10 พ.ค. 2022 เวลา 03:30 • ไลฟ์สไตล์
รู้จัก FIRE กลุ่มคนที่โหมเก็บเงิน เพื่อหวังจะเกษียณตอนอายุ 30-40 ปี
2
สำหรับ “FIRE” ในบริบทนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคำว่า “ไฟ” แบบที่เราคุ้นเคยกันดี
แต่มันถูกย่อมาจาก “Financial Independence, Retire Early”
6
ซึ่งคำนี้ใช้เรียกกลุ่มคนที่แสวงหา “อิสรภาพทางการเงิน”
เพื่อที่จะได้ไปทำในสิ่งที่รัก มากกว่าสิ่งที่ต้องทำ อย่างเช่น “งาน”
5
ดังนั้น พวกเขาจึงมีพฤติกรรมที่ทุ่มเทให้กับการออมเงินและการลงทุนอย่างสุดโต่ง เพื่อที่จะมีเงินมากพอให้สามารถเกษียณออกจากงานได้ก่อนกำหนด
4
ซึ่งบางรายอาจถึงขั้น ตั้งเป้าเกษียณในช่วงอายุ 30-40 ปีเลยทีเดียว
3
แล้ว FIRE มีที่มาจากอะไร ?
และคนกลุ่มนี้มีการวางแผนการเงินอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
4
พฤติกรรมแบบ FIRE ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือขายดี อย่าง “Your Money or Your Life” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1992 หรือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
6
โดยพฤติกรรมการเงินของคนกลุ่ม FIRE จะมีเป้าหมายที่การเกษียณก่อนกำหนด หรือก็คือ การลาออกจากงานก่อนวัย 65 ปี
ดังนั้นในช่วงทำงาน สำหรับบางคนอาจจะเก็บออมเงินถึง 70% ของรายได้
และเพื่อให้มีเงินเก็บมากพอสำหรับให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินในยามเกษียณ คนเหล่านี้จะถอนเงินออกจากบัญชีเงินเก็บเล็กน้อยมาก ๆ ซึ่งบางราย อาจถึงขั้นถอนออกมาเพียง 3-4% ของยอดคงเหลือในบัญชีต่อปี
1
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของเงินออม และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคนด้วย
1
โดยรูปแบบพฤติกรรมแบบ FIRE สามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็นอีก 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
1. Fat FIRE
กลุ่มที่ไม่ต้องการลดมาตรฐานการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
แต่ก็ยังเก็บเงินในสัดส่วนที่สูงกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไป
ดังนั้น ถ้าหากอยากเก็บเงินให้ได้ก้อนโตจนสามารถเกษียณได้ก่อนกำหนด
ก็ควรจะต้องเน้นการลงทุน และเก็บออมเงินอย่างแข็งขันถึงจะได้ผล
2. Lean FIRE
กลุ่มที่เน้นการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย (Minimalist) และเก็บเงินแบบสุดขีด
ดังนั้น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้จะถูกตีกรอบด้วยเรื่องของ “เงิน” เป็นหลัก
4
3. Barista FIRE
กลุ่มที่มีพฤติกรรมอยู่ระหว่าง Lean FIRE และ Fat FIRE
1
โดยพวกเขาต้องการจะใช้ชีวิตแบบ Less-Than-Minimalist
หรือก็คือ การใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่อาจไม่มากเท่ากับกลุ่ม Lean FIRE
2
ดังนั้น พวกเขาจะใช้วิธีหารายได้เสริมจากงานพาร์ตไทม์หรือฟรีแลนซ์ ควบคู่ไปกับการออมเงิน
เพื่อให้ไลฟ์สไตล์ของพวกเขาไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีเงินเหลือไว้เก็บออมไปพร้อม ๆ กัน
ถึงแม้ว่า FIRE ทั้ง 3 กลุ่มจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป
แต่เป้าหมายที่ทั้ง 3 กลุ่มนี้มีเหมือนกัน ก็คือ “การแสวงหาอิสรภาพทางการเงิน เพื่อที่จะได้เกษียณก่อนกำหนด”
ซึ่งไม่จำเป็นว่า เราจะต้องไปให้ถึงเป้าหมายของ FIRE ให้ได้ภายในอายุ 30-40 ปี
1
เพราะจริง ๆ แล้ว เป้าหมายในการประหยัดเงินของ FIRE คือ อิสระจากการได้เกษียณเร็วขึ้น เพื่อที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้ โดยไม่ต้องรอจนถึงอายุ 65 ปี
1
แต่คำถามสำคัญคือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเกษียณเมื่อไร ?
คำตอบก็คือ เมื่อพวกเขามีเงินเก็บมากถึง 25-30 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี ก็จะลาออก
6
ยกตัวอย่างเช่น
นาย A มีค่าใช้จ่ายรายปีอยู่ที่ 500,000 บาทต่อปี
ดังนั้น เขาจะต้องเก็บเงินให้ได้ประมาณ 12.5 ล้านบาท หรือ 15.0 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
อย่างไรก็ตาม การจะประเมินว่า เราต้องใช้เงินเท่าไรในวัยเกษียณ ก็ควรคำนึงถึงเรื่องเป้าหมายในชีวิตหลังเกษียณของเราด้วย อย่างเช่น
บางคนต้องการ ใช้เงินในวัยเกษียณมากกว่าตอนทำงาน เพราะวางแผนออกเดินทางท่องเที่ยว
หรือบางคน อาจใช้เงินน้อยลง เพราะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่อาศัยลงได้ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในตัวเมือง เพื่อทำงานแล้ว
3
และอีกประเด็นสำคัญ ก็คือ วางแผนการถอนเงินออกมาใช้
1
ในกรณีปกติที่เกษียณตอนอายุ 65 ปี
ผู้คนมักจะวางแผนการนำเงินเก็บออกมาใช้อยู่ที่ปีละ 4% ของจำนวนเงินทั้งหมด
1
แต่สำหรับการเกษียณก่อนกำหนด เราอาจจะต้องเขยิบตัวเลขลงเป็น 3.5% ต่อปี
1
ส่วนในกรณีของคนที่จะเกษียณตั้งแต่อายุ 30-40 ปี
อาจจะต้องมีการวางแผนเรื่องการใช้เงินหลังเกษียณ และการนำเงินไปลงทุนให้รอบคอบมากกว่ากรณีอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินใช้เพียงพอ แม้ในช่วงที่ไม่ได้ทำงานแล้วก็ตาม
1
อย่างไรก็ตาม การมุ่งมั่นเก็บสะสมเงินอย่างสุดโต่งก็มีข้อเสียเช่นกัน
เพราะบางครั้งมันก็นำมาซึ่งความเครียด และอาจลุกลามไปถึงการทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
หรือบางรายก็ประหยัดเงิน จนไม่ยอมใช้จ่ายกับเรื่องจำเป็น อย่างเช่น การไปหาหมอ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย
7
ดังนั้น เราต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายของการเก็บเงิน
คือ เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ
ไม่ใช่การเพิ่มจำนวนตัวเลขในบัญชีให้ได้สูง ๆ
2
เพราะไม่เช่นนั้น
เราอาจจะไม่ทันได้อยู่ใช้เงินก้อนนั้นที่อุตส่าห์เก็บสะสมมา ก็เป็นได้..
1
โฆษณา