18 พ.ค. 2022 เวลา 12:35 • คริปโทเคอร์เรนซี
LUNA-UST Postmortem ปฏิบัติการชันสูตรศพ (EP 1/2): มองย้อนถึงสาเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (Min read: approx 7 mins)
1
เรียบเรียงข้อมูลเหตุการณ์วงจรมรณะ (Death Spiral) ของ LUNA-UST พร้อมกับคั้นบทเรียนออกมาให้ได้มากที่สุด
ต้องบอกก่อนว่าบทความนี้ผมไม่ได้จะมาบอกว่าเฮ้ย...ผมเข้าใจสาเหตุการตายของ Terra อย่างถ่องแท้ และซ้ำเติมหลายๆคนที่ได้รับผลกระทบ (ผมเป็นคนนึงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน)
นี่เป็นการเขียนแบบ After-the-fact คือหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นไปแล้ว มันเลยสามารถเขียนได้ละเอียดและเชื่อมจุดต่างๆได้ มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทั้งเพื่อนๆและผมกลับมาอ่านในอนาคตและสกัดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ออกมาให้ได้มากที่สุด ดังคำกล่าวที่ว่า “Never let a good crisis go to waste”
ย้อนกลับไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์ depeg (มูลค่า UST หลุดค่าที่ตรึงไว้กับดอลล่าร์สหรัฐ) ต้องบอกก่อนว่าทาง Terra มีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว โดยปัญหาที่แทบทุกคนรับรู้ของ Terra คือความต้องการการใช้ UST กระจุกตัวอยู่ในแค่ Anchor (บัญชีเงินฝากบน Terra Blockchain) ที่ให้ดอกเบี้ยแบบคงที่สูงถึงเกือบ 20% ต่อปี
ถ้าถามว่าเฮ้ยแล้วดอกเบี้ยที่แจกมาจากไหน? ต้องบอกว่าเป็นงบค่าการตลาดของ Terraform labs - TFL (บริษัทที่ทำ Terra blockchain) ถ้าเราเข้าไปดู wallet ของ TFL ณ วันที่ 28 มี.ค. 66 ในนั้นมี LUNA อยู่กว่า 298 ล้าน LUNA ซึ่งตอนนั้นมูลค่าของ LUNA อยู่ที่ $88 คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 26,000 ล้านดอลล่าร์ (ไม่ใช่บาทด้วยนะ..) แปลว่าเขามีเงินมหาศาลที่จะอัดฉีดเข้าคลังของ Anchor
ทำให้สัดส่วน UST ที่อยู่บน Anchor คิดเป็น 75% ของ UST ทั้งหมด UST ที่มาฝากไว้บน Anchor ทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 14,000 UST ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืนเพราะสุดท้ายเงินที่เอามาเติมใน Anchor จะหมดลง เหมือนการแจกโค้ดส่วนลดอาหารของ Grab หรือการแจกโค้ดส่งฟรีของ Shopee Lazada
อย่างเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาเงินถูกเติมเข้าไปใน Anchor $450m ซึ่งถือว่าสูงมากแต่ถ้าเอาไปเทียบกับ Burn rate หรืออัตราการผลาญ UST ใน reserve ที่อยู่ที่ราวๆ $122m ต่อเดือน ก็ถือว่าไม่ได้สูงเลย ทำให้มีการเสนอแนวทางแก้ไขอย่าง Dynamic Yield ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.5% ทุกเดือนขึ้นมาแล้วด้วย
ต้องบอกว่าการที่ Terra ไม่ได้ออกแบบ UST ให้เหมือน DAI เพราะ TFL ต้องการให้ UST เติบโตไวที่สุด โดยถ้าใช้ Over-Collateral model ($150 ETH แลกออกมาได้ $100 DAI) แบบ DAI จะทำให้ UST ถูกผลิตออกมาได้น้อยลง เกิดการใช้งานน้อยลง
โดยสมมติฐานของ Terra คือเมื่อช่วง Promotion หมดลง Terra จะสามารถสร้างความต้องการที่จะใช้งาน UST ในรูปแบบอื่นๆได้ จน Anchor เป็นเพียงแค่ 1 ใน หลายๆการใช้งานเท่านั้น
ซึ่งเขาก็พยายามสร้าง UST ให้กลายเป็น “Superior form of money” หรือเป็นเงินแบบจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น
- ใช้ในการลงทุนก็เข้าไปซื้อหุ้นบน Mirror protocol (และอื่นๆที่กำลังจะมาอีกหลาย protocol)
- ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันใช้ CHAI payment app
- เก็บออมบน Anchor
แล้วถ้า UST มูลค่าน้อยกว่า $1 เราสามารถแลก UST กลับไปเป็น LUNA ในอัตรา $1 = 1 UST อีก ซึ่งหลังจากแลกไปสามารถทำได้ 4 อย่าง:
- ขาย LUNA ทันทีเพื่อเอากำไร (arbitrage)
- ถือ LUNA ไว้เพื่อรอขายในราคาที่สูงขึ้น (capital gain)
- ถือ LUNA ไว้เพื่อรอจังหวะ UST ราคาขึ้นไปมากกว่า $1 แล้วแลกกลับไปเป็น UST เพื่อทำกำไร
- เอา LUNA ที่ได้มาไป Stake ไว้เพื่อรับผลตอบแทน
รวมถึง Luna Foundation Guard (เป็นบริษัทไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Terra blockchain) ยังมีสินทรัพย์คงคลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ BTC จำนวน 80,394 BTC รวมมูลค่าของสินทรัพย์ทั้งหมดในคลังประมาณ 3,100 ล้านดอลล่าร์ (ณ วันที่ 7 พ.ค.)
แถม Terra ยังมี VCs เจ้าที่มีชื่อเสียงอย่าง Jump Capital และ Three Arrows Capital ที่มีข่าวว่าซื้อ LUNA ไปในราคา $50 ซึ่งก็ตีความได้ว่า เขาก็ไม่น่าปล่อยให้ราคา LUNA มันลงต่ำกว่านี้หรอก
มีเคสที่เดือนพ.ค. ปีที่แล้วที่ LUNA ราคาร่วงกว่า 70% แล้ว UST หลุด $1 ไป แต่ก็สามารถกลับมายืน $1 ใหม่ได้ ทำให้คิดไปอีกว่าเฮ้ยตอนนี้ LUNA มันแข็งแกร่งกว่าเดิม มีการเตรียมความพร้อมมากกว่าเดิมอีก มัน “Too big too fail” แล้วล่ะ
.
เอ้าทุกอย่างไปในทิศทางที่ดีแบบนี้แล้ว Terra ล้มเหลวในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้ยังไง?
ย้อนกลับไป มีการสร้าง Pool UST ขึ้นมาบน Curve จุดประสงค์เพื่อให้เกิดการใช้งาน UST นอกระบบนิเวศน์ของ Terra ซึ่งข้อเสียคือเมื่อสภาพคล่องออกจาก Ecosystem ของ Terra ไป การควบคุมสภาพคล่องของ UST ก็หลุดออกจากอุ้งมือของ TFL ไปด้วย
สิ่งที่จุดชนวนความแตกตื่นเกิดจากเหตุการณ์เล็กๆอย่างการเท UST จำนวน 85m UST มาเป็น USDC ใน Curve pool จากนั้นพอข่าวนี้เริ่มแพร่ไปทำให้เกิดการถอน UST ออกจาก Anchor จำนวน 2,000 ล้าน UST ทำให้ราคา UST หล่นลงมาอยู่ที่ $0.98 หลังจากนั้นมีการใช้ UST จำนวน 350m ในการสูบสภาพคล่องทั้งหมดออกจาก Curve pool (แลกเป็น USDC, USDT และ DAI)
1
ทำให้ราคา UST หลุด $1 ลงมาไกลกว่าเดิม และแน่นอนกลไกการทำ Arbitrage ทำงาน ทำให้มี LUNA ถูกผลิตขึ้นมาเทขายในตลาด บวกกับแรงเทขายจากคนที่ถือ LUNA ที่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่ UST หลุด $1 ด้วย (รู้ว่าจะมี LUNA ถูกผลิตมาเทขายในตลาด)
1
คำถามคือเฮ้ย แล้วทำไมกลไกของ Terra ไม่ทำให้ UST กลับมา peg ที่ $1 ทันทีล่ะ? คำตอบคือการที่กลไกนี้มีเพดานอยู่ว่าถ้าวันไหนมีการ mint (ผลิตเหรียญ)/burn (เผาเหรียญทิ้ง) ครบ 200 ล้านดอลล่าร์ การทำ arbitrage จะทำกำไรได้น้อยลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่คุ้มที่จะทำ arbitrage
ซึ่งก็ได้มีการเพิ่มเพดานในการ mint/burn ออกมาในแผนการกู้วิกฤติรอบแรก ซึ่งจะทำการเพิ่มเพดานจาก 200 ล้านดอลล่าร์ ไปเป็น 1,200 ล้านดอลล่าร์ ทำให้ยิ่งมี LUNA ออกมาในตลาดมากขึ้นไปอีก และทำให้คนที่รู้ว่าจะมี LUNA หลุดออกมาในตลาดมากขึ้นอย่างมหาศาลจากการเพิ่มเพดานนี้ ทำการ Short LUNA ทำให้ราคาลงไปอีก
แล้วที่ราคาของ LUNA มันลดลงอย่างรวดเร็วเป็นเพราะมี speculative premium หรือความต้องการในการถือเพื่อเก็งกำไรค่อนข้างสูง คนที่ได้กำไรมาเยอะพร้อมจะเทขายเพื่อ Take profit แม้ว่าราคาจะต่ำแค่ไหน ตราบใดที่ยังได้กำไรอยู่ ทำให้พอตรงส่วนนี้หายไป ราคาก็ร่วงอย่างรวดเร็วอย่างที่เห็น
ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Death Spiral” หรือ “วงจรมรณะ” กับ LUNA-UST คือเมื่อความต้องการของ UST ลดลง ราคาต่ำกว่า $1 ทำให้เกิดการแลก UST ออกมาเป็น LUNA แล้วขายทิ้งในตลาด ราคาของ LUNA จะตก ทำให้ 1 UST สามารถแลก LUNA ออกมาได้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้า LUNA ราคา $100 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 0.01 LUNA
- ถ้า LUNA ราคา $1 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 1 LUNA
- ถ้า LUNA ราคา $0.01 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 100 LUNA
ณ ตอนที่เขียน LUNA ราคา $0.0002 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 5,000 LUNA
- ซึ่ง UST ที่อยู่ในตลาดอีกกว่า 10,000 ล้าน UST ถ้าต้องเผาทิ้งทั้งหมดจะผลิต LUNA ออกมาอีกเท่าไหร่?
ยิ่งกว่านั้นคือมูลค่าตลาดของ LUNA ลดลงต่ำกว่า UST ทำให้หลายๆคนตีความว่าเฮ้ย UST ทั้งหมดไม่สามารถ back ได้ด้วย LUNA แล้วนะ ทำให้เกิด FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) แล้วเทขาย LUNA มากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นทาง LFG เห็นท่าไม่ดีเลยขาย BTC จำนวน 46,876 ไป แล้วได้กลับมาเป็น 1,515,689,462 ล้าน UST (1 BTC = 32,334 UST) ในรอบแรก และในวันที่ 10 พ.ค. ได้ทำการขายอีก 33,206 BTC แล้วได้กลับมา 1,164,018,521 UST (1 BTC = 35,000 UST)
แล้ววันที่ 12 พ.ค. LFG ถูกบังคับให้เทขาย 883 ล้าน UST มาเป็น 221 ล้าน LUNA เพื่อนำมา stake ไว้ไม่ให้ Terra โดนโจมตีได้ (เพราะมูลค่า LUNA ลดลงอย่างมากทำให้สามารถใช้เงินจำนวนไม่มากเท่าเดิมในการโจมตี)
1
ทำให้มูลค่า LFG reserve ลดลงมาจาก 3,100 ล้านดอลล่าร์ที่ผมกล่าวไปข้างต้น เหลือเพียงแค่ 244 ล้านดอลล่าร์ (ขาดทุน 2,800 ล้านดอลล่าร์ในระยะเวลาแค่ 9 วัน)
ขอแทรกนิดนึง สำหรับความกังวลที่ว่าเหรียญ AVAX จะโดนเทขายมั้ย? อันนี้ทาง Luigi ที่ทำงานอยู่ที่ AVA Labs ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนา Avalanche (เหรียญ AVAX) บอกว่า AVAX ส่วนใหญ่ที่อยู่ในคลังของ LFG ถูกล็อคเอาไว้ 1 ปี ที่สามารถใช้ได้ตอนนี้เป็นสัดส่วนที่เล็กมาก ซึ่งถ้า LFG จะขายทาง AVA Labs ก็พร้อมที่จะรับซื้อต่อ
ซึ่ง Endgame สำหรับเหตุการณ์นี้ก็จะเป็นอย่างที่เห็นคนหมดศรัทธา ความต้องการ UST หายไปอย่างสิ้นเชิง ผมชอบที่พี่นิรันทร์สรุปวิกฤติครั้งนี้ออกมาเป็นคำๆเดียวเลยมันคือ “วิกฤติศรัทธา”
ส่วน EP.2: มองไปข้างหน้า "แผนการคืนชีพและบทเรียนที่ได้รับ" จะขอลงวันพรุ่งนี้นะครับ 😄
โฆษณา