13 พ.ค. 2022 เวลา 02:00 • กีฬา
" อันเช่ กับปีที่สิงห์ยิงเกิน 100 "
คาร์โล อันเชล็อตติ เพิ่งทำสถิติเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คุมทีมคว้าแชมป์ลีกได้ครบทั้ง 5 ลีกใหญ่ บิ๊ก 5 ของยุโรป
กัลโช่ เซเรีย อา, ลีก เอิง, บุนเดสลีกา, ลา ลีกา ล่าสุด แล้วก็แน่นอน ในฤดูกาล 2009/10 คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก กับเชลซี
เมื่อเอ่ยถึงกุนซือชาวอิตาเลี่ยน เรามักนึกถึงการคุมทีมแบบเน้นรัดกุม อาศัยเกมรับ เสียยากไว้ก่อนเป็นหลัก แต่นั่นไม่ใช่กับ อันเช่
ถ้าจะพูดถึงแนวทางการทำทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ว่าเป็นแบบไหน ก็น่าจะสรุปสั้นๆ ว่าเป็นแบบยืดหยุ่น
อันเชล็อตติ สามารถทำทีมได้ทั้งเน้นเกมรับ เปิดเกมรุก และปรับตามสภาพขุมกำลังที่มี และเปลี่ยนแปลงตามคู่แข่งด้วยได้โดยไม่ขัดเขิน
อีกหนึ่งจุดแข็งของ คาร์โล ก็คือการเป็นโค้ชที่เอานักเตะดาวดังได้อยู่หมัด เขาแทบไม่เคยแสดงความเกรี้ยวกราด โอเว่อร์แอ็คติ้ง หรือพูดอะไรที่ดูแรงๆ เฟี้ยสๆ เพื่อให้ดูเจ๋ง แต่ผลงานในสนามคือสิ่งที่ อันเช่ ใช้ตอบคำถามทุกอย่าง
ตอนที่เขามาคุมเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ปี 2009/10 เขาได้สร้างประวัติศาสตร์เอาไว้ นั่นคือเป็นทีมแรกที่สามารถทำประตูในพรีเมียร์ ลีกได้เกิน 100 ประตู
คราวนั้น เชลซี ของเขาลงสนาม 38 นัด กดไป 103 ประตู เสีย 32 ประตู
เชลซี ยุคนั้นเบียดแย่งแชมป์กับแมนฯ ยูไนเต็ด ลงท้าย คาร์โล พาทีมมีแต้มเหนือปีศาจแดงของเซอร์ อเล็กซ์ เพียง 1 คะแนน มันเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
ถ้าใครได้ชมเชลซี เล่นในฤดูกาลนั้น จะมีความรู้สึกตั้งแต่ก่อนเกมเลยว่า พวกเขาสามารถเดินหน้าบดขยี้คู่แข่งได้แทบจะตั้งแต่ก่อนแข่ง
เชลซี แพ้ 6 นัดในฤดูกาลนั้น แพ้น้อยสุดแล้ว
แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ 7 เท่ากับ แมนฯ ซิตี้
อาร์เซน่อล แพ้ 9
แอสตัน วิลล่า แพ้แค่ 8 ส่วนลิเวอร์พูลแพ้ 11 นัด
ความพ่ายแพ้ 6 นัดของเชลซี เกิดขึ้นในเกมไปเยือน วีแกน, วิลล่า, แมนฯ ซิตี้, เอฟเวอร์ตัน และ สเปอร์ส
โดยมีแมนฯ ซิตี้ ทีมเดียวที่เอาชนะ เชลซี ได้ทั้งเหย้าและเยือน และเป็นทีมเดียวที่บุกมาชนะพวกเขาได้ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
ส่วนใหญ่แล้ว ทีมที่ชนะเชลซี เวลามาเจอที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จะโดนทีมของอันเช่ เอาคืนทบต้นทบดอก
สเปอร์ส โดนไป 3-0, วิลล่า โดนไป 7-1 และ วีแกน โดนไป 8-0
โดยเฉพาะเกมเจอวีแกน เป็นนัดสุดท้ายของฤดูกาลพอดี มันเป็นเกมที่แฟนผี แอบหวังว่า เชลซี จะสะดุด เพื่อที่จะแซงเป็นแชมป์ แต่ดูจากสกอร์ ก็เลิกหวังได้เลย
ผลงานของเชลซี ในฤดูกาล 2009/10 เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า อันเชล็อตติ สามารถคุมทีมเล่นเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยมถ้าเขาต้องการ
บวกกับอีกหนึ่งจุดแข็งคือ อันเช่ สามารถเค้นเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากนักเตะได้ ใช้นักเตะอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ยกตัวอย่างจากสถิติในฤดูกาลนั้น
ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา มีผลงานดีสุดในชีวิต 37 ประตูจาก 44 นัดทุกรายการ นับแค่ในลีก 29 ประตูกับ 13 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเพียง 32 นัด
แอชลี่ย์ โคล แบ็กซ้ายที่ปกติแทบจะยิงไม่ได้เลย ก็ทำไปถึง 4 ประตูในพรีเมียร์ ลีก เป็นสถิติสูงสุดในอาชีพเช่นกัน
แฟรงค์ แลมพาร์ด คือรองดาวซัลโวของทีม 26 ประตูจาก 50 นัด และเอาแค่ในลีก กดไป 22 ประตู สถิติสูงสุดของแลมพาร์ดเลย
นักเตะอาวุธลับอีกคนของเชลซีชุดนี้ ที่คนมองข้ามคือ ฟลอร็องต์ มาลูด้า รายนี้มาทำประตูสำคัญๆ ให้ทีมในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลเยอะมาก และเป็นปีที่ทำประตูได้เยอะสุดในอาชีพของตัวเอง คือ 15 ประตูจาก 51 นัด
แน่นอนว่าขุมกำลังของเชลซีมีขนาดใหญ่ และคุณภาพค่อนข้างสูง แต่มันจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยหากปราศาจากผู้จัดการทีมที่มีฝีมือ เก่งทั้งในด้านแท็คติก และการบริหารบุคคล
จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมคือนักเตะที่ลงสนามให้ทีมมากสุด 51 นัด
มีนักเตะ 12 คนที่ได้ลงเล่นเกิน 30 นัด และมีนักเตะถึง 20 คนที่ลงสนามเกิน 20 นัดตลอดทั้งฤดูกาล แม้แต่นายทวารมือรองอย่าง เอ็นริเก้ ฮิลาริโอ ยังได้เฝ้าเสาถึง 11 นัด
ไมเคิ่ล เอสเซียน กลับมาจากอาการบาดเจ็บยาว ร่างกายเริ่มไม่เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 2008 แต่ อันเช่ ก็ยังใช้เขาได้เหมาะสม ลงเล่นในลีก 14 นัด ยังอุตส่าห์ยิงได้ 3 ประตู เป็นค่าเฉลี่ยที่ดีสุดในอาชีพของเขา
2
ระบบการเล่นหลักของ เชลซี ในฤดูกาลนั้นคือ 4-3-3 แต่บางครั้งก็ปรับมาเล่น 4-3-1-2 ได้แล้วแต่สถานการณ์
กุญแจหลักคือแดนกลางที่ยืดหยุ่น บวกกองหน้าที่มีประสิทธิภาพ และกลจักรลับคือพวกแนวรุกด้านข้างที่สามารถปรับเล่นได้ทั้งกองหน้าหรือมิดฟิลด์เชิงรุก
ยกตัวอย่างเช่น กองกลาง 3 คนมาตรฐานที่ใช้บ่อยคือ จอห์น โอบี มิเกล ยืนต่ำสุด (เอสเซียง ร่างกายไม่เหมือนเดิม) ขนาบข้างด้วย แฟรงค์ แลมพาร์ด และ เดโก้
โอบี มิเกล ทำหน้าที่เกมรับ ส่วนแฟรงค์ แลมพาร์ด คือเบอร์ 8 ที่สามารถขึ้นลงได้ และสอดเข้าทำประตูสำคัญๆ ขณะที่ เดโก้ คือคนคุมจังหวะเกมรุก
ข้างบนสามคน ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เป็นตัวหลักยืนเป็นเป้า ส่วนด้านข้าง นิโกล่าส์ อเนลก้า, ฟลอร็องต์ มาลูด้า, ซาโลมง กาลู ได้โอกาสเยอะหน่อย แต่ก็ยังมี โจ โคล, แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ในวัยดาวรุ่ง ที่สลับมาเล่นกันได้
บางโอกาสที่เล่น 4-3-1-2 อย่างในเกมใหญ่ที่ต้องการเน้นกลางสนาม โอบี มิเกล ยืนต่ำ มี แลมพาร์ด และ มิชาเอล บัลลัค คอยช่วยเหลือพร้อมกับดัน เดโก้ ไปปั้นเกมอยู่หลังคู่หอก ซึ่งมักเป็น อเนลก้า กับ ดร็อกบา
ส่วนเกมที่เจอทีมอ่อนชั้นมากๆ ตั้งใจจะขยี้ให้แหลก อันเช่ เคยไม่ส่งมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติลงสนามเลยมาแล้ว
กองกลางใช้ บัลลัค, แลมพาร์ด, มาลูด้า ส่วนข้างหน้ามี อเนลก้า, ดร็อกบา และ กาลู เน้นเกมรุกเต็มพิกัด
การยืดหยุ่นตามแต่ระดับและวิธีการเล่นของคู่แข่งแบบนี้เองทำให้ เชลซี มีผลงานยอดเยี่ยม พวกเขาทำไป 103 ประตูในพรีเมียร์ ลีก และเสียเพียง 32 ประตู (แมนฯ ยูไนเต็ด เสียน้อยสุดที่ 28 ประตู)
ฤดูกาลนั้น เชลซี ไม่เพียงคว้าแชมป์ลีก แต่พวกเขายังทำดับเบิ้ลแชมป์ ด้วยการเอาชนะพอร์ทสมัธ นัดชิงชนะเลิศ 1-0
ส่วนเส้นทางใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก น่าเสียดายที่พวกเขาตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ อินเตอร์ มิลาน ที่มีคนที่รู้จักเชลซีดีที่สุดอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม แล้วปีนั้น อินเตอร์ ของ มูรินโญ่ ก็ก้าวไปเป็นแชมป์ได้ด้วย
4
ฤดูกาล 2010/11 น่าผิดหวังที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ สโมสรแยกทางกับ เรย์ วิลกิ้นส์ ซึ่งคอยรับบทเป็นมือขวาให้กับ อันเช่
วิลกิ้นส์ รู้จักเชลซีดี รู้จักนักเตะดี เป็นคนคอยเชื่อมระหว่าง อันเช่ กับนักเตะ เนื่องจากในเวลานั้น อันเช่ ยังสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องแคล่วนัก ตัวของ วิลกิ้นส์ เองก็พูดอิตาเลี่ยนได้เพราะเขาเคยเล่นในอิตาลี กับเอซี มิลาน มาก่อน
เมื่อขาดตัวเชื่อมไป สารจากกุนซือก็ไม่สามารถถูกส่งต่อไปยังผู้เล่นได้อย่างเต็มที่
อันเชล็อตติ พาเชลซีจบรองแชมป์ แต่แน่นอน มันไม่ดีพอในสายตา โรมัน อับราโมวิช ทำให้เขาโดนปลดออกจากตำแหน่ง
แม้จะทำทีมแค่ 2 ปี แต่ไม่มีแฟนเชลซีคนไหนลืมผลงาน ดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 2009/10 ปีที่พวกเขายิงเกินร้อยได้เลย
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา