18 พ.ค. 2022 เวลา 10:36 • ประวัติศาสตร์
โลกของเราดํารงค์อยู่อย่างมีความหมาย คือมีไว้ให้สัตว์์มาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่าง เริ่มจากเรียนรู้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดในเบื้องต้น จนพัฒนาสติปัญญามาเป็นคนสามารถหลุดพ้นจากสัญชาติญาณของสัตว์ในระดับหนึ่ง โดยเก็บความรู้สึกนี้ไว้ภายใต้จิตใต้สำนึก เมื่อมนุษย์มีพัฒนาการทางเทคโนโลยี มีความเจริญทางวัตถุ สัญชาตญาณดังกล่าวยังมีอยู่ในตัวมนุษย์อยู่ไม่เสื่อมคลาย พร้อมจะนําออกมาใช้ได้ตลอดเวลา
ดังนั้นความคิดแบ่งแยก เป็นหมู่เหล่า เป็นเผ่าพันธุ์ ชนชั้น การเอาตัวรอดในเผ่าพันธุ์ตัวเองยังมีอยู่แน่นอน ภายใต้ความคิดที่ว่า คนของฉัน ศาสนาของเรา ประเทศของเรา ต่างคนต่างยึดมั่นในอัตตาของตนเอง
ถ้ามนุษย์มีพัฒนาการเพียงด้านวัตถุ แต่ไม่มีพัฒนาการด้านจิตใจ คือยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ลดอัตตา และความยึดมั่นถือมั่นให้น้อยลง ความคิดแบ่งแยกคงไม่เกิดขึ้น ดังนั้นโลกมนุษย์จึงเป็นเหมือนมหาวิทยาลัย ที่สัตว์ลงมาเกิดจะต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะยกระดับจิตใจและหลุดพ้น ความแบ่งแยกทั้งหลายทั้งปวง คนที่เข้าใจ จะใช้เวลาบนโลกมนุษย์เพื่อเรียนรู้ ความเป็นหนึ่งเดียวหรือความเป็นสากล
โลกมนุษย์มีให้คนเกิดมาเรียนรู้สภาวะนั้น คนที่ไม่เรียนรู้ ก็จะหลงไหลยึดมั่นถือมั่น เพลิดเพลินกับกิเลสตัณหาไปตลอดกาล ในสังคมมนุษย์ การที่เราจะมีความคิดแบ่งแยกหรือไม่แบ่งแยกก็ได้ เป็นเรื่องปรกติของชาวโลก แต่เราต้องรู้ทันไม่หลงไปกับสภาวะนั้นๆ ด้วยว่าเรามีความรู้สึกตัว เราจึงจะหลุดพ้นจากโลกอย่างแท้จริง สังเกตุดูว่าโลกเรานี้มีคนหลายๆประเภทอยู่ปนๆกันไป มีทั้งที่รู้ความจริงในข้อนี้และมีที่ไม่รู้อะไรเลย
ส่วนมนุษย์ที่หลุดพ้นไปจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อตายไปจิตวิญญาณ จะไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีความเชื่อ ไม่มีศาสนา ชนชั้น ฐานันดร จิตที่เป็นอิสระด้วยกันจะมาอยู่รวมกัน ในโลกสีขาว ซึ่งเป็นโลกของเทวดา และพรหม สูงสุดคือนิพพาน
ส่วนตัวคุณก็ดํารงชีวิตไปตามปรกติ ด้วยปัญญาและมีสติและความรู้สึกตัว และรู้ว่าโลกมันเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นอนัตตา ที่ควบคุมบังคับไม่ได้ เราจึงไม่ต้องทุกข์ร้อน หรือโอดครวญใดๆ พาลจะเป็นโรคประสาทเอาง่ายๆ เพราะปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ เนื่องจากมี โลภะ โทสะโมหะ คือโกรธ ไม่พอใจ ไม่เข้าใจว่าทําไมโลกมันเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นไปที่เราต้องการ ถึงคุณจะมองโลกแบบเห็นสภาวะไตรลักษณ์ได้ก็ตาม
โฆษณา