14 พ.ค. 2022 เวลา 12:00 • การศึกษา
📖 “หนังสือ” ที่ใช้คำต่างกันของภาษาจีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี
📖 เชื่อว่าคนที่เรียนภาษาฝั่งตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน, ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ย่อมมีความสนใจเรื่องการเปรียบเทียบคำศัพท์ของภาษาเพื่อนบ้านอยู่แล้ว เพราะทั้ง 3 ชาติต่างมีรากวัฒนธรรม และใช้คำศัพท์ร่วมกันจำนวนมากจากภาษาจีน เรียกว่าหากเรียนรู้คำศัพท์จากภาษาหนึ่งแล้ว ก็สามารถนำไปใช้กับภาษาอื่นได้ง่ายขึ้น แค่ปรับการออกเสียงนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม แต่ละภาษาย่อมมีพัฒนาการคำศัพท์ไปในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้ความหมายเดียวกันเมื่ออยู่ต่างภาษา อาจใช้คำศัพท์หรืออักษรจีนที่ต่างกัน หรือแม้กระทั่งอักษรจีนตัวเดียวกัน แต่ให้ความหมายต่างกันก็พบได้ทั่วไป (เทียบกับภาษาฝั่งยุโรปก็คือ False friend นั่นแหละ)
📖 ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคำว่า “หนังสือ” ที่ทั้ง 3 ภาษานี้ต่างใช้คำ หรืออักษรจีน (คันจิ/ ฮันจา) ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนี้
🇨🇳 ภาษาจีนเรียกว่า shū เขียนเป็นอักษรจีนคือ 書 (จีนตัวย่อ 书)
🇯🇵 ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า hon (ほん) เขียนเป็นคันจิคือ 本
🇰🇷 ภาษาเกาหลีเรียกว่า chaek (책) เขียนเป็นฮันจาคือ 冊 (จีนตัวย่อ 册)
จริงๆ แล้วทั้ง 書、本、冊 ต่างก็มีความหมายและการใช้งานที่ต่างกันใน 3 ภาษา โดยในบทความนี้จะมาแจกแจงความหมายของ 3 ตัวนี้ใน 3 ภาษาเลยครับ
1️⃣ 書/ 书
คำนี้ในภาษาจีนอ่านว่า shū หมายถึงหนังสือแบบทั่วไป สามารถใช้เดี่ยวๆ ได้ ถ้าบอกคนจีนว่าอ่านหนังสือ ก็พูดว่า 讀書/ 读书 (dú shū) ได้เลย
แต่ในภาษาญี่ปุ่น ตัว 書 ถ้าใช้เดี่ยวๆ จะอ่านว่า kaku (かく) แปลว่า “เขียน” เช่น
- 名前を書く(namae o kaku) เขียนชื่อ
- 小説を書く(shōsetsu o kaku) เขียนนิยาย
📖 การใช้ 書/ 书 แบบเดี่ยวๆ จะพบในภาษาจีนและญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ คนที่เรียนทั้งภาษาจีนและญี่ปุ่นอาจไม่ได้เอะใจว่า 書 และ 书 มันคือตัวเดียวกัน เพราะคนเรียนภาษาจีนส่วนมากเรียนจากรูปตัวย่อ ซึ่งทั้งสองภาษานี้มีรูปเขียนและความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ที่จริงมันคือตัวเดียวกันนะ
📖 อย่างไรก็ตาม เมื่อ 書/ 书 ถูกใช้ในคำประสม จะมีความหมายว่า “หนังสือ” ตรงกันทั้ง 3 ภาษา
โดยภาษาญี่ปุ่นจะอ่านเป็นองโยมิคือ sho (しょ) และภาษาเกาหลีจะอ่านว่า seo (서) เช่น
- 図書館/ 图书馆 - ห้องสมุด (จีน túshūguǎn, ญี่ปุ่น toshokan, เกาหลี doseogwan-도서관)
- 教科書 - ตำราเรียน (จีน jiàokēshū, ญี่ปุ่น kyōkasho, เกาหลี gyogwaseo-교과서)
- 書店 - ร้านหนังสือ (จีน shūdiàn, ญี่ปุ่น shoten, เกาหลี seojeom-서점)
- 書類 - เอกสาร (🇯🇵shorui, 🇰🇷seoryu-서류)
เสริมนิดนึง “สือ” ของคำว่าหนังสือ ก็มาจากตัว 書 เช่นกัน
2️⃣ 本
ในภาษาญี่ปุ่นใช้ตัว 本 (hon, ほん) เพื่อบอกหนังสือแบบทั่วไป ถ้าบอกคนญี่ปุ่นว่าอ่านหนังสือ ก็พูด 本を読む (hon o yomu) ได้เลย
ในภาษาจีน 本 (běn) ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ ใช้ได้ 2 แบบ
1 ใช้เป็นคำนาม 本子 (běnzi) แปลว่า “สมุด”
2 ใช้เป็นลักษณนามของหนังสือหรือสิ่งพิมพ์คือ “เล่ม” เช่นหนังสือ 3 เล่มจะเรียกว่า 三本書 (sān běn shū)
ที่จริงตัว 本 ยังมีความหมายอื่นที่มากกว่านี้เช่น รากฐาน, ต้นกำเนิด แต่ในบทความนี้ขอเจาะจงไปที่เรื่องหนังสือเป็นหลัก
🇰🇷 สำหรับภาษาเกาหลี ตัว 本 (bon, 본) ที่หมายถึงหนังสือ พบในคำประสมเท่านั้นเช่น
제본 (jebon, 製本) การผลิตหนังสือ
사본 (sabon, 写本) การคัดลอกหนังสือ
3️⃣ 冊/ 册
คำนี้ในภาษาเกาหลีอ่านว่า chaek (책) หมายถึงหนังสือแบบทั่วไป ถ้าบอกคนเกาหลีว่าอ่านหนังสือ จะพูดว่า 책을읽다 (chaek-eul ikda)
ภาษาจีนใช้ 冊/ 册 (cè) ในความหมายของ “ฉบับ, เล่ม” กับชุดหนังสือที่เรื่องหนึ่งตีพิมพ์หลายเล่ม พบบ่อยในนิยายหรือการ์ตูน เช่น
มังงะนารูโตะ 72 เล่มจบ ภาษาจีนเรียกว่า 火影忍者 全72冊 (ในความหมายนี้ใช้ 卷-juàn แทน 冊 ได้เช่นกัน)
ภาษาญี่ปุ่นใช้ 冊 (satsu, さつ) เป็นลักษณนามของหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ (ตรงกับ 本 ของภาษาจีน) ดังนั้นหากจะบอกหนังสือ 3 เล่มในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า 三冊の本 (san satsu no hon)
📖 ก็เรียกว่าเป็นความปวดหัวของคำว่าหนังสือทั้ง 3 ภาษา ที่แต่ละภาษาใช้อักษรจีนกันคนละตัว สำหรับคนที่เรียนหลายภาษาก็จำเป็นต้องแยกการใช้ให้ถูกต้องว่าตัว 書、本、冊 ของแต่ละภาษามันมีความหมายว่าอย่างไรบ้าง เพราะถ้าใช้ผิดภาษา ความหมายก็จะเปลี่ยนไปทันที
โฆษณา