริ่นนำเรื่องสถานการณ์ Covid กันมาพอสมควรละ มาเข้าเรื่องทริปเมกากันเลยดีกว่า
ทริปนี้เราเลือกบินกะ Qatar Airways ซึ่งเป็นสายการบินในกลุ่ม One World เพราะความที่อยากลองนั่งที่นั่งแบบ Qsuite ของเค้ามากๆ ดูน่าจะตอบโจทย์เรื่องราคา ความคุ้มค่า อะไรต่างๆ คราวนี้ก็เลยขอนอกใจ Star Alliance ซักครั้งนึง
ซึ่งเราจะบินจากกรุงเทพฯ ไป Doha ประเทศ Qatar ก่อน แวะเปลี่ยนเครื่องประมาณ 2 ชม. กว่า จากนั้นก็บินต่อจาก Doha ไป New York ลงที่สนามบิน JFK และเราจะอยู่ใน New York ประมาณ 5 วัน จากนั้นก็จะไปเที่ยว Swan Lake กะ Boston และกลับมาอยู่ที่ New York อีกทีเพื่อขึ้นเครื่องกลับบ้าน
ส่วนที่พัก ปกติเวลามา NY เรามักจะเลือกจองเป็นโรงแรมและอยู่แถว Manhattan เพราะอยากได้ความสะดวกเวลาไปไหนมาไหน แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงตามไปด้วย 🥴 คราวนี้เราเลือกจองที่พักแบบ apartment และอยู่ที่ Brooklyn แทนเพราะเราอยากประหยัดค่าใช้จ่ายและอยากได้ความรู้สึกแบบอยู่บ้านคน local หน่อยๆ
เราออกเดินทางกันต้นเดือน เม.ย. ตื่นเต้นมาก!!! เพราะเป็นการเดินทางต่างประเทศที่ห่างหายไปหลายปี (ทริปสุดท้ายของเราคือ Melbourn เมื่อเดือน ธ.ค. 2019) ตอนไปภูเก็ตก็ว่าตื่นเต้นละนะ อันนี้ตื่นเต้นกว่าเย๊อะ เพราะเราต้องไปตรวจ Atk ที่โรงพยาบาลตอนเช้าของวันที่เดินทาง เพราะสายการบินต้องการผลตรวจภายใน 24 ชม. ก่อนขึ้นเครื่อง
บอกเลยเสียวสุดใจ เพราะเราเจ็บคอมาเกือบ 2 อาทิตย์ ซึ่งเราก็แหย่จมูกเองไปหลายรอบ ผลเป็นลบตลอด พอถึงวันที่ไปตรวจที่โรงพยาบาล รีบไปไหว้พระก่อนเลย ขอให้ผลเป็นลบ 🤣 เพราะทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว ตั๋วก็ไปละ ที่พักก็ไปละ รถก็ไปละ กระเป๋าก็แพ็คเรียบร้อยละ ถ้าติดขึ้นมานี่น้ำตารื้นขั้นสุด แต่ผลก็ออกมาเป็นลบหมดทุกคน เย้ 🎉
วันแรกของการเดินทาง พวกเราไปถึงสนามบินก่อนเครื่องออกประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า เพราะคิดว่าขั้นตอนตรวจเอกสารต้องนานแน่ๆ แต่โชคดีที่ครั้งนี้เอกสารที่ต้องใช้ประกอบมีแค่ผลตรวจ ATK เท่านั้นเอง และถึงแม้เราจะทำการ Check-in online มาล่วงหน้าแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องกรอกข้อมูลอะไรๆ อีกเยอะพอสมควร สรุปใช้เวลา Check-in ประมาณครึ่งชั่วโมง
จากนั้นก็ไปผ่าน ตม. เข้ามาเจอสัญลักษณ์ของสุวรรณภูมิที่คุ้นเคย รูปปั้นกวนเกษียรสมุทรนั่นเอง
Suvarnabhumi Airport
ปกติผู้โดยสารจะมาอยู่ตรงนี้กันเยอะมาก ตอนนี้คือมีคนอยู่แค่เนี้ยะ 😭
สิ่งที่ยังคงเห็นได้ชัดคือความโล่งของสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารยังน้อยมากๆ
Suvarnabhumi Airport
แต่สิ่งที่เริ่มดูมีสีสันขึ้นอย่างมากคือ ร้านค้าของ King Power ที่ปรับโฉมใหม่หมดเลย จากก่อนหน้านี้ที่เห็นตาม Youtube ว่าร้านค้าด้านในปิดไปเกือบหมด เพิ่งจะทยอยเปิดได้ไม่นาน แถมเดือน เม.ย. 2022 เค้าก็เนรมิตร้านค้าใหม่หมดเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐ
หลังจากนั่งรอเวลาใน lounge กันพักนึง ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันละค่ะ (ช่วงที่เราเดินทาง lounge ของ Qatar ยังไม่เปิดให้บริการ ต้องใช้ lounge ของ Miracle แทน)
เครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตามเวลา ไฟลท์แรกของเรา Bangkok-Doha เป็นเครื่องแบบ A350–900 ที่นั่งดีเลยค่ะ ไม่เก่า ลูกเรือก็บริการดีมาก แต่เป็นความทุกข์ของเราเองที่ตลอดไฟลท์ 6 ชม. กว่า คือไม่ได้หลับเลย นอนยังไงก็นอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ถ้าอยู่บ้านนี่หลับไปตั้งนานละ กรรม ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปหลับไฟลท์ยาวแทนก็ได้
ตอนนั่งเครื่องไปภูเก็ตต้องใส่หน้ากากบนเครื่องถือว่านานประมาณนึง แต่ทริปนี้ต้องใส่หน้ากากยาวตลอดทางจนถึงเมกา แม้แต่ตอนนอนก็ต้องใส่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากเท่าไหร่ ทนได้อยู่ ดีด้วยนะทำให้ไม่รู้สึกแสบจมูกเลย
บรรยากาศบนเครื่อง Qatar Airways
อ้อ บนเครื่องมีเรื่องตื่นเต้นด้วย คือระหว่างบินอยู่ กัปตันก็ประกาศเรียกหาบุคลากรทางการแพทย์ด่วน แสดงว่ามีใครกำลังป่วยหนักแน่เลย เห็นลูกเรือเดินไปเดินมากันใหญ่
สรุป คนป่วยเป็นผู้โดยสารสูงอายุที่เกิดอาการหัวใจกำเริบ ดีที่มีหมอบนเที่ยวบินนี้ เลยช่วยแกไว้ได้อย่างปลอดภัย ที่รู้เพราะก่อนเครื่องลงพี่เราถาม purser ในไฟลท์ซึ่งเป็นคนไทย เค้าเลยเล่าให้ฟัง
เครื่องมาถึง Doha ประมาณ 23.00 เวลาที่ Qatar (บ้านเราคือตี 3) เพราะเราบิน Qatar Airways ซึ่งเบสอยู่ที่เมือง Doha ประเทศ Qatar ก็เลยต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่นี่ก่อน เราก็อยากมาอยู่แล้วแหละเพราะดูรีวิวมาว่าสนามบินที่นี่เจ๋งมาก
พอมาถึง OMG ใหญ่ยักษ์จริงๆ และผู้โดยสารก็เยอะมากกกกก มากกว่าเมืองไทยในสภาวะปกติอีกนะเราว่า ขนาดตอนนี้ยังมีมาตรการ Covid อยู่ แต่จำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการที่สนามบินนี้คือเยอะจริงๆ เดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด…อยากเห็นภาพแบบนี้ที่บ้านเราเร็วๆ จัง
หมีสีเหลือง สัญลักษณ์ของ Hamad International Airport
สนามบินเค้าสมคำร่ำลือจริงๆ ทั้งใหญ่โต ทั้งสวย และดูทันสมัยมาก มี Facility ให้ผู้โดยสารครบครัน ไม่ว่าจะห้องน้ำตามรายทาง เก้าอี้นั่งพัก ห้องงีบ โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ที่ชาร์ตแบทที่มีอยู่เต็มไปหมด
เราไม่มีโอกาสได้เดินสำรวจสนามบินนี้ซักเท่าไหร่เพราะมีเวลาเปลี่ยนเครื่องแค่ประมาณ 2 ชม. เลยขอไปนั่งพัก ใน Al Mourjan Lounge ดีกว่า
Lounge ของที่นี่ใหญ่มากๆ ถึงกะต้องมี พนง. คอยแนะนำส่วนต่างๆ ของ lounge กันเลย ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็น zone ต่างๆ มีโซนห้องอาหารซึ่งก็มีถึง 2 จุด (แต่เราก็ไม่ได้ลองทานอะไรเลยเพราะคนเต็ม ไม่มีที่นั่งเลย) มี area นั่งเล่น มีห้องนอน ห้องอาบน้ำ ห้องละหมาด
Al Mourjan Lounge
หลังจากนั่งสัปหงกกันประมาณชั่วโมงกว่า ก็ได้เวลาไปขึ้นเครื่องกันละค่ะ (ปล. จำได้ว่าถ่ายรูปใน lounge ไว้ด้วย แต่หายไปหมดเลย เหลือมาแค่เนี๊ยะ 😭)
ตามปกติเวลาเปลี่ยนเครื่องเราจะต้องผ่าน security check แค่ 1 ครั้ง ตอนที่ลงจากเครื่องก่อนเข้าสู่ transit area แต่มาเจอที่สนามบินนี้ ต้องผ่าน security check อีกครั้งที่หน้า gate ซึ่งพวกเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีด้วย โชคดีที่ตัดสินใจมาก่อนเวลาเรียกขึ้นเครื่อง
ที่หน้า gate คนเยอะโฮก มี พนง. ตรวจเอกสารเข้าเมกาอีกรอบ สัมภาษณ์เราอีกว่ามีอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์อะไรมั่ง? เราก็ตอบไป เค้าถามอีกว่า แล้วมันเคยเสีย? เคยถูกซ่อมอะไรมาก่อนรึเปล่า? ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเกี่ยวกะอะไร 🤔
พอผ่าน พนง. ตรวจเอกสาร ก็มาถึงจุดตรวจสัมภาระซึ่งตรวจเข้มมากกกก ต้องเอาอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ทุกอย่างออกจากกระเป๋ามาให้เค้าสแกนด้วย เห็นเค้าใช้อุปกรณ์ที่ตรงปลายหน้าตาเหมือนแว่นขยายอันเล็กๆโดยเค้าจะเอาเจ้านี่ไปแตะที่เครื่องๆ นึงก่อน จากนั้นก็จะเอามันมาแตะที่สัมภาระของเราทุกชิ้น มันคงเอาไว้ detect อะไรซักอย่างนี่แหละ (เหมือนที่เคยเห็นที่สนามบินกวางโจวเลย) ทุกคนก็เลยวุ่นวายอยู่ตรงจุดนั้นกันพอสมควร กว่าพวกเราจะผ่านจุดนั้นมาก็ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่องพอดี 😓 ตื่นเต้นจะได้นั่ง Qsuite แล้ว 😆
ไฟล์ทนี้เป็นเครื่องแบบ A350–1000 เราได้ที่นั่ง 1K เป็นที่ติดหน้าต่าง ซึ่งจะเป็นที่นั่งที่หันหลังให้หัวเครื่อง จะดูแปลกๆ หน่อย แต่นั่งแล้วไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอะไร ยกเว้นตอน Take off กับ Landing เท่านั้น
Qatar Airways
ขึ้นมานี่ทำตัวเหมือนมือโปรเคยนั่งแล้วเลย ปล๊าวววว ดูรีวิวจนจำได้ 😁 ลูกเรือมาแนะนำตัวยังบอกว่า wow ไอไม่ต้องแนะนำอะไรเลยเพราะยูหาเจอหมดแล้ว 🤣
ไฟล์ทนี้ใช้เวลาเดินทางจาก Doha ไป JFK ประมาณ 14 ชั่วโมง
วิวของ Doha สวยมากๆ เลย
พอเครื่อง take off เสร็จก็ปิดประตูห้องได้ละ กลายเป็นโลกส่วนตัวของแต่ละคนเลย มันดูดีจริงๆ นะเจ้า Qsuite นี่ หยั่งกะได้นั่ง first class กะเค้าเลย ครั้งหนึ่งในชีวิต 🤩
Qatar Airways
ลูกเรือมาถามว่าอยากจะรับอาหารเย็นเลยมั้ย เราบอกจัดมาเลย เพราะกะว่าทานมื้อนี้เสร็จละจะต้องหลับให้ได้ เพราะน็อกรอบไม่ได้นอนมาครบ 24 ชม. พอดี ง่วงก็ง่วงโฮกแต่ก็หิวด้วย ไม่ได้ค่ะเรื่องกินเรื่องใหญ่
แต่พออาหารมา เออทานไม่ค่อยลงแล้วแฮะ ได้แต่ทาน appetizer ไปจานนึง อาหารหลักจัดไปแค่ครึ่งเดียว เพลียจัด จากนั้นเราก็หลับเลย แต่ก็หลับไปได้แค่ประมาณ 3 ชม. เอง ไม่รู้จะทำไรเลยมานั่งเขียน blog แรกนี้บนเครื่องซะเลย
ชอบ Mood and Tone บนเครื่องจัง
Qatar Airways
เราซื้อ internet บนเครื่องด้วย เพราะเอาไว้ใช้สำหรับเขียน blog นี่แหละ แค่ $10 เองใช้ได้ยาวตลอดไฟล์ทเลย ไม่เคยเจอ internet บนเครื่องที่ไหนถูกขนาดนี้มาก่อน 😱 ความแรงจะไม่ได้แรงมาก ใช้เล่น social media ได้ประมาณนึง ช้าๆหน่อย แต่ก็ถือว่าพอได้อยู่
และหลังจากนั่งๆ นอนๆ บนเครื่องมายาวนานกว่า 20 ชม. เราก็ถึง New York แล้วจ้า
ลืมเล่า!!! ระหว่างไฟล์ทนี้มีอุบัติเหตุบนเครื่องด้วยล่ะ 😕 คือระหว่างที่พี่เรากำลังนั่งทานอาหารอยู่ ประตูของที่นั่งมันเกิดหล่นลงมาเพราะสลักประตูหลุดหรืออะไรก็ไม่รู้ (ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย 😩) เค้าก็เลยเอาหลังมือรับประตูโดยอัตโนมัติ เพราะไม่งั้นมันจะหล่นมาชนหัวเค้า ปรากฎว่าทำให้กระดูกหลังมือตรงนิ้วกลางบวมปูดเลย
เราก็ตกใจกันมาก ตอนแรกเค้าก็ปวดมืออยู่แต่พอทานยาไปก็ดีขึ้น ลูกเรือมาแจ้งพวกเราว่าเดี๋ยวพอถึงสนามบิน JFK จะให้หมอขึ้นมาดูอาการที่เครื่อง ขอให้พวกเรารอก่อนอย่าเพิ่งลงจากเครื่องนะ เราก็เข้าใจว่าพวกเราคงต้องลงเครื่องทีหลังสุด
แต่พอเครื่องแลนด์ปุ๊บ ลูกเรือก็ประกาศว่า ตอนนี้มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บคนนึง ขอให้หมอมาดูอาการก่อน ขอความกรุณาผู้โดยสารคนอื่นๆ รออยู่บนเครื่องก่อนซักครู่
โอ้โห…ไฮโซเลยจ้า ทุกคนต้องมารอหมอดูอาการพี่เราก่อน โคดเกรงใจเลย 😅 แถมที่ JFK ถึงกะเตรียมเปลมาด้วยเลยนะ กะว่าถ้าเดินไม่ได้นี่จะให้นอนไปเลย 😆 พี่เราบอกว่าตัวเค้าโอเค ไม่ได้เป็นไรมากแล้ว แค่หลังมือบวม เค้าเดินเองได้
นอกจากหมอจะมาแล้วยังมีเจ้าหน้าที่ ตม. มารับพวกเราด้วย เค้าถามว่า ยูมากันกี่คน ม่ะ ตามไอมา จะพาไปผ่าน ตม. ให้…OMG ไม่ต้องไปต่อคิวโชคดีซะไม่มี (แต่ไม่คุ้มกะการต้องเจ็บมือแบบนี้หรอกนะ 🥴) เราก็เลยลงจากเครื่องเยี่ยงเซเลบไปโดยปริยาย
เครื่องลงประมาณ 9 โมงครึ่ง (เวลาที่เมกา) หลังจากที่พวกเราลงเครื่อง ผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็มารอรถที่ติดต่อไว้เพื่อไปส่งที่พัก ซึ่งทั้งรถรับส่งและที่พักเป็นบริการของคนไทยชื่อคุณจิมมี่ (ใครสนใจสามารถติดต่อที่พักได้ที่ FB Udom Residence and Travel ได้เลยค่ะ)
John F. Kennedy International Airport
พวกเราไปถึงโรงแรมเพิ่งจะประมาณ 11 โมงกว่าเอง ยังเข้าห้องไม่ได้ เพราะแม่บ้านจะมาทำห้องประมาณเที่ยง เลยต้องหาไรทำฆ่าเวลาแกร่วรอจนกว่าจะบ่าย 3 โน่น พวกเราเลยนั่งทานข้าวเที่ยงที่ร้านคุณจิมมี่ซะเลย เป็นร้านอาหารไทยชื่อ Udom Thai อยู่ชั้น 1 ของตึกที่เราจะไปพักนี่แหละ แต่ขนาดนั่งทานกันแบบสโลว์โมชั่นสุดๆ ก็ยังไม่ได้เวลาซักที เลยไปเดินเล่นที่ Brooklyn Museum ดีกว่า เดินจากที่นี่ไประมาณ 15 นาทีเอง
วันนี้ทั้งหนาวทั้งฝนตกปรอยๆ
Brooklyn Museum
วันนี้มีเพื่อนสนิทพี่สาวชื่อ Big ที่อยู่ที่ NY มาแจมด้วย ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะไปเที่ยวบ้านตากอากาศของ Big ที่ Swan Lake กันด้วย
Brooklyn Museum หรือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะของบรูคลิน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จะเน้นผลงานของศิลปินชาวอเมริกันเป็นส่วนใหญ่
Brooklyn Museum
มีทั้งศิลปะยุคเก่าและศิลปะร่วมสมัยรวมอยู่ในที่เดียวกัน
Brooklyn Museum
นอกจากศิลปะร่วมสมัยแล้ว ชั้นบนจะเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะยุคเก่า ซึ่งมีงานจากเอเชียทั้งจาก ไทย จีน และญี่ปุ่น
Brooklyn Museum
มีคนเดินชมงานในนี้พอสมควรเลย
หลังจากเดินกันเพลิดเพลิน ดูนาฬิกาอีกทีบ่าย 3 ละ ได้เวลาออกจากพิพิธภัณฑ์กันละค่ะ
Brooklyn Museum
ต้นซากุระที่อยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ สวยมากๆ เลย
Brooklyn Museum
จริงๆ ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์จะมี Brooklyn Botanic Garden ซึ่งช่วงเดือนนี้จะมีต้นซากุระบานพอดี แต่วันนี้ไปไม่ทันละ และฝนก็ยังไม่หยุดตก เลยติดไว้ก่อน เดี๋ยววันที่กลับจาก Boston ค่อยเดินไปเก็บอีกครั้งนึง
ระหว่างเดินกลับโรงแรมก็แวะซื้อของกินของใช้เล็กน้อยที่ supermarket แถมมีร้านไวน์ใกล้บ้านอีกเลยซื้อไวน์ติดมือมาด้วย 2 ขวด กะไว้ดื่มฉลองวันนี้ซะหน่อย 😁
ได้เวลาเข้าห้องซักที
Udom Residence and Travel
เราพักกันที่ชั้น 3 ของตึก ชั้น 1 คุณจิมมี่เปิดเป็นร้านอาหารไทยชื่อ Udom Thai ชั้น 2 เป็นที่พักของครอบครัวคุณจิมมี่ ส่วนชั้น 3 เป็นห้องพักให้เช่าทั้งหมด มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
ห้องนอนจะมี 3 สไตล์ ชื่อห้อง Light Line ห้อง Midnight Blue และห้อง Japanese Peaceful ปกติเค้าจะแบ่งให้เช่าเป็นห้องๆ แต่เรามากัน 4 คนเลยเช่าเหมาทั้งชั้นไปเลย
ห้อง Light Line
ห้อง Midnight Blue
ห้อง Japanese Peaceful
ตอนที่เรามาคุณจิมมี่เพิ่งตกแต่ห้องพักใหม่ทั้งหมด พวกเราก็เลยโชคดีเป็นลูกค้ากลุ่มแรกที่ได้ใช้บริการ
ห้องพักขนาดกำลังดี ไม่เล็กจนเกินไป ห้องนอนทุกห้องมีประตูที่ต้องใช้รหัสเข้าห้องเพื่อความปลอดภัย
ส่วนห้องน้ำ ห้องนึงจะเป็นของลูกบ้านห้อง Midnight Blue ให้ใช้ส่วนตัว เพราะเป็นห้องใหญ่ที่สุด ราคาแพงสุด ส่วนห้องน้ำอีกห้องที่เหลือ ลูกบ้านอีก 2 ห้องต้องใช้ร่วมกัน
มีห้องครัวซึ่งมีของใช้ครบครัน และระเบียงนั่งเล่นด้วย แต่เราไม่ได้ออกไปใช้เลย หนาววววว
นี่ก็เป็นการรีวิวการเดินทางมา NY และที่พักแบบคร่าวๆ นะคะ
ส่วนตอนต่อไปจะพาไปเที่ยวที่ไหน ติดตามอ่านกันต่อในตอนหน้านะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา