ต้องบอกก่อนว่าบทความนี้ผมไม่ได้จะมาบอกว่าเฮ้ย...ผมเข้าใจสาเหตุการตายของ Terra อย่างถ่องแท้ และซ้ำเติมหลายๆคนที่ได้รับผลกระทบ (ผมเป็นคนนึงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน)
นี่เป็นการเขียนแบบ After-the-fact คือหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นไปแล้ว มันเลยสามารถเขียนได้ละเอียดและเชื่อมจุดต่างๆได้ มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทั้งเพื่อนๆและผมกลับมาอ่านในอนาคตและสกัดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ออกมาให้ได้มากที่สุด ดังคำกล่าวที่ว่า “Never let a good crisis go to waste”
ย้อนกลับไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์ depeg (มูลค่า UST หลุดค่าที่ตรึงไว้กับดอลล่าร์สหรัฐ) ต้องบอกก่อนว่าทาง Terra มีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว โดยปัญหาที่แทบทุกคนรับรู้ของ Terra คือความต้องการการใช้ UST กระจุกตัวอยู่ในแค่ Anchor (บัญชีเงินฝากบน Terra Blockchain) ที่ให้ดอกเบี้ยแบบคงที่สูงถึงเกือบ 20% ต่อปี
ถ้าถามว่าเฮ้ยแล้วดอกเบี้ยที่แจกมาจากไหน? ต้องบอกว่าเป็นงบค่าการตลาดของ Terraform labs - TFL (บริษัทที่ทำ Terra blockchain) ถ้าเราเข้าไปดู wallet ของ TFL ณ วันที่ 28 มี.ค. 66 ในนั้นมี LUNA อยู่กว่า 298 ล้าน LUNA ซึ่งตอนนั้นมูลค่าของ LUNA อยู่ที่ $88 คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 26,000 ล้านดอลล่าร์ (ไม่ใช่บาทด้วยนะ..) แปลว่าเขามีเงินมหาศาลที่จะอัดฉีดเข้าคลังของ Anchor
ต้องบอกว่าการที่ Terra ไม่ได้ออกแบบ UST ให้เหมือน DAI เพราะ TFL ต้องการให้ UST เติบโตไวที่สุด โดยถ้าใช้ Over-Collateral model ($150 ETH แลกออกมาได้ $100 DAI) แบบ DAI จะทำให้ UST ถูกผลิตออกมาได้น้อยลง เกิดการใช้งานน้อยลง
โดยสมมติฐานของ Terra คือเมื่อช่วง Promotion หมดลง Terra จะสามารถสร้างความต้องการที่จะใช้งาน UST ในรูปแบบอื่นๆได้ จน Anchor เป็นเพียงแค่ 1 ใน หลายๆการใช้งานเท่านั้น
ซึ่งเขาก็พยายามสร้าง UST ให้กลายเป็น “Superior form of money” หรือเป็นเงินแบบจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น
- ถือ LUNA ไว้เพื่อรอขายในราคาที่สูงขึ้น (capital gain)
- ถือ LUNA ไว้เพื่อรอจังหวะ UST ราคาขึ้นไปมากกว่า $1 แล้วแลกกลับไปเป็น UST เพื่อทำกำไร
- เอา LUNA ที่ได้มาไป Stake ไว้เพื่อรับผลตอบแทน
รวมถึง Luna Foundation Guard (เป็นบริษัทไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Terra blockchain) ยังมีสินทรัพย์คงคลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ BTC จำนวน 80,394 BTC รวมมูลค่าของสินทรัพย์ทั้งหมดในคลังประมาณ 3,100 ล้านดอลล่าร์ (ณ วันที่ 7 พ.ค.)
แถม Terra ยังมี VCs เจ้าที่มีชื่อเสียงอย่าง Jump Capital และ Three Arrows Capital ที่มีข่าวว่าซื้อ LUNA ไปในราคา $50 ซึ่งก็ตีความได้ว่า เขาก็ไม่น่าปล่อยให้ราคา LUNA มันลงต่ำกว่านี้หรอก
มีเคสที่เดือนพ.ค. ปีที่แล้วที่ LUNA ราคาร่วงกว่า 70% แล้ว UST หลุด $1 ไป แต่ก็สามารถกลับมายืน $1 ใหม่ได้ ทำให้คิดไปอีกว่าเฮ้ยตอนนี้ LUNA มันแข็งแกร่งกว่าเดิม มีการเตรียมความพร้อมมากกว่าเดิมอีก มัน “Too big too fail” แล้วล่ะ
.
เอ้าทุกอย่างไปในทิศทางที่ดีแบบนี้แล้ว Terra ล้มเหลวในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้ยังไง?
ย้อนกลับไป มีการสร้าง Pool UST ขึ้นมาบน Curve จุดประสงค์เพื่อให้เกิดการใช้งาน UST นอกระบบนิเวศน์ของ Terra ซึ่งข้อเสียคือเมื่อสภาพคล่องออกจาก Ecosystem ของ Terra ไป การควบคุมสภาพคล่องของ UST ก็หลุดออกจากอุ้งมือของ TFL ไปด้วย
ซึ่งก็ได้มีการเพิ่มเพดานในการ mint/burn ออกมาในแผนการกู้วิกฤติรอบแรก ซึ่งจะทำการเพิ่มเพดานจาก 200 ล้านดอลล่าร์ ไปเป็น 1,200 ล้านดอลล่าร์ ทำให้ยิ่งมี LUNA ออกมาในตลาดมากขึ้นไปอีก และทำให้คนที่รู้ว่าจะมี LUNA หลุดออกมาในตลาดมากขึ้นอย่างมหาศาลจากการเพิ่มเพดานนี้ ทำการ Short LUNA ทำให้ราคาลงไปอีก
แล้วที่ราคาของ LUNA มันลดลงอย่างรวดเร็วเป็นเพราะมี speculative premium หรือความต้องการในการถือเพื่อเก็งกำไรค่อนข้างสูง คนที่ได้กำไรมาเยอะพร้อมจะเทขายเพื่อ Take profit แม้ว่าราคาจะต่ำแค่ไหน ตราบใดที่ยังได้กำไรอยู่ ทำให้พอตรงส่วนนี้หายไป ราคาก็ร่วงอย่างรวดเร็วอย่างที่เห็น
ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Death Spiral” หรือ “วงจรมรณะ” กับ LUNA-UST คือเมื่อความต้องการของ UST ลดลง ราคาต่ำกว่า $1 ทำให้เกิดการแลก UST ออกมาเป็น LUNA แล้วขายทิ้งในตลาด ราคาของ LUNA จะตก ทำให้ 1 UST สามารถแลก LUNA ออกมาได้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้า LUNA ราคา $100 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 0.01 LUNA
- ถ้า LUNA ราคา $1 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 1 LUNA
- ถ้า LUNA ราคา $0.01 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 100 LUNA
ณ ตอนที่เขียน LUNA ราคา $0.0002 เท่ากับว่า 1 UST จะแลกออกมาได้ 5,000 LUNA
- ซึ่ง UST ที่อยู่ในตลาดอีกกว่า 10,000 ล้าน UST ถ้าต้องเผาทิ้งทั้งหมดจะผลิต LUNA ออกมาอีกเท่าไหร่?
ยิ่งกว่านั้นคือมูลค่าตลาดของ LUNA ลดลงต่ำกว่า UST ทำให้หลายๆคนตีความว่าเฮ้ย UST ทั้งหมดไม่สามารถ back ได้ด้วย LUNA แล้วนะ ทำให้เกิด FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) แล้วเทขาย LUNA มากขึ้นไปอีก