9 พ.ค. 2022 เวลา 07:26 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ข้ามขั้นโลกMultiverse และความแตกต่างกับเรื่อง Loki , What if..? , Endgame
Doctor Strange in the Multiverse of madness
เริ่มบ้าขึ้นเรื่อยๆ กับการเล่นเรื่องMultiverseสำหรับหนังMCU มันทำให้สเกลหนังฮีโร่ดูยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก
และดูเหมือนSagaนี้ ประเด็นหลักคงจะหนีไม่พ้นเรื่องพหุจักรวาลหรือจักรวาลคู่ขนาน(Multiverse) เพราะนับตั้งแต่การแทรกแซงเวลาในAvengers:Endgame รวมถึงการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ในเรื่องLoki
และมาต่อยอดของโลกคู่ขนานที่แตกตัว ในWhat if..?
Spoiler Alert!!!
(บทความต่อไปจะเล่าถึงเนื้อหาสำคัญในหนังนะครับ)
Multiverse of madness
ถ้าย้อนไปในโพสต์ เรื่องการทำงานของโลกคู่ขนานในเรื่องLoki ที่ผมได้เขียนและอธิบายไว้
ซึ่งมันเป็นหลักเดียวกันกับAvengers:Endgame และWhat if...? จะทราบว่าทั้งหมดเป็นโลกคู่ขนาน ที่จัดอยู่ในรูปแบบทฤษฎีควอนตัม
แต่ในเรื่องหมอแปลกภาคนี้กลับพบว่า มันยิ่งใหญ่มากกว่านั้น
และมันไม่ใช่โลกคู่ขนานในทฤษฎีควอนตัมแค่อย่างเดียว
แต่มันกลับมีอิงทฤษฎีโลกคู่ขนาน เพิ่มอีก 2 ทฤษฎี!!
ทำให้รู้ว่ามันข้ามขั้นในการเปิดโลกMultiverseเพิ่มขึ้นไปอีก
มาดูกันว่าแต่ละทฤษฎีคืออะไร ทำงานแบบไหน และเชื่อมโยงกับในเรื่องยังไง
Multiverse
โลกคู่ขนานคืออะไร? และมีกี่แบบ?
เรามาทบทวนเรื่องโลกคู่ขนาน ที่ผมเคยเขียนไว้ในโพสต์ของLoki
โลกคู่ขนาน มันคือทฤษฎีสมมติฐานว่ามีเอกภพที่เกิดขึ้นมาอย่างมหาศาลและดับลง โลกที่ดำเนินในรูปแบบเหมือนโลกของเรา ในทางกายภาพ คือกาล+อวกาศ(space-time ) แต่จะแตกต่างออกไป
ทฤษฎีเกี่ยวกับโลกคู่ขนานหลักๆ มี 3 รูปแบบ
quantum parallel universe
1. ทฤษฎีโลกคู่ขนานแบบควอนตัม(quantum parallel universe)
ถูกใช้ทั้งในเรื่อง Avengers:Endgame,What if…?,Loki
เป็นโลกคู่ขนานทางเลือก ความน่าจะเป็นที่แตกตัวออกไป การตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องนึง แต่จะมีอีกโลกนึงที่เราไม่ได้เลือกนั้นได้แตกตัวออกไป ตามโอกาสและความน่าจะเป็น เป็นทฤษฎีที่เส้นเวลาไม่ได้มีเส้นเดียวแบบตรง และไม่สามารถแก้ไขอดีตได้
หรือถ้าแก้ไขก็จะเกิดโลกคู่ขนานแตกตัวออกไปอีก
ยกตัวอย่างLokiในEndgame ที่ดันหยิบแทร็คเซอร์แร็กและหนีตัวไป ทำให้อดีตเปลี่ยนไป
โลกนั้นLokiก็ไม่ได้โดนจับ และกลายเป็นเส้นเรื่องนึงของตัวละคร ที่เห็นในซีรี่ย์Loki
รวมถึงรูปแบบโลกคู่ขนาน ในWhat if…?
ยกตัวอย่างตอนที่4 ที่คริสตินตัดสินใจนั่งไปกับสเตรนจ์ในรถ แล้วทำให้เกิดเหตุการณ์ใหม่ขึ้น
ทำให้เกิดเส้นเวลานึงขึ้นใหม่
ทฤษฎีนี้ประกอบไปด้วย2สิ่ง คือ
เหตุการณ์+ผู้สังเกตการณ์
เพราะเมื่อเราเห็นหรือตัดสินใจแล้ว
มันก็เป็นการเลือกโลกที่เป็นทางเลือกของเราเรียบร้อย
แต่ถ้าเรายังไม่ได้ตัดสินใจหรือเรายังไม่เห็นเหตุการณ์ใดเหตุการณ์นึง เช่น ช่วงคริสตินกำลังตัดสินใจที่จะไปกับสเตรนจ์ และ ช่วงที่โลกกิเห็นแทร็คเซอร์แร็กร่วงลงมาอยู่ข้างหน้า
ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่แยกออกมาเป็นสองโลกสองทางเลือก ที่มันกำลังสั่นตัวอยู่ ที่เกิดระหว่างเราจะตัดสินใจกับสิ่งนั้น จนเมื่อเราเห็นหรือตัดสินใจมัน ทางเลือกนั้นก็เป็นโลกของเรานั่นเอง และอีกทางก็จะไม่ได้เป็นโลกของเราแล้ว
(ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากขึ้น มีในข้อมูลการทดลองแมวในกล่องของนักวิทยาศาสตร์รวมถึงการสั่นของควอนตัมในขณะที่เรายังไม่ได้สังเกตมัน ที่บันทึกไว้ได้ในข้อมูลต่างๆ)
string theory universe
2.ทฤษฎีโลกคู่ขนานแบบสตริง(string theory universe)
จากเรื่อง Doctor Strange in the Multiverse of madness
เป็นทฤษฎีที่ต่อยอดมาจากทฤษฎีเส้นเชือก1มิติ จากจุดนึงไปจุดนึง หรือเรียกว่าทฤษฎีสตริงนั่นเอง
ที่เกิดการสั่นของเส้น จนเกิดอนุภาคแตกตัวออกมา เปรียบเหมือนตัวโน๊ต
ที่แทนเป็นอนุภาค ต่างคีย์ก็ทำให้อนุภาคแตกต่างกัน (จะมีฉากนึงที่หมอแปลก2จักรวาล ได้สู้กันเป็นตัวโน๊ต ที่กลายเป็นอนุภาคพลังงาน อาจจะสื่อถึงทฤษฎีสตริงที่เปรียบอนุภาคเป็นเหมือนตัวโน้ตเหมือนกัน)
โดยทฤษฎีนี้ เป็นต้นแบบการต่อยอดเรื่องโลกคู่ขนานก็ว่าได้ ในส่วนนึง และเป็นทฤษฎีที่อธิบายหลักการแรงโน้มถ่วงในสถานะพลังงานสูงรวมถึงบิ๊กแบง(การเกิดเอกภพ) ที่ฟิสิกส์หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพไม่สามารถอธิบายได้
ในส่วนนี้จะมีเรื่องมิติ(dimension) เข้ามาด้วย
มิติในทางฟิสิกส์ไม่ใช่มิติลึกลับแบบที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่เรารับรู้สามารถระบุตัวตน และกำหนดมันได้ โลกของเราอยู่ในมุมมอง3มิติ คือ กว้าง ยาว สูง
ซึ่งเคลื่อนที่หรือกำหนดการมีอยู่ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่พื้นที่(space) แต่ขึ้นอยู่กับเวลา(time)เข้ามาด้วย
จึงเป็น4มิติ ที่เรียกว่า กาล-อวกาศ (space-time)
ซึ่งทฤษฎีสตริง ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่า จำนวนมิติของเอกภพอาจจะมีถึง10มิติ(อวกาศ9มิติ+เวลา1มิติ)
แต่ได้มีทฤษฎีM ที่พัฒนาจากสตริง
ได้ค้นพบว่าอาจจะมีมิติถึง11จำนวน (อวกาศ10มิติ+เวลา1มิติ)
จริงๆมันยาวและอธิบายได้มากกว่านี้ ในเรื่องมิติ(dimensions) แต่พอแค่นี้ก่อน บทความจะยาวเอา555
เอาเป็นว่ามิติที่สูงกว่าตอนนี้เรายังไม่ค้นพบว่ามันคืออะไร และอะไรมาก่อน แต่ยืนยันว่ามันมีจริงๆโดยการทดลองยิงอนุภาคเพื่อขยายจุดเล็กๆมิติที่ขดตัวอยู่
แต่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ชัดเจน จนกว่าจะมีเทคโนโลยีหรือวิธีการที่สามารถรับรู้การเป็นอยู่ของมิติที่สูงกว่า (เรื่องExtra-DimensionมีการพูดถึงในDoctor Strangeภาคแรกแล้ว ตอนเอเชี่ยนวันเบิกเนตรกับสเตรนจ์) และโลกคู่ขนานแบบทฤษฎีสตริง จะต่างกันในเรื่องมิติ การเป็นอยู่ของอนุภาค
แบบในเรื่องDoctor Strange2 ฉากที่หมอแปลกกับอเมริกา ชาเวช ได้เดินทางผ่านมิติต่างๆ เช่น มิติภาพวาด มิติที่สสารเป็นของเหลว มิติที่อนุภาคเป็นทรงเลขาคณิตคือทรงจตุรัส
ทั้งหมดเป็นโลกคู่ขนาน ในรูปแบบสตริงทั้งหมด
bubble universe theory
3.โลกคู่ขนานแบบบับเบิล (bubble universe theory)
เป็นทฤษฎีที่บอกว่า เกิดจากหลังเหตุการณ์บิ๊กแบง ที่เกิดเอกภพและพลังงานความหนาแน่นมหาศาล ทำให้กาล-อวกาศ เกิดการผันผวนสูงมาก ทำให้เกิดการสั่น อย่างรุนแรง คล้ายน้ำที่เดือดแล้วทำให้เกิดฟองผุดขึ้นมา และทำให้ฟองบางส่วนหลุดออกมาได้ เรียกว่าควอนตัมบับเบิล ทำให้แตกตัวเป็นหลายฟอง แต่ละฟองก็เติบโตเป็นจักรวาลของตัวเอง ในหนังจะใช้รูปแบบเป็นฟองที่มีมุมเหลี่ยม ที่หุ้มด้วยกระจก
และแต่ละจักรวาลจะมีแตกต่างกัน ทั้งค่าแรงโน้มถ่วง กฎฟิสิกส์ สมการต่างๆ และกฎต่างๆจะแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนกัน 1+1อาจจะไม่เท่ากับ2ในโลกอื่น
เช่นหนังเรื่อง Doctor Strange2 ที่กฏต่างๆไม่เหมือนกับโลกของเรา
รวมถึงกฎจราจร ที่ไฟแดงคือให้ไป ไฟเขียวคือหยุด
Multiverse of MCU
การข้ามขั้นสู้ความยิ่งใหญ่ของMultiverseในMCU
จริงๆแล้วเราเคยเห็นการทะลุจักรวาลแบบนี้แล้ว What if…? ตอนที่อัลตอลวิชชั่น ได้ครองอินฟีนิตี้สโตน
และรู้ถึงการมีอยู่สิ่งที่มีอยู่นอกจักรวาล คือWatcher และได้ทะลุจากกระจก ที่เป็นส่วนที่หุ้มเอกภพเหมือนฟองสบู่
จนมาถึงDoctor Strange2 ได้มีการทะลุถึงเอกภพคู่ขนาน ที่บางโลกเราอาจจะมีหรือไม่มีตัวตนอยู่ เพราะในเรื่องEndgameกับLokiและตอนอื่นๆของWhat if…? เป็นการเกิดโลกคู่ขนานที่มาจากการตัดสินใจที่เปลี่ยนไปที่ควรจะเป็น จึงเกิดโลกคู่ขนานขึ้นมา แต่นี่คือโลกคู่ขนานที่เกิดมาพร้อมกับเอกภพของเราตั้งแต่บิ๊กแบง
มาลุ้นว่าต่อไปจะเกิดไรขึ้น เมื่อนำเรื่องนี้Multiverseทั้ง3แบบเข้ามาใส่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดของMultiverseก็ว่าได้
โฆษณา