14 พ.ค. 2022 เวลา 13:52 • ปรัชญา
….หนังเรื่องนี้มันจบลงแล้ว…
ในขณะที่เอื้อมมือเลื่อนปิดประตูลูกกรง ลงกลอนล็อคประตู และค่อยๆ เดินกลับเข้ามาในบ้าน ช่วงเวลานั้นช่างเหมือนม่านของโรงหนังที่ค่อยๆ เลื่อนปิดลง ด้านหลังม่านเป็นจอฉายสีดำที่ขึ้น credit ในฉากจบของหนัง
ไฟทั้งโรงหนังเปิดสว่าง เพื่อให้เรารู้ตัวว่า เรื่องราวของหนังเรื่องนี้มันได้จบลงแล้ว
เคยเป็นมั้ย? หนังจบ แต่ความรู้สึก และอินจัดกับหนังเรื่องนั้น มันยังคงคั่งค้างอยู่ คราบน้ำตา เสียงซื้ดน้ำมูก ที่ยังเอากระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ด
แม้หนังจะจบลงแล้ว ความรู้สึกต่างๆ ยังไหลวนเวียนอยู่
แสงไฟในโรงหนังเปิดสว่างขึ้น ความรู้สึกที่ท่วมท้นนั้น ยังคงกดเราจนจมลงไปในเก้าอี้ จนเราไม่อยากจะลุกขึ้นเลย เพราะหวังว่าหนังยังไม่จบ และจะมีภาพหรือเรื่องราวอะไรต่ออีก
...เรายังไม่อยากให้หนังเรื่องนี้มันจบลง...
ความรู้สึกนี้ มันก็คงไม่ต่างอะไรกับสภาพที่เรากลับถึงบ้าน หลังจากที่เรารู้ตัวเองว่าเรื่องราวความรักของเรามันจบลงแล้ว
มันจบแล้วหรอ? มันต้องจบลงแล้วจริงๆ ใช่มั้ย? มันจะไปต่ออีกนิดได้หรือเปล่า?
ทำไมความรู้สึกแปลกๆ เศร้าๆ ทำไมน้ำตามันกลับมาไหลอีก
มันคือความคิดถึงหรอ หรือมันคือความโหยหา อะไรบางอย่าง
เรื่องราวความรักของเรา มันเป็นหนังสั้นที่มีทั้งความสุขสุดๆ สนุก ตื่นเต้น
เป็นหนังสั้นที่ตอนไคลแมกซ์ของเรื่องนั้นดราม่าขั้นสุด ร้องไห้ โกรธเกรี้ยว เสียใจ ฟูมฟาย
เราเป็นตัวละครที่โดนกระทำ ซ้ำๆ แต่ก็ยังยอมทนในฐานะของมือที่สาม
มือที่สาม ที่โดนตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายของหนังเรื่องนี้ ตอนจบที่มันมักถูกทิ้ง โดนดูดาย ถากถาง โดนผลักให้ล้มลง โดนกระทืบซ้ำ จนแทบไม่มีแรงลุก แค่หายใจก็ยังเหนื่อย
เป็นหนังสั้นที่ตอนจบ ตัวละครตัวนี้ช่างไร้ค่ายิ่งกว่าตัวประกอบซะอีก
สุดท้าย เมื่อได้สติ เรากลับรู้สึกว่า จากเดิมที่เราเป็นตัวละคร ตอนนี้เรากลายเป็นผู้ดูละครในหนังเรื่องนั้นที่เราเคยเล่น
เข้าใจทุกอย่าง เข้าใจแม้กระทั่ง เบื้องหลัง และการกระทำของตัวละครตัวอื่นๆ ว่าทำไม ถึงได้พูดหรือทำแบบนั้นลงไป
แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้ เข้าใจทุกการกระทำของตัวละครทั้งหมดหรอกนะ แต่ก็เข้าใจในบริบทนั้นๆ ที่มันควรจะต้องมีฉากจบแบบนี้
สุดท้ายเมื่อหนังเรื่องนี้มันต้องจบลงแล้วจริงๆ เราก็คงต้องลุกจากที่นั่ง และก็กลับบ้าน ไปใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นได้แล้ว
มันคงหลงเหลือแค่ความรู้สึก รอยยิ้มและคราบน้ำตาเท่านั้นแหละ ที่ยังคงหมุนวน ไหลเวียน อยู่ในความรู้สึก ที่ไม่เคยหายไป
ถึงแม้หนังเรื่องนั้น...ได้จบลงแล้ว
แต่โอเค ถ้ามันจะต้องจบ เราก็คงจะฝืนอะไรมันไม่ได้แล้ว
แต่เมื่อไหร่ที่เราคิดถึง เราก็แค่เปิดภาพฉากที่มีความสุข ที่ดูแล้วยิ้มได้
แต่ก็ต้องเตือนสติตัวเองอยู่เสมอนะ ว่ามันเป็นแค่ภาพในหนังที่มันจบลงแล้ว
เราไม่มีสิทธิที่จะกลับไป มันไม่มีทางที่หนังเรื่องนั้น จะกลับมาฉายซ้ำได้อีก
เราทำได้แค่จดจำ และหยิบโมเม้นท์ดีๆ ขึ้นมาให้คิดถึง แค่นั้น ก็คงเพียงพอแล้ว
อย่ากลับไปนั่งรออยู่ในโรงหนังที่ว่างเปล่า โรงหนังที่ไม่มีวันฉายหนังรักเรื่องนั้นซ้ำอีกเลย
หนังรักที่เคยทำให้หัวใจพองฟู หนังรักที่เราเคยยอมเจ็บ เคยยอมรอ เคยยอมแลก และเคยทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่กับเขา คนที่เรารัก
และเคยคิดว่าตอนจบ จะแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนเรื่องอื่นๆ
แต่นี้คือเรื่องราวความรัก มันช่างเป็นหนังที่เขียนบทได้สมจริงซะเหลือเกิน
ลุกออกมาเถอะ ยอมรับซะว่า มันจบลงแล้ว
….หนังเรื่องนี้มันจบลงแล้ว….
Writer Note:
เขียนบทความนี้ทันที หลังจากที่กลับมาจากการไปเจอคนๆ นั้น มันรู้สึกดีนะที่ได้กลับไปเจอกันในฐานะเพื่อนอีกครั้ง
แต่แค่อยากจะเขียนเตือนสติตัวเอง ว่าอย่ากลับไปวนลูปเดิม ที่ทำให้ใจมันเจ็บซ้ำๆ แบบเดิมอีก
โฆษณา