19 พ.ค. 2022 เวลา 09:15 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
It’s cotton - ก็ฝ้ายไง
ผ้าฝ้าย ภาษาอังกฤษเรียกว่า คอทเทิน (Cotton) เป็นเส้นใยเซลลูโลสที่ได้มาจาก ดอกของต้นฝ้าย เมื่อนำมาทอเป็นผ้า จะได้ผ้าที่แข็งแรง ยิ่งทอเนื้อหนา-แน่น จะยิ่งแข็งแรง ทนทาน ดูดความชื้นได้ดี เส้นใยฝ้ายจะมีขนาดความกว้างเท่าๆ กัน มีคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องของความโปร่งสบาย เมื่อเปียกจะตากแห้งได้เร็ว การเลือกฝ้ายมาใช้งาน ทำได้โดยนำฝ้ายมาปั่นเป็นเส้นด้าย แล้วนำมาทอเป็นผืนผ้า
ฝ้ายเป็นพืชที่นับว่ามีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอของโลกมาก ทุกวันนี้ไม่มีใครในโลกที่ไม่เคยสัมผัสเสื้อผ้าที่ทอด้วยผ้าฝ้าย นับตั้งแต่ขอทานที่ยากไร้ซึ่งสวมเสื้อที่ทอด้วยฝ้ายขาดๆ จนกระทั่งถึงมหาเศรษฐีที่สวมยีนราคาตัวละหลายหมื่นบาท
เส้นใยและลำต้น (Fibre and Plant)
ต้นฝ้าย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและเอเชียตอนใต้ จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง มีขนละเอียดขึ้นหนาแน่น เส้นใยสามารถทำเป็นผ้าได้หลากหลาย ตั้งแต่ผ้าวอยล (voiles) บางๆ และเชือกผูกรองเท้าน้ำหนักเบาไปจนถึงผ้ากะลาสีหนา ผ้ากำมะหยี่หนาแน่น เหมาะสำหรับสวมใส่เป็นเสื้อผ้า ทำของตกแต่งบ้าน และใช้ในอุตสาหกรรมได้หลากหลาย
ผ้าฝ้ายมีความทนทานเป็นพิเศษและทนต่อการเสียดสี ย้อมได้ดีด้วยสีย้อมหลายชนิด โดยปกติแล้วจะซักทำความสะอาดได้ รีดได้ที่อุณหภูมิค่อนข้างสูง สวมใส่สบาย เพราะดูดซับและระบายความชื้นได้อย่างรวดเร็ว
มีกระบวนการตกแต่งหลากหลายที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ฝ้ายทนต่อคราบน้ำ และโรคราน้ำค้าง มีการตกแต่งเพื่อเพิ่มความทนทานต่อการยับ จึงช่วยลดหรือขจัดความจำเป็นในการรีด และการตกแต่งเพื่อลดการหดตัวในการฟอกให้เหลือไม่เกินร้อยละ 1
ผ้าฝ้ายนอนวูฟเว่นที่ทำโดยการหลอมหรือเชื่อมเส้นใยเข้าด้วยกัน มีประโยชน์สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้งเพื่อใช้เป็นผ้าขนหนู ผ้าขัดเงา ถุงชา ผ้าปูโต๊ะ ผ้าพันแผล เครื่องแบบและผ้าปูที่นอนแบบใช้แล้วทิ้งสำหรับโรงพยาบาลและการใช้ทางการแพทย์อื่นๆ
การแปรรูปเส้นใยฝ้าย
(Cotton Fibre Processing)
เส้นใยฝ้ายอาจแบ่งคร่าวๆออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ ตามความยาวของเส้นใย (ความยาวเฉลี่ยของเส้นใยที่ประกอบขึ้นเป็นตัวอย่างหรือก้อนของฝ้าย) และลักษณะที่ปรากฏ กลุ่มแรกประกอบด้วยเส้นใยละเอียดเป็นมันเงาที่มีความยาวเส้นใยตั้งแต่ประมาณ 2.5-6.5 ซม. (ประมาณ 1 ถึง 2.5 นิ้ว) และรวมถึงประเภทที่มีคุณภาพสูงสุด
เช่นฝ้ายเกาะ (Sea Island Cotton)-ตามที่สื่อความหมายมาจากเกาะ ฝ้ายเกาะทะเลดั้งเดิมกล่าวกันว่ามาจาก “ฝ้ายเกาะทะเลตะวันตกของอินเดีย” และฝ้ายพิมา (Pima Cottons) ฝ้ายที่มีเส้นใยยาวจะมีปริมาณน้อยและปลูกยาก ทำให้มีราคาแพง ส่วนใหญ่ใช้สำหรับผ้าเนื้อดี เส้นด้าย และชุดชั้นใน
กลุ่มที่สองเป็นผ้าฝ้ายที่มีมาตรฐานของเส้นใยยาวปานกลาง เช่น American Upland โดยจะมีความยาวเส้นใยอยู่ที่ประมาณ 1.3-3.3 ซม. (0.5-1.3 นิ้ว)
กลุ่มที่สาม ได้แก่ ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบใช้เส้นใยสั้นที่มีความยาวเส้นใยตั้งแต่ 1 ถึง 2.5 ซม. (0.5-1 นิ้ว) ใช้ทำพรมและผ้าห่ม ผ้าที่หยาบและราคาไม่แพง และใช้ผสมกับเส้นใยอื่นๆ
เมล็ดฝ้ายแยกออกจากเส้นใยด้วยกระบวนการแยกเส้นใยออกจากเมล็ดพืชที่เรียกว่าจินนิ่ง (ginning) ฝ้ายที่ผ่านการแยกเส้นใยแล้วจะถูกจัดส่งเป็นก้อน (bale) ไปยังโรงงานทอผ้าเพื่อผลิตเส้นด้าย ด้วยวิธีการแปรรูปแบบดั้งเดิมและยังคงใช้กันทั่วไปคือ การปั่นแบบวงแหวน (Ring Spinning) ดังรายละเอียด
1. การเปิด (opening) เป็นการทำให้เส้นใยที่อัดอยู่ในก้อน มีการเปิดและกระจายตัว รวมทั้งทำการผสมเส้นใยให้ทั่วถึง (uniform) มากขึ้น
2. การสางใย (carding) เป็นการทำให้เส้นใยเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกัน เส้นใยมีการสานกันไปมาเป็นใย (web) บางๆ
3. การดึง (drawing) เป็นการเพิ่มการจัดทิศทางของเส้นใยให้ขนานกันมากขึ้น โดยใย (web) ที่ได้จะถูกดึงผ่านลูกกลิ้งที่มีความเร็วต่างกัน ทำให้เกิดเป็นเส้นด้ายที่มีการรวมตัวของเส้นใยอย่างหลวมๆ
4. การขึ้นเกลียว (roving) เป็นการดึงเพิ่มเติมเพื่อจัดเส้นใยให้มีการเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น มีการขึ้นเกลียวนิดหน่อยเพื่อเพิ่มแรงยึดระหว่างเส้นใย
5. การปั่นเส้นด้าย (spinning) เป็นการนำเอาด้ายที่มีการขึ้นเกลียวเล็กน้อยมาขึ้นเกลียวเพิ่ม เพื่อให้ได้เส้นด้ายที่มีความแข็งแรง
สมบัติของผ้าฝ้าย
ความมันเงา ใยฝ้ายโดยทั่วไป จะมีความมันน้อย ต้องเพิ่มความมันด้วยการตกแต่ง เช่น ผ้าฝ้ายเมอร์เซอร์ไรซ์
ความเหนียว ฝ้ายจะมีความเหนียวปานกลาง คือจะเหนียวประมาณ 3.0-5.0 กรัมต่อเดนเยอร์ ความเหนียวจะเพิ่มขึ้นเมื่อเปียก ซึ่งความเหนียวเมื่อเส้นใยเปียกจะมากกว่าความเหนียวเมื่อแห้งประมาณ 25-40 เปอร์เซ็นต์
ความยืดหยุ่นและการยืดได้ ในฝ้ายจะยืดได้ค่อนข้างต่ำ คือจะยืดได้ประมาณ 3-7 เปอร์เซ็นต์ บางครั้งอาจถึง 10 เปอร์เซ็นต์ก่อนถึงจุดขาด การหดตัวกลับที่เดิม หากจับยืดออกเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ จะหดตัวกลับเข้าที่เดิมได้เพียง 74 เปอร์เซ็นต์ของ 2 เปอร์เซ็นต์ที่จับยืดออกมา ในทำนองเดียวกันการจับยืด 5 เปอร์เซ็นต์จะหดกลับที่เดิมได้เพียง 5 เปอร์เซ็นต์
ความคืนตัว ใยฝ้ายและผ้าฝ้ายคืนตัวได้ต่ำ และยับง่ายมาก ความถ่วงจำเพาะของใยฝ้ายจะอยู่ที่ 1.54 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
การดูดความชื้น ฝ้ายดูดความชื้นในบรรยากาศได้ 8.5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 95 เปอร์เซ็นต์ และ 100 เปอร์เซ็นต์ ฝ้ายจะดูดความชื้นไว้ได้ 15 เปอร์เซ็นต์ และ 25-27 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ผ้าฝ้ายจึงสามารถดูดซับความชื้นจากเหงื่อและน้ำได้ดี อีกทั้งยังสามารถระบายความชื้นได้เร็ว
ความคงรูป โดยปกติผ้าฝ้ายจะคงรูป ไม่ยืดและหดตัวมากนัก ความยืดและหดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตเป็นผืนผ้าด้วย ถ้าต้องการไม่ให้หด จะต้องทำการตกแต่งให้ทนหด เช่น ผ้าซันฟอไรซ์
เกรดของผ้าฝ้ายแบ่งเป็น 3 เกรด
Cotton OE ไม่ผ่านกระบวนการคัดคุณภาพของเส้นใยฝ้าย เสื้อยืดที่ผลิตจาก cotton ชนิดนี้จะมีความกระด้างกว่าอีกสองประเภท รวมถึงความเหนียวต่ำ ขาดง่าย เป็นผ้าฝ้ายเกรดต่ำที่สุด และมีราคาถูกที่สุด เนื่องจากต้นทุนในการใช้เครื่องจักรและกระบวนการในการผลิตจากเส้นใยฝ้ายเป็นเส้นด้ายต่ำสุด
Cotton Semi ผ่านกระบวนการผลิตเส้นด้ายโดยวิธีการสางเส้นใยฝ้ายโดยเครื่องจักร ทำให้ได้ผลผลิต เป็นเส้นด้ายใยสั้น ที่มีขนาดใหญ่ (เบอร์ 20-32) มีความเนียนนุ่มและกระด้างในระดับปานกลาง
Cotton Comb เป็นผ้าฝ้ายที่มีกระบวนการผลิตที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เนื่องจากใช้เครื่องจัดการในการหวีเส้นด้าย กระบวนการจะยุ่งยากซับซ้อนกว่ากระบวนการก่อนหน้าทั้ง 2 กระบวนการ จึงได้เนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มและละเอียด ได้ผลผลิตเป็นเส้นด้ายขนาดเล็ก (เบอร์ 32 ขึ้นไป)
โดยทั่วไป ความนิยมชมชอบในการใช้ฝ้ายเป็นสิ่งทอสำหรับนุ่งห่มถูกจำกัดโดยความยุ่งยากในกระบวนการผลิต เพราะต้องอาศัยวิธีการมากมาย เช่น ชาวไร่ต้องเก็บดอกจากต้นก่อนแล้วแยกคุณภาพออกเป็นดอกดีกับดอกไม่ดี เพื่อส่งขายให้โรงหีบฝ้าย
จากนั้นทางโรงหีบฝ้ายก็จะชั่งน้ำหนักฝ้ายแล้วแยกเกรดความสะอาด แยกความยาวเส้นใย และแยกพันธุ์ฝ้ายเพื่อกำหนดราคา
จากนั้นฝ้ายที่ได้รับการตรวจสอบคุณภาพแล้วนี้ ก็จะถูกนำไปทำความสะอาด คัดแยกสิ่งสกปรก เช่น ดิน ใบไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ออก โดยฝ่ายเครื่องร่อน เพื่อนำส่งเข้าเครื่องหีบฝ้าย (roller gin) ให้แยกเมล็ดฝ้ายออกเหลือแต่ฝ้ายปุย
ซึ่งจะถูกนำไปเข้าเครื่องอัดออกมาเป็นมัดเพื่อนำไปทอต่อไป ความยุ่งยากเช่นนี้ได้มีมานานแล้ว และปัจจุบันยังไม่เปลี่ยน
อย่างไรก็ดีถึงใครจะมองว่า ฝ้ายเป็นพืชที่ไม่น่าปลูกเพราะมีแมลงศัตรูพืชค่อนข้างมาก ต้องฉีดพ่นสารเคมีบ่อย แต่ฝ้ายยังเป็นพืชที่มีอนาคต ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไม่ใช่น้อย ถ้ารู้จักวิธีการจัดการให้ถูก นั่นคือปลูกด้วยใจ
ปลูกในพื้นที่แค่ 1 งาน ก็เพียงพอแล้ว เพื่อเราจะได้ใส่ใจดูแลฝ้ายได้อย่างทั่วถึง จัดการกับแมลงได้ด้วยตัวเองแทบไม่ต้องพึ่งสารเคมี
โฆษณา