สรุปวิกฤติ เหรียญ UST ที่ถูกโจมตี คล้ายวิกฤติเงินบาทปี 40
หากเรามีธุรกิจมูลค่าแสนล้านบาท แล้วตื่นขึ้นมาพบว่าธุรกิจที่เราสร้างขึ้นมากับมือ ดันมีมูลค่าหายไป 90%
เราจะทำอย่างไร..
เรื่องดังกล่าว กำลังเกิดขึ้นจริงกับหนุ่มเกาหลีใต้ วัย 31 ปี ชื่อว่าโด ควอน
ผู้ที่หลายคนเรียกกันว่าอัจฉริยะ ผู้ก่อตั้ง Terra ธุรกิจบล็อกเชนที่กำลังเติบโต
ปัจจุบัน มูลค่าของเหรียญประจำแพลตฟอร์มของเขา ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
LUNA -94% และ UST -50% ในช่วงแค่ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
แถมเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ที่ควรจะมีมูลค่าเท่ากับดอลลาร์สหรัฐ แบบ 1:1 ซึ่งเขาสามารถรักษามูลค่านี้มาได้นานเป็นปี
ตอนนี้มูลค่า UST หายไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 0.46 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น..
หลายคนก็น่าจะอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับ Terra ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ในทวิตเตอร์ ชื่อบัญชี Onchain Wizard ได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเป็น “การโจมตี”
ซึ่งลงทุนแมนคิดว่าคล้ายกันกับในวันที่ประเทศไทย โดนจอร์จ โซรอส โจมตีค่าเงินบาท ในวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540
แถมบัญชีทวิตเตอร์รายนี้ ยังคาดการณ์ว่าผู้ไม่ประสงค์ดีรายดังกล่าว สามารถทำกำไรจากการโจมตี Terra ไปได้มากเกือบ 3 หมื่นล้านบาท
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ช่องโหว่อยู่ตรงไหน
ทำไม Terra ถึงเพิ่งมาถูกโจมตีตอนนี้ ?
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งเป็นในช่วงที่ Terra ได้ทำการก่อตั้ง Luna Foundation Guard หรือ LFG ให้เป็นกองทุนที่จะเข้ามาดูแลเสถียรภาพของ Terra
LFG ก็ได้ทำการเข้าซื้อบิตคอยน์ เพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้สำหรับพยุงราคา UST
โดยได้เข้าซื้อทั้งสิ้น เป็นมูลค่าราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากนั้นไม่นาน Terra ก็ได้มีการเปิดพูลใหม่ชื่อว่า 4pool เป็นพูลที่ประกอบไปด้วยเหรียญ Stablecoin ทั้ง UST, FRAX, USDC และ USDT เพื่อหวังจะช่วยให้การใช้งานของเหรียญ UST ของ Terra มีมากขึ้น
ทั้ง 2 ส่วนนี้เองที่ Onchain Wizard ได้มองว่าเป็นอีกช่องโหว่ด้านสภาพคล่องที่ทำให้ Terra ถูกโจมตี
แล้วคนโจมตีได้ประโยชน์อะไรในการทำลาย Terra ?
คนโจมตีไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงของเหรียญ LUNA หรือ UST แต่จะใช้ LUNA และ UST เป็น “เครื่องมือ” ในการทำกำไรจากการขาย Short ของบิตคอยน์
โดยเริ่มจากผู้โจมตีได้ยืมบิตคอยน์จำนวน 100,000 เหรียญ เพื่อเก็งกำไรขาลง เรียกว่า การเปิด “Short” ที่ราคาเฉลี่ยประมาณ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อบิตคอยน์
สาเหตุที่ต้องเป็นการ short บิตคอยน์ก็เพราะว่า บิตคอยน์มีปริมาณการซื้อขายที่มากพอที่จะรองรับธุรกรรมระดับแสนล้านบาทได้ แต่การ short สินทรัพย์อื่นจะทำได้ยากถ้าหากธุรกรรมมีมูลค่ามาก
แล้วบิตคอยน์จะลงได้อย่างไร ?
คำตอบก็คือ ต้องหาเหยื่อที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่มาเทขายบิตคอยน์ในตลาดอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเหยื่อคนนั้นถูกบังคับขาย
และเหยื่อคนนั้นก็คือ “โด ควอน”
จากข้อมูลที่ว่ากองทุน LFG ของโด ควอน ได้ซื้อบิตคอยน์เพื่อนำมาเป็นเงินสำรอง ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ถึง 11 เมษายน
และผู้โจมตีต้องการจะทำอย่างไรก็ได้ให้ กองทุน LFG ต้องเทขายบิตคอยน์ที่ซื้อมาอย่างไม่มีเงื่อนไข
คำตอบก็คือ การเทขาย UST อย่างรวดเร็วในคราวเดียว
ทีนี้ด้วยอัลกอริทึมที่ โด ควอน ออกแบบไว้ ถ้ามีคนเทขาย UST ปริมาณมาก จะไปดึงให้ราคาเหรียญ LUNA ลงตามไปด้วย เพราะกลไกจะสร้าง (mint) เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นมาเพื่อมาลด (burn) เหรียญ UST ลง และคาดหวังว่า การที่ปริมาณเหรียญ UST ในระบบลดลง จะทำให้มูลค่าดีดกลับขึ้นมาได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะปรากฏว่ามันราคาลดลงทั้ง LUNA และ UST
เหรียญ LUNA ก็ราคาลดลง แต่ราคา UST ก็ไม่ได้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเรื่องนี้ต้องติดตามว่าทำไมอัลกอริทึมที่ถูกออกแบบไว้ถึงทำงานไม่สมบูรณ์ ซึ่งคาดเดาว่าระบบ mint เหรียญ LUNA ขึ้นมา และ burn เหรียญ UST ไม่เร็วพอ ที่จะทำให้กลับไปที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
เพราะนักลงทุนเก็งกำไรมีปริมาณมหาศาลมากกว่า การ mint เหรียญ LUNA และ burn เหรียญ UST มาก
ทีนี้กองทุน LFG ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะมาพยุง UST อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นสิ่งที่เกิดต่อมาก็เข้าทางผู้โจมตี ก็คือ บิตคอยน์ในกองทุน LFG ถูกเทขายอย่างรวดเร็ว
เพื่อแลกกับ UST เพื่อจุดประสงค์ในการพยุงให้ UST กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐให้ได้..
ดังนั้นที่ราคาบิตคอยน์ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา กองทุน LFG ก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุเช่นกัน
Onchain Wizard ได้คาดการณ์ไว้ว่า หากผู้โจมตีทำการปิดสถานะ Short หรือทำการซื้อบิตคอยน์ที่ยืมมา เขาจะทำกำไรได้ มากถึง 952 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 33,000 ล้านบาท ในระยะเวลาไม่กี่เดือน..
ซึ่งต้องหมายเหตุว่าข้อมูลจาก Onchain Wizard อาจจะเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น
นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องก็คือ Binance
เพราะผู้โจมตีได้โอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย
เมื่อคนทั่วไปเจอธุรกรรมการโอน UST ออกจากระบบ
ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา
ดังนั้นมาจนถึงตอนนี้ คนขาย UST ไม่ใช่มีแต่ผู้โจมตีแล้ว แต่ยังมีนักลงทุนทั่วไปที่ต่างพากันตื่นตระหนกเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
LFG จึงต้องขายบิตคอยน์เพิ่มเพื่อตรึง UST อีกครั้ง
ขณะที่ผู้โจมตียังคงร่วมทำการขาย UST บน Binance อย่างต่อเนื่อง
จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ
ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ควรอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
และบิตคอยน์ก็ลดลงมาที่ 31,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,085,171 ล้านบาท
ร่วงลงจาก ณ วันที่กองทุน LFG เริ่มเข้าซื้อบิตคอยน์ราว 25%
และแม้ว่าท้ายที่สุด โด ควอน จะออกมาเคลื่อนไหวว่ากำลังจะมีแผนฟื้นฟูในช่วงคืนที่ผ่านมา
แต่หากดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่า LUNA และ UST ยังไม่สามารถรอดพ้นจากวิกฤติเพราะในวันนี้ มูลค่าของทั้ง LUNA และ UST ยังคงร่วงลงเรื่อย ๆ
โดยในตอนนี้ LUNA ราคา 1.9 ดอลลาร์สหรัฐ -94% ในช่วง 24 ชั่วโมง
และ UST ราคา 0.46 ดอลลาร์สหรัฐ -50% ในช่วง 24 ชั่วโมง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว มันเป็นสถานการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นในบ้านเราตอนช่วงปี 2540 ที่โดน จอร์จ โซรอส และเหล่า Hedge Fund โจมตี
โดยสกุลเงินที่จะโดนโจมตีนั้น มันจะทำเรื่องที่ฝืนกฎธรรมชาติทางการเงิน 3 ข้อ หรือที่เรียกว่า “Impossible Trinity”
ซึ่งประกอบไปด้วย
1. การตรึงอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
2. การมีนโยบายการเงินที่เป็นอิสระ
3. การให้เสรีในการเคลื่อนย้ายเงิน
โดยในตอนนั้นประเทศไทยได้ตรึงสกุลเงินบาทไทยไว้กับดอลลาร์สหรัฐ
เหมือนกับที่ โด ควอน ตรึง UST เอาไว้ไม่มีผิด
ซึ่งในตอนนั้นเรายังมีนโยบายการเงินที่เป็นอิสระ มีการกำหนดดอกเบี้ยนโยบายด้วยตนเอง
ซึ่งก็เหมือนกันกับที่ Terra ได้มีอิสระในการกำหนดอัตราผลตอบแทนในระบบ
และยังให้เสรีในการเคลื่อนย้ายเงินเข้าออก เหมือนกับที่ Terra เชื่อมโยงบล็อกเชนอื่น ๆ มากมาย ทำให้คนเคลื่อนเงินเข้าออกได้อย่างเสรี
ดังนั้นถ้า Terra อยากให้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ก็ต้องควบคุมการย้ายเงินไหลเข้าออก
แต่ถ้า Terra อยากให้มีเสรีในการเคลื่อนย้ายเงิน ก็ต้องทำให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว
หรือไม่ Terra ก็ต้องมีสินทรัพย์ที่เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเองมาค้ำประกันแบบ 1:1
มาถึงตรงนี้ ก็คงเป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่า
Algorithmic Stablecoin ของ โด ควอน นั้นได้พังทลายลง อย่างน้อยก็ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในโลกของการเงิน มักมีความโลภ และความกลัว ซ่อนอยู่เสมอ
ถ้าเราคิดว่าฉลาดแล้ว อาจมีคนที่ฉลาดกว่า
และสิ่งที่เราคิดว่า Stable มันอาจจะไม่ Stable เสมอไป..
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู
สั่งซื้อเลยที่
- 690
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
