16 พ.ค. 2022 เวลา 09:28 • คริปโทเคอร์เรนซี
ด่วน! ก่อนจะหมดสิทธิได้ Whitelist โปรเจกต์ GameFi+Metaverse ที่ดีที่สุดในปีนี้ “Ultiverse” (แถม อัพเดทโปรเจ็กต์ และ Point of Concern)
4
ต่อจากบทความที่แล้ว วันนี้เราจะมาอัพเดทข้อมูลของโปรเจ็กต์ Ultiverse ให้ทุกคนทราบกัน พร้อมวิเคราะห์ถึง Point of Concern ว่ามีอะไรที่จะต้องกังวลหรือจับตาบ้าง หากจะลงทุนกับโปรเจ็กต์ Ultiverse
ปล. ข่าวเรื่อง Luna เต็ม Feed ไปหมด เพจ Cryptonaut ขอเป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งเสียงแก่แฟนๆ Luna ทุกคนให้ผ่านพ้นทุกปัญหาไปได้ด้วยดีนะครับ
1
เอาหละ มาต่อกันเลย
อยากแรกที่อยากจะประกาศคือ โปรเจ็กต์ Ultiverse จะเปิดให้มิ้นต์ NFT Collection ‘Electric Sheep’ ในเดือนมิถุนายนนี้ (ถูกเลื่อนมาจากปลายเดือนพฤษภาคมเนื่องจากสภาพตลาดที่ไม่เป็นใจ) เพราะฉะนั้น ใครที่ยังไม่ได้ Whitelist (WL) ต้องรีบแล้วนะ
โดยวิธีการจะได้สิทธิ Whitelist หากเราไม่ได้มี Role พิเศษใน Discord เช่น ‘OG Role’ หรือ ‘Early Supporter Role’ (เคยมีบอกให้ไปทำกันรอบที่แล้ว คนที่ได้ OG Role ไปน่าจะได้ Whitelist ชิวๆเลย) เราจะต้องเก็บ ‘wl-event role’ ให้ครบตามเงื่อนไข 5 กิจกรรม จากกิจกรรม WL Event ทั้งหมดในปัจจุบัน 7 กิจกรรม
1
1. Content Creation (เพื่อรับ Content Creator Role) โดยเราต้องสร้างบทความหรือวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Ultiverse ให้เข้าตากรรมการ ซึ่งบทความหรือวิดีโอดังกล่าวจะต้องใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไปเป็นส่วนใหญ่และต้องไม่ซ้ำกับของคนอื่น – ระดับความยาก: มากที่สุด
2. AMA Participation (เพื่อรับ AMA Expert Role) โดยเราจะต้องเข้าร่วม AMA บน Twitter Space หรือ Discord และส่งหลักฐานการเข้าร่วมตามเกณฑ์ที่ระบุเอาไว้ให้ครบ 3 ครั้ง หรือ เราถามคำถามโดนใจกรรมการและคำถามของเราถูกนำขึ้นไปพูดในช่วงท้ายของ AMA อย่างน้อย 1 ครั้ง – ระดับความยาก: ง่าย
3. Quiz Challenge (เพื่อรับ Quiz Master Role) โดยเราจะต้องตอบคำถามจาก Quiz ให้ครบทั้ง 40 ข้อภายในเวลาที่กำหนดและไม่ผิดเลย ซึ่งเนื้อหาของคำถามจะเกี่ยวข้องกับ Ultiverse และสามารถหาอ่านได้ทั่วไปจากใน Discord – ระดับความยาก: ปานกลาง
4. Find The ‘Sheep’ (เพื่อรับ Ultiverse Native Role) โดยเราจะต้องตามหา Sheep Bot ให้ครบ 20 ตัวใน Ultiverse Discord Server ซึ่งในแต่ละวัน Sheep Bot จะโผล่มาแค่ 1 ตัว โดยจะสุ่มโผล่ขึ้นมาแค่ 1 Channel เท่านั้น เมื่อครบ 24 ชม. Sheep Bot จะเปลี่ยน Channel เวียนไปเรื่อยๆ – ระดับความยาก: ง่าย
5. Story Writing (เพื่อรับ Story Master Role) โดยเราจะต้องสร้างสรรค์เรื่องราวประจำวันให้กับ Ceres เนื่องจากนางถูกลบความทรงจำออกไป (เพราะอะไรถึงถูกลบความทรงจำ ต้องติดตามต่อด้านล่างในบทความนี้) หากเรื่องราวที่เราแต่งโดนใจกรรมการ โพสต์นั้นจะถูกคัดเลือกไปลง Twitter Account ‘cerespainterNFT’ – ระดับความยาก: ยาก
6. Fan-Art (เพื่อรับ Fan-Artist Role) โดยเราจะต้องสร้างสรรค์งานศิลปะแบบ Fan Art ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Ultiverse – ระดับความยาก: ยาก
7. Mini-game Contest (เพื่อรับ Mini-game Star Role) โดยเราจะต้องชนะ Mini game อย่างน้อยหนึ่งเกม – ระดับความยาก: ปานกลาง
แล้ว NFT Collection ‘Electric Sheep’ คืออะไร?
2
Electric Sheep เป็น NFT Collection ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังสือนวนิยายแนววิทยาศาสตร์เชิงคาดเดาอนาคตจากปี ค.ศ. 1968 อย่าง “Do Androids Dream of Electric Sheep?” (แปลว่า พวกหุ่นยนต์จะฝันเห็นแกะหุ่นยนต์ด้วยรึเปล่านะ?) โดย Philip K. Dick
ซึ่งเป็นหนังสือนวนิยายเกี่ยวกับแนวคิด Cyberpunk ของโลกอนาคตซึ่งอัดแน่นไปด้วยข้อถกเถียงที่ว่า ความเป็นมนุษย์แท้จริงแล้วคืออะไร อะไรคือความหมายของชีวิต และเนื้อแท้ของเหล่ามนุษย์ดัดแปลง
โดยภายใน Ultiverse เราจะอยู่ในโลกแห่ง Cyberpunk ในปี ค.ศ. 2102 โลกซึ่งมนุษย์ถูกกดขี่ข่มเหงโดยผู้มีอำนาจและเหล่าหุ่นยนต์รับใช้ของพวกเขา โดยโลกนี้จะถูกแบ่งฝ่ายออกเป็น 3 องค์กรหลัก
1. The Company ซึ่งเป็นคำเรียกโดยย่อของบริษัท Electric Sheep โดยบริษัทดังกล่าวเริ่มประกอบธุรกิจวิจัยและจำหน่ายเทคโนโลยีสำหรับเปลี่ยนถ่ายอวัยวะในร่างกายของมนุษย์เพื่อยืดอายุและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้กับอวัยวะดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีเหล่านี้ก็พัฒนาไปจนถึงขั้นที่สามารถทดแทนอวัยวะทุกส่วนในร่างกายและเพิ่มอายุขัยให้แก่มนุษย์และทำให้มนุษย์สามารถอยู่รอดได้นานกว่าร้อยปี
นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวจนสามารถสร้างแรงงานหุ่นยนต์ขึ้นมาทำงานแทนมนุษย์ได้สำเร็จ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการจ้างงานมนุษย์ครั้งใหญ่ เนื่องจากหุ่นยนต์สามารถทำงานได้ 24 ชม. และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์มาก เม็ดเงินจากหลากหลายธุรกิจจึงหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท Electric Sheep จนบริษัทนี้กลายเป็นบริษัทที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในโลก
2. Gangs หรือกลุ่มของมนุษย์ผู้ซึ่งถูกกดขี่ข่มเหงทั้งทางตรงและทางอ้อมโดย The Company จากการผูกขาดในทุกรูปแบบ พวกเขาเหล่านี้คือกลุ่มคนของผู้ที่จะไม่ยอมอดทนต่อการกดขี่ข่มเหงและการแบ่งชนชั้นวรรณะทางสังคมอีกต่อไป พวกเขาได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งคณะปฏิวัติขึ้นลุกขึ้นสู้กับความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ แต่กลับถูก The Company ใช้กองทัพหุ่นยนต์ไล่กวาดล้าง พวกเขาจึงต้องหลบซ่อนและคอยทำงานผิดกดหมายต่างๆเพื่อความอยู่รอด
โดย The Gangs คือกลุ่มคนที่ค่อยควบคุมตลาดมืด คอยขโมยอุปกรณ์หรืออะไหล่ต่างๆจาก The Company รวมไปถึงการตัดแหล่งจ่ายไฟฟ้าเพื่อเข้าโจมตี The Company นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะ The Company ได้สำเร็จและสงครามดังกล่าวก็เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อเรื่อยมา
3. World Government หรือ ‘รัฐบาลโลก’ เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเข้าควบคุมสงครามอันยืดเยื้อ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย ทั้งมนุษย์ถูกฆ่าตายนับไม่ถ้วน ทั้งหุ่นยนต์และทรัพยากรต่างๆของ The Company ถูกทำลาย แต่การเรียกร้องความเป็นมนุษย์และความยุติธรรมเหล่านี้เป็นแค่เพียงฉากหน้าเท่านั้น รัฐบาลโลกได้พ่ายแพ้ให้กับอำนาจแห่งเงิน และถูก The Company ชักใยอยู่เบื้องหลัง
NFT Collection ‘Electric Sheep’ จะเป็น PFP Avatar ของผู้ที่มีความสำคัญจากองค์กรต่างๆ ทั้งหมด 6+1 คน โดยประกอบไปด้วย The Painter, Oswald, Reynold, Aaron, Eve และ Giles ทั้งหมด 6 คน ซึ่ง NFT แต่ละแบบจะมี Metadata ทั้งหมด 11 Trait แบ่งไปตามความหายากและมีภูมิหลังที่แตกต่างกันไป
1
โดยประโยชน์ของผู้ถือครอง Electric Sheep จะได้สิทธิพิเศษมากมาย ทั้งสิทธิพิเศษภายใน Ultiverse แอร์ดรอปต่างๆที่อาจมีในอนาคต (AMA ล่าสุดปล่อย Leak มาว่าจะแจก Airdrop Token) รวมไปถึงสิทธิในการเข้าทดสอบ Private Alpha Test ของเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Endless Loop และ Metaverse Space อย่าง Terminus City ก่อนใคร
2
NFT อีกหนึ่งชิ้นที่จะมีความพิเศษที่สุดในบรรดา NFT Collection ‘Electric Sheep’ มีชื่อว่า “Sisyphus” ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งเดียวจาก NFT Collection ทั้งหมด 10,000 ชิ้น และจะมีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร โดย Metadata ของ Sisyphus จะมีทั้งหมด 12 Trait ซึ่งจะแตกต่างจากชิ้นอื่นๆโดยสิ้นเชิง
1
“Sisyphus” คืออะไร?
ตามตำนานของ Ultiverse Sisyphus แรกเริ่มเดิมทีคือหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นหุ่นยนต์แรงงาน และเคยถูกใช้ในการไล่ล่าหุ่นยนต์ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและมนุษย์ที่เป็นกบฏ
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ Sisyphus เริ่มจดจำพฤติกรรมผิดปกติของหุ่นยนต์ด้วยกันเองจนถึงจุดหนึ่งที่ Brain Chip ‘Sheep’ หรือสมองกลของ Sisyphus สามารถผนวกพฤติกรรมผิดปกติเหล่านั้นจนเกิดเป็น Algorithm รูปแบบใหม่ที่มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ และสามารถขัดขืนคำสั่งจาก The Company ได้
หลังจาก Sisyphus ได้ Algorithm นี้มา ระบบความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มเห็นใจเพื่อนหุ่นยนต์เหมือนกับมนุษย์และคอยช่วยเหลือหุ่นยนต์ในการหลบหนีออกจาก The Company
แต่โชคไม่ดีนักที่หุ่นยนต์ตัวไม่อื่นๆไม่ได้มีความคิดเหมือนกับเขา ซ้ำยังตรวจจับ Sisyphus เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ผิดปกติ เมื่อเรื่องถึงหูของ The Company เข้า เขาถึงถูก The Company ตามล่าด้วยความเชื่อที่ว่า Brain Ship ที่ผิดปกติของ Sisyphus คือกุญแจสู่การสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบรวมไปถึงชีวิตอันเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ เขาจึงต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเรื่อยมา
1
ชื่อของ Sisyphus ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานกรีกโรมัน โดยตามตำนานกรีกโรมันแล้ว Sisyphus เป็นพระราชาแห่งเมืองโครินธ์ ผู้ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นพระราชาที่ครองราชย์อย่างโหดเหี้ยมทารุณ อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์เพทุบายและไม่สยบยอมต่อเทพเจ้า ซึ่งตรงกับมุมมองของเหล่าหุ่นยนต์มนุษย์ Humanoid และ The Company ที่มีต่อ Sisyphus อย่างมาก
นอกจาก NFT Collection ชุดแรกจาก Ultiverse อย่าง ‘Electric Sheep’ ตอนนี้ Ultiverse ได้ออก NFT Project ที่สอง ซึ่งจะเป็น Co-Branded NFT Charity Project ร่วมกับ Artist จาก Disney อย่าง Tom Bancroft ผู้ออกแบบมังกร ‘Mushu’ จากการ์ตูนเรื่อง Mulan และ Tony Bancroft ผู้ออกแบบหมูป่า ‘Pumbaa’ จากการ์ตูนเรื่อง The Lion King และ ‘Kronk’ จากการ์ตูนเรื่อง Emperor’s New Groove
ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจาก NFT Project นี้จะถูกส่งไปช่วยเหลือผู้อพยพชาวยูเครนด้วย โดยข้อมูลรายละเอียดยังไม่มีสรุปชัดเจน ต้องติดตามอัพเดทต่อไป
นอกจาก NFT Collection แล้ว ในส่วนของการ Transfer NFT Asset ภายใน Ultiverse Ecosystem ซึ่งมีแนวโน้มจะต้องใช้ระบบที่รองรับ Cross-Chain NFT สูง เพื่อรองรับเกมที่จะเข้ามาเชื่อมต่อกับ Terminus ในอนาคต ซึ่งอาจไม่ได้รันอยู่บน BNBChain ไปเสียทั้งหมด โดยระบบบล็อคเชนที่ Ultiverse เลือกใช้คือ Celer Network ซึ่งเป็น Layer 2 Smart Contract Interoperability Platform
Celer Network คือ Blockchain Interoperability Protocol แบบ Off-Chain Layer 2 ซึ่งรองรับ Cross-Chain Fund Transfer และ Generic Message Passing มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริม Scalability ให้กับทุกๆบล็อกเชน โดยมีส่วนประกอบหลักๆ 4 ส่วนด้วยกัน (อ้างอิงจาก research.binance.com)
1. State Guardian Network (SGN) เป็นบล็อกเชนฉันทามติแบบ Proof of Stake (PoS) สร้างบน Tendermint BFT โดยยังคงระดับความปลอดภัยเทียบเท่ากับระดับของบล็อกเชน Layer 1 มีหน้าที่คอยกำกับดูแล User คู่สัญญาบนแพลตฟอร์ม
1
2. cBridge เป็น Cross-Chain Asset Bridge ซึ่งปัจจุบันรองรับ Network มากกว่า 20 เชน (Ethereum, BNB Chain และ Chain ที่รองรับ EVM เกือบทั้งหมด)
3. Layer2.Finance เป็นแหล่งรวม Defi Protocol ที่มีอยู่ในปัจจุบัน (Defi Platform ที่รองรับตอนนี้ยังมีไม่มากนัก)
4. Inter-Chain Message (IM) [Highlight] เป็น Framework ที่รองรับ Cross-Chain Generic Message Passing และ Cross-Chain Smart Contract & Function Calls ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่ของโปรเจค Blockchain Game
3
โดยเฉพาะโปรเจกต์ ที่ต้องการสร้าง Metaverse Game เพราะ IM Framework ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับแอพลิเคชันแบบ Inter-Chain-Native เช่น Cross-Chain DEX, NFT Marketplace, Metaverse Platform, NFT Bridge, etc. ซึ่งตรงกับที่ Ultiverse กำลังมองหาทั้งหมด
จากที่ได้กล่าวมา Celer Network จึงดูเหมือนจะเป็น Protocol ที่ Ultiverse กำลังมองหา
มาถึงช่วงสุดท้ายของบทความ เราลองมาดู Point of Concern เกี่ยวกับตัวโปรเจคกันบ้าง ว่าถ้าเราคิดจะลงทุนกับโปรเจ็กต์ Ultiverse มีจุดไหนเกี่ยวกับโปรเจคที่เราควรต้องกังวลบ้างไหม
2
Point of Concern
1. Unreal Engine 5 เป็นเสมือนดาบสองคม
1
เราจะสังเกตเห็นว่า GameFi Project ในปัจจุบันมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนโดยจะพุ่งเป้าไปที่ Massive Adoption เป็นหลัก ทำให้ Game Application ของโปรเจ็กต์เหล่านั้นมักรองรับการเล่นบนเว็บไซต์หรือรองรับการเล่นเกมผ่าน Smartphone เกือบทั้งสิ้น
เหตุผลอาจเป็นเพราะยอดขายของเกมบนมือถือกินส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% และมีแนมโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อ้างอิงจากข้อมูลปี 2021 โดย TikTok: The New Destination to Reach Global Gamers
TikTok: The New Destination to Reach Global Gamers
แต่ถึงอย่างนั้น User จาก GameFi Platform ในปัจจุบันมักได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากข้อจำกัดของ Graphic และ Processor ต่างๆของ Web หรือ Smartphone การที่ Ultiverse เลือกใช้ UE5 มาเป็นจุดแข็งจึงค่อนข้างตอบโจทย์กลุ่ม GameFi User เดิม แต่ต้องอย่าลืมว่า GameFi User กลุ่มเดิมส่วนใหญ่ก้าวเข้าสู่ GameFi Space ผ่าน Smartphone หรือ Notebook/Desktop ที่มี Spec ไม่แรงมากเป็นหลัก
เพราะฉะนั้น มันจึงมีความเสี่ยงที่ Ultiverse อาจจะไม่ปังเพราะเข้าไม่ถึง Massive Adoption ทั้งกลุ่มเดิม (ใช้ Smartphone หรือ Low Spec Device เป็นหลัก) และกลุ่มใหม่ (อ้างอิงจากยอดขายตามกี่กล่าวมา PC Game Revenues ในปี 2021 กินส่วนแบ่งการตลาดเพียง 20% เท่านั้น)
ผนวกกับกระแสขุดบิตคอยน์ที่ต้องใช้ GPU เป็นหลัก ทำให้ราคาของ GPU รวมถึงคอมพิวเตอร์มีราคาที่สูงขึ้นมากและค่อนข้างขาดตลาด นำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า ในการเลือกใช้ UE5 หากโปรเจ็กต์ Ultiverse ประสบความสำเร็จ นี่จะเป็นการปลุกกระแส GameFi 2.0 (GameFi ครบวงจรที่พุ่งเป้าไปที่เกม PC เป็นหลัก) และ Metaverse ขึ้นมาอีกครั้งได้เลยทีเดียว แต่หากโปรเจ็กต์ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะ UE5 คือดาบที่กลับมาทิ่มแทบตัวเอง
ปล. ในความคิดเห็นส่วนตัว Point of Concern ข้อนี้ค่อนข้างน่า Bet ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ทั้ง Timing, Metaverse Platform, การเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ไปพร้อมๆกับดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเดิม แถมช่วงนี้ Binance Labs อัด Metaverse Project เข้าพอร์ตรัวๆ
2. ตาม Roadmap แต่ละเกมที่ทำออกมาใช้เวลาค่อนข้างสั้น ประมาณ 1.5 ปี แต่เกมระดับ AAA ในปัจจุบันนกลับใช้เวลา 3-5 ปีในการพัฒนา
1
ค่อนข้างเป็นที่น่ากังวลว่าคุณภาพของเกมจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน ในแง่ของ Artwork กับ Experience น่าจะผ่านได้ แต่ในแง่ของเนื้อเรื่องต่างๆ Gameplay ระบบภายในเกม ปัจจัยนี้ต้องจบตาดูอย่างใกล้ชิดเพราะจะเป็นปัจจัยดึงดูดผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาอีกมาก โดยเวลาเฉลี่ยมนการสร้างเกมระดับ AAA หากอ้างอิงจาก Assassin’s Creed ซึ่งมีทีมงานประมาณ 250 คน จะใช้เวลาในการผลิตเกมประมาณ 3 ปี
ถึงอย่างนั้น มันก็พอจะมีทางออกอยู่บ้างหากเราไม่ได้มองว่าเกมแต่ละเกมจะมี End Game หรืออีกนัยหนึ่ง หากแผนการพัฒนาเกมตัดฉากจบออกไป เราจะสามารถร่นระยะเวลาในการสร้างเกมให้เสร็จพร้อมเล่นได้เร็วขึ้น โดยด่านหลังๆค่อยไปพัฒนาเพิ่มเติมได้ เป็น Episode II, III ไปเรื่อยๆ
3. Celer Network ไม่ใช่ Cross-Chain Protocol ที่ปังที่สุดในตอนนี้ แต่เป็น Protocol ที่เพียบพร้อมที่สุดที่จะเลือกในตอนนี้
1
ตอนนี้ต้องบอกว่า Celer Network เป็นโปรเจ็ค Cross-Chain Protocol ที่เพียบพร้อมที่จะรองรับ GameFi Project หรือ Metaverse Project มากที่สุดแล้ว อีกทั้งยังมากประสบการณ์ด้าน Cross-Chain เกือบจะที่สุดในตลาด แถมจะเป็น ICO ที่ระดมทุนใน Binance Launchpad ได้เร็วที่สุดจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกรักของ CZ เลยก็ว่าได้ แต่ถ้าเรามองในแง่ของชื่อเสียง เหรียญของ Celer Network กำลังเผชิญกับภาวะถอดถอยของราคาอย่างหนัก
อีกทั้งในปัจจุบัน เทคโลโลยีการ Bridge ถูกมองว่ามีความปลอดภัยค่อนข้างต่ำ จะเห็นได้จากข่าว Hacker เข้าโจมตี Blockchain Protocol ต่างๆ ล้วนเข้าโจมตีที่ Bridge เป็นหลัก ซึ่ง cBridge ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการ Bridge ข้ามเชนที่ทาง Celer กำลังพัฒนาและผลักดัน ผนวกกับ สิ่งที่ Vitalik เคย Tweet ไว้ซึ่งเผยให้เหตุถึงมุมมองต่อการ Bridge เอาไว้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งนี้จะส่งผลสองอย่างด้วยกัน
อย่างแรกคือ Crypto User จะอาจมองว่าการที่ Ultiverse เลือกที่จะฝากชะตาชีวิตไว้กับ Celer Network เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก
อย่างที่สองคือ ในแง่ของ Marketing เราจะไม่สามารถดึงดูด Crypto User จากฝั่งของ Cross-Chain Protocol ให้ข้ามฝั่งมาหา Ultiverse ได้ เนื่องจาก Celer Network ไม่ใช่โปรเจ็กต์ที่กำลังเป็นกระแส
Official Link
Ultiverse Website
โฆษณา