19 พ.ค. 2022 เวลา 13:05 • การ์ตูน
EP : 1,054
สาววรรณกรรม กับ ปริศนาตัวตลกผู้สิ้นหวัง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านช่วงก่อนและช่วงโควิดระบาด ตัวผมที่ต้องทำรีวิวการ์ตูนที่ตั้งใจไว้ว่าจะรีวิวการ์ตูนนอกกระแสหรือการ์ตูนที่ไม่เป็นที่รู้จักทั้งเก่าและใหม่เป็นหลัก โดยมีการ์ตูนยุคใหม่สอดแทรกเป็นจังหวะ ทำให้ผมได้ต้องไปรื้อหนังสือการ์ตูนที่ซื้อเก็บไว้นานแล้วเอาขึ้นมาอ่านมากขึ้น
รวมถึงต้องไปเปิดใจหาการ์ตูนแนวที่ผมไม่ชอบมาอ่านเลยมากขึ้นเพื่อความหลากหลายและเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เจออะไรใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน แน่นอนหนึ่งในแนวที่ผมไม่ชอบหรือไม่ถนัดในการอ่านเลยอย่างแนว คดี หรือสอบสวน หรือเรื่องราวแนวสืบหาอะไรซักอย่างที่ผมเคยตั้งแง่ว่าเป็นแนวที่ไม่อยากอ่านเพราะด้วยความซับซ้อนของเรื่องราวและรายละเอียดที่หลายๆครั้งมันยากที่จะทำให้คนอย่างผมสนุกได้นั่นเอง
แต่หากได้อ่านงานรีวิวของผมหรือไปหารีวิวเรื่องเก่าๆที่ผมเคยรีวิวไว้ที่ผ่านมาทุกคนก็จะรู้ว่า มีหลายเรื่องแนวนี้ที่ผมกลับชอบและแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักหรืออ่านกัน ก็ทำให้ผมรู้ว่าแม้แก่นของเรื่องแนวนี้จะไม่หนีกันมากนัก
ก็คือการหาความลับและการเฉลยเงื่อนไขที่ผูกเอาไว้ แต่การหยิบจับเรื่องราวที่เอามาเล่า หรือการนำเสนอของนักเขียนแต่ละคน ก็มีอยู่หลายเรื่องมากที่ผมสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแบบนั้นแม้ลึกๆผมจะยังคงมีกำแพงกับการ์ตูนแนวนี้อยู่พอสมควร แต่ผมไม่ได้ปิดโอกาสในการหาแนวนี้มาอ่านเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถือว่าถ้าผมมีโอกาสได้ยินใครพูดถึงเรื่องไหนที่มีเนื้อหาออกแนวแบบนี้
แม้ไม่เป็นที่รู้จักนัก ถ้าโอกาสสะดวกก็ไม่ค่อยพลาดจะหามาอ่านอยู่เสมอ .... และเรื่องนี้ก็เช่นกันครับ ตรงตามที่ผมได้เกริ่นไว้ยืดยาว กับอีกหนึ่งเรื่องเงียบๆ ที่บังเอิญได้มีโอกาสได้มาอ่าน กับเรื่องราวการตามหาความลับของนักเรียนกลุ่มนึงใน “สาววรรณกรรม กับ ปริศนาตัวตลกผู้สิ้นหวัง” ... ครับ
จากการเป็น “นักเขียนสาวน้อยอัจฉริยะ” ที่เปิดตัวเป็นนักเขียนนิยายอันแสนโด่งดังวัยเพียง 14 ปีได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ “อิโนะอุเอะ โคโนฮะ” ตัวจริงของชื่อที่ใช้ในวงการนิยายอย่าง “อิโนะอุเอะ มิอุ” เสียศูนย์อย่างไม่อาจคาดคิด
เพราะนอกจากจริงๆแล้วโคโนฮะเป็น “เด็กผู้ชาย” ไม่ใช่ “เด็กผู้หญิง” อย่างชื่อในวงการแล้ว การหยิบยืมชื่อของเด็กผู้หญิงที่เขาชอบมาใช้โดยไม่คาดคิดอย่างนี้ ได้กระทำให้เกิดเรื่องบางอย่างกับเจ้าของชื่อตัวจริง แม้มันไม่ใช่โดยตรง แต่สำหรับตัว “โคโนฮะ” แล้วมันคือสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขและเปลี่ยนแปลงมันได้อีกตลอดกาล
เพราะสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันหนักหนาเกินจะรับไหว ทำให้เขาต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะกลับมาเป็นเด็กคนนึงได้เหมือนเดิม แต่นั่นก็ทำให้เขา “เลิก” ที่จะเขียนนิยายและหายตัวไปจากวงการ และพยายามกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แม้ “อดีต” อันเลวร้ายนั้นจะตามหลอกหลอนเขาอยู่เป็นระยะก็ตาม
แต่แล้ววันหนึ่ง... ขณะเดินอยู่ในสวนของโรงเรียนของเขา ... อยู่ๆ สายตาของเขาก็ไปสะดุดตากับสาวที่มีผมเปียยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนึงอย่างสงบอยู่คนเดียว.....
และขณะที่เขาหยุดดูเธอคนนี้อย่างไม่รู้ตัว ฉับพลัน สาวน้อยก็ฉีกกระดาษส่วนนึงที่กำลังอ่าน แล้วก็หยิบมันเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวกระดาษส่วนนั้นด้วยใบหน้าที่มีความสุข เหมือนกับฟินกับอาหารที่เอร็ดอร่อยอยู่ก็ปาน และนั่นก็คือการพบกันของ อดีตสาวน้อยวรรณกรรมแสนโด่งดังในร่างผู้ชาย กับสาวน้อยวรรณกรรมตัวจริงนาม “อามาโนะ โทโกะ” ผู้ฉีกกินวรรณกรรมต่างๆเป็นอาหาร ใน “สาววรรณกรรม กับ ปริศนาตัวตลกผู้สิ้นหวัง” ... ครับ
ในหลายๆเรื่องที่มีเนื้อหาแนวนี้ ผมจะพบว่าแต่ละเรื่องจะมีแนวทางในการนำเสนอที่ใกล้เคียงกัน แน่นอน เปิดเรื่องมาแนะนำตัวละครให้รู้จัก แล้วพาไปพบกับปมปริศนา เริ่มทำการค้นหาความลับและที่มา ก่อนที่จะเฉลยหรือจับตัวคนร้ายออกมา ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ นาๆ ก็ที่จะจบเรื่องไปแบบจบจริงหรือจะค้างคาก็ตาม การเล่าเรื่องราวของการ์ตูนแนวนี้มักจะใช้ไทม์ไลน์หรือการเล่าเรื่องที่เป็นแพ็ทเทริ้นเดียวกันแบบนี้อยู่เสมอครับ
เรื่องนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากที่ผมบอกไว้เลย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก่อนได้อ่านเรื่องนี้ ผมค่อนข้างมีอคติหรือกำแพงในใจอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเปิดดูลายเส้นแล้วต้องบอกว่าไม่ถูกใจ หรือไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านซักเท่าไหร่
มันเป็นลายเส้นที่เรียบๆ ออกแนวการ์ตูนผู้หญิงไปซักหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับครับ ว่าเรื่องนี้ “เอาผมอยู่” เลยทีเดียว ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่หนีจากที่กล่าวมานี่แหล่ะ ด้วยตัวละครที่มีบุคลิกที่ลงตัว ไม่ดูน่ารำคาญ
รายละเอียดที่ใช้ก็น่าสนใจอย่างมากด้วยการเข้าไปเกี่ยวข้องกับวรรณกรรมชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง “ไร้ความเป็นมนุษย์” หรือที่เราอาจจะคุ้นชื่ออย่าง “สูญสิ้นความเป็นคน ของ อ.ดะไซ โอซามุ” อันโด่งดัง ที่หากใครเป็นแฟนการ์ตูนย่อมรู้จักหรือเคยได้อ่านเจอไม่มากก็น้อย กับการหยิบเรื่องราวอันซับซ้อนและชวนให้ติดตามใคร่รู้ว่าเรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถามในครั้งนี้จะจบออกมาอย่างไร แบบไหนครับ
สิ่งที่โดดเด่นและสร้างความประทับใจผมอย่างแรกเลยก็คือ การสร้างรูปแบบการเล่าเรื่องที่แม้จะใช้แบบแผนตามปกติอย่างที่บอก แต่ก็ทำออกมาได้อย่างไม่น่าเบื่อและสนุกเอามากๆ ด้วยการใช้เรื่องราวของ “โคโนฮะ” กับอดีตอันสิ้นหวังของเขามาเปิดเรื่อง ที่สร้างบรรยากาศเบาๆให้คนอ่านอย่างผม
จนเผลอคิดว่าเรื่องนี้ออกแนวคดีตลกๆ เบาสมอง แม้จะเห็นรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้เอะใจได้ว่า “มันน่าจะหนักอยู่นะเรื่องนี้” แต่เพราะการใส่อารมณ์ขันเล็กๆผสมกับการเล่าเรื่องราวในตอนแรก รวมถึงการเปิดตัว ตัวละครเอกอย่าง “อามาโนะ โทโกะ” สาวผู้ฉีกกินหนังสือ หรือวรรณกรรมอยู่เป็นปกติ
จนดูเหมือนว่าเธออยู่ได้ด้วย “การกิน” กระดาษเหล่านี้ ไม่ใช่อาหารอย่างที่คนเรากินกัน ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องเบาๆ ตัวละครที่มีบุคลิกไม่โดดมาก ชวนให้ผมหลงคิดไปตามนั้นว่าเรื่องนี้ เนื้อหาคงไม่ดิบ ไม่หนัก ไม่สิ้นหวังอะไรมากมายนักครับ
เพราะการแนะนำ เปิดเรื่องออกมาได้ดีในโทนแบบนั้น ทำให้เมื่อตัวเรื่องได้แนะนำ “คดี” หลักของเรื่องนี้ออกมา ผมจึงไม่เอ่ะใจอะไรนัก เพราะเรื่องราวคดีหรือปริศนาที่ถูกตั้งเอาไว้ให้เป็นเรื่องราวหลักของตอนนี้
กลับกลายเป็นเรื่องราวของเด็กสาว ม.ปลาย รุ่นน้องอย่าง “จิอะ” ที่เข้ามาไหว้วานให้คนในชมรมวรรณกรรมของทั้งสองตัวเอก ช่วยเขียนจนหมายสารภาพรักแทนเธอ เพื่อส่งให้กับรุ่นพี่อย่าง “คาตาโอกะ ชูจิ” ซึ่งเธอแอบปลื้มแต่ไม่ชำนาญในการเขียน และเพราะ “อามาโนะ โทโกะ” ได้ประกาศไว้ว่าชมรมเธอเขียนอะไรแบบนี้ได้ดีมากๆ “จิอะ” จึงมาขอความช่วยเหลือจากชมรมวรรณกรรมแห่งนี้
และแน่นอนคนที่ต้องเขียนจริงๆ คือ “โคโนฮะ” ไม่ใช่เจ้าของผู้เสนอตัวเองอย่าง “โทโกะ” เพราะแบบนี้เรื่องราวที่นำเสนออยู่ในตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศการ์ตูนแนวรักคอมเมดี้ได้อย่างสนุก
ใครจะคิดว่าเมื่อเรื่องเล่าไปเรื่อยๆ อยู่ๆ จากเรื่องราวของจดหมายรักของจิอะ จะกลายเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนาที่ลาก “โคโนฮะ” เข้าไปเกี่ยวข้องจนสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่ไม่เคยรู้ตัวว่าจะเกิดขึ้นกับเขา ฉับพลันเรื่องราวแนวรักคอมเมดี้ของวัยใสก็กลายเป็นราวลึกลับที่มีเรื่องราวของวรรณกรรม “ไร้ความเป็นมนุษย์” (สูญสิ้นความเป็นคน) ของ อ.ดะไซ โอซามุ เข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างน่าสนใจครับ...
ด้วยตัวละครที่สร้างเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ผมว่านี่เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผมไม่รู้สึกขัดขืนหรือหงุดหงิดในการอ่านเรื่องนี้นะ แน่นอนตัวผมเองมีความชอบในบุคลิกของตัวละครที่ไม่ต่างจากทุกคนมาก
การที่เรื่องนี้เซ็ทตัวเอกไว้ประมาณนี้ที่ให้ความรู้สึกว่าไม่เวอร์หรือแรงไปเป็นจุดที่ผมชอบมากๆในตัวเอกของเรื่องนี้ครับ ซึ่งผมคิดเอาไว้อยู่เสมอว่าเนื้อเรื่องแนวนี้ ชิงกันที่ปมและการคลายปมรวมถึงตอนเฉลยคำตอบตอนท้าย ตัวละครไม่จำเป็นต้องเด่นหรือนำเสนอให้มันโดดออกมามากนักหรือจะรู้สึกว่า ตัวละครไม่ควรเด่นเกินเนื้อหาก็ว่าได้ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องนิ่งๆ เงียบๆ ไปเลย
การหาจุดสมดุล แบบที่แต่ละคนรับได้ คือความท้าทายอย่างแรกของการนำเสนอเรื่องราวเนื้อหาแนวนี้ ซึ่งสำหรับผมเรื่องนี้ทำได้ดีมากครับ
ทั้ง “โคโนฮะ” และ “โทโกะ” เป็นสองตัวละครเอกที่สร้างออกมาได้น่าสนใจมากๆ ตัว “โคโนฮะ” ที่มีความหลังที่เหมือนจะดีกับการดังเป็นพลุแตกด้วยนิยายที่ส่งเข้าประกวดเพียงแค่ครั้งแรก แต่นั่นก็นำพาหลายๆอย่างกลับมาอย่างที่ไม่คาดคิด รวมถึงในแง่ร้ายจนพาเขาเข้าไปสู่หนทางอันมืดหม่น
และแม้จะใช้เวลาถึง 1 ปีในการกลับมาก็ตาม แต่มันก็สร้าง “อดีต” ที่เขาไม่เคยหนีจากมันไปได้ ตัวละครที่ทั้งประสบความสำเร็จอย่างไม่คาดคิดและต้องจมดิ่งอย่างไม่คาดฝัน แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อ่านเจอ แต่การใส่ลงมาในตัวละครอย่าง โคโนฮะ ได้อย่างลงตัว สร้างความน่าสนใจให้กับตัวละครตัวนี้อย่างยิ่ง
และด้วยรายละเอียดที่เป็นแบบนี้ของเขา ทำให้บุคลิกที่ผมได้อ่านได้เห็นจากในเรื่องจึงเป็นอะไรที่ผมว่าเข้าใจได้ ดูสอดคล้องกับตัวตนหลังเหตุการณ์ที่เป็นแบบนั้น พฤติกรรมที่สอดคล้องไปกับเรื่องราวในอดีตของตัวเอง
ทำให้ตัว “โคโนฮะ” มีความลงตัวแบบที่ผมไม่ติดขัดอะไร ยิ่งสำคัญที่ว่าเมื่อเราได้อ่านไปเรื่อย ๆอดีตของเขาที่ส่งผลถึงตัวตนของเขาในตอนนี้จะเป็นตัวที่เร่งและทำให้เรื่องราวไหลลื่นไปกับสิ่งที่เขากำลังจะเจอแบบเป็นเนื้อเดียวกันด้วย
แม้จะดูเหมือนเซ็ทไม่น้อยกับเรื่องราวที่เขาต้องมาพัวพัน แต่หากมองว่าโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ หรือเพราะชะตากรรมถูกลิขิตไว้แล้ว ผมว่ามันลงตัวโดยไม่ขัดความรู้สึกของคนอ่านอย่างผมเลยครับ
และสำหรับ “โทโกะ” แม้บุคลิกเธอจะออกแฟนตาซีนิดๆ แต่หากมองแค่นี่เป็นพฤติกรรมที่แตกต่างสำหรับตัวเอกในการ์ตูนเรื่องหนึ่งๆ ต้องมี ผมว่าโอเคนะ ยิ่งการนำเสนอในเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ความแฟนตาซีนิดๆอย่างที่เห็น มันดูโดดจากเรื่องราว หรือดูเจาะจงที่จะนำเสนอมากเกินไป
เมื่อรวมกับนิสัยหรือความเป็นตัวตนอย่างอื่นของเธอที่ผมได้เห็น กลับกลายเป็นเสน่ห์และเป็นบุคลิกที่น่าสนใจ ที่จะเรียกให้คนอ่านอย่างผมหันไปมองเธอ ด้วยคำถามเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นตัวเอกอีกตัวที่เริ่มต้นด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจ แต่ไม่แฟนตาซีเกินไปจนคนอ่านตั้งกำแพง
และมีบุคลิกของตัวเอกในเนื้อหาแนวนี้ที่ถูกนำเสนอให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง หรือจะบอกว่าแม้จะมีความน่าสนใจในตัวเธอตั้งแต่เริ่มแรก แต่ตัวเธอไม่ได้เด่นหรือถูกนำเสนอให้เกินหน้าเกินตาเนื้อหาในเรื่องที่กำลังจะเล่าก็ว่าได้ ทั้งสองตัวละครเอกนี้ ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นตัวละครที่ผมอ่านแล้วเพลินชวนติดตามอย่างไม่มีปัญหาสำหรับผมครับ
การเล่าเรื่องก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เรื่องนี้ทำได้ลื่นไหลครับ ที่ผมบอกอย่างนี้เพราะเรื่องนี้เปลี่ยนโทนเรื่องได้เนียนลื่นมาก เพราะขณะที่ผมรู้สึกว่ากำลังอ่านการ์ตูนแนวเบาสมองอยู่ อยู่ๆ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเรื่องมันได้ก้าวเข้าสู่ปมที่น่าสงสัยไปเรียบร้อย ซึ่งมันเป็นไปตามพล็อตเรื่องที่ได้วางไว้แล้วว่าจะพูดอย่างไร
ไปแบบไหน และก็ทำออกมาได้เนียนตามที่ผมบอกจริงๆครับ ที่สำคัญเมื่อเล่าถึงจุดสำคัญๆ ตัวเรื่องก็สามารถใส่แรงกดดันลงไปได้ดีในหลายๆตอน ผมจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้แม้จะเห็นหน้าหนังสือว่าเป็นการ์ตูนแนวเลิฟคอมเมดี้ก็ตาม แต่หากได้อ่านแล้วจะรู้สึกเลยว่า จังหวะในการเล่าเรื่องมันต่างจากหน้าปกอย่างมากครับ
เพราะด้วยเนื้อหาที่มีมูธแอนด์โทนผสมกันอยู่ระหว่างการ์ตูนแนววัยรุ่นรักๆ กับแนวลึกลับสืบสวน ตัวเรื่องก็สามารถเล่าทั้งสองโทนที่ว่าออกมาได้อย่างสมดุล แม้ไม่ถึงกับกดดันระดับมหาศาลซึ่งตรงนี้เป็นเพราะเนื้อเรื่องมันลึกใช่ว่าจะเข้าถึงกันได้ง่ายๆ
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเล่าเรื่องในเรื่องนี้เข้ากันได้กับเนื้อหาในแต่ละไทม์ไลน์เป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าหากผมเองไม่ได้อ่านด้วยตัวเองคงนึกไม่ถึงว่ามันลื่นไหลออกมาในระดับนี้ด้วยหน้าปกเรื่องแนวนี้ครับ
มาถึงจุดที่พูดยากที่สุดเพราะมันคือจุดสำคัญและลึกสุดๆของเรื่องนี้ครับ เอาจริงๆตรงส่วนนี้น่าจะมีติดสปอย์เนื้อหาไม่มากก็น้อย เพราะหากใครอ่านการ์ตูนหนักๆ จะพอนึกภาพออกว่าเรื่องกำลังพูดถึงอะไร เพราะฉะนั้นหากใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว และคิดว่าจะไปหาอ่านเองละก็ แนะนำให้ข้ามไป หาอ่านได้และอ่านจบเมื่อไหร่ค่อยมาอ่านต่อก็ได้นะครับ เอาเป็นว่าใครไม่อยากรู้เนื้อหาผสมการสปอย์ข้ามไปได้เลยนะครับ.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ใครมาถึงตรงนี้คือต้องการอ่านต่อนะครับงั้นผมร่ายยาวเลยนะครับ (ที่ผ่านมาคือน้ำจิ้ม 5555) จริงๆเรื่องนี้มีประเด็นหลักที่เอามาเล่นและเน้นย้ำตลอดทั้งเรื่องเมื่อเข้าสู่เนื้อหาจากการก้าวเข้ามาของ “จิอะ” สาวน้อยผู้หลงรักรุ่นพี่ “คาตาโอกะ ชูจิ” นั่นแหล่ะครับ
เพราะแม้จะดูว่าสิ่งที่เธอเข้ามารบกวนสองตัวเอกก็คือการเขียนจดหมายรักแทนเธอเท่านั้น แต่แค่ตรงนี้นี่แหล่ะที่นำเรื่องราวไปสู่เนื้อหาหลักของเรื่องอย่างไม่รู้ตัว และช่วงนี้ที่เรื่องเริ่มเพิ่มสไตล์การเล่าเรื่องอีกแบบเข้ามาใช้ในการเล่าครับ
ด้วยการทำให้เห็นถึงคำพูดของใครบางคน ที่เราไม่รู้จัก ซึ่งคำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความ “ผิดปกติ” ของคนๆ นั้นที่เรายังไม่รู้ว่า “คือใคร?” พร้อมกับเล่าเรื่องราวการช่วยเหลือภารกิจของ “จิอะ” ที่ผสมด้วยเรื่องความรักและมุมมองแบบทั่วไปที่จะได้เจอในการ์ตูนแนวแอบรักและวัยรุ่นทั่วไป
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องต้องการฉายภาพของโลกของคน “ธรรมดา” ทั่วไปให้เรารู้สึกว่าเรื่องนี้ก็คือเรื่องของคนธรรมดากลุ่มนึง ไม่ได้พิเศษแตกต่าง หรือมีอะไรแตกต่างโผล่ขึ้นมาระหว่างนี้เลย
และเป็นเพราะความธรรมดาของเรื่องราวแนวนี้จากการที่ “โคโนฮะและโทโกะ” ที่ต้องเกี่ยวข้องเพราะไปช่วยเหลือ “จิอะ” ทำให้พวกเขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของเรื่องราวที่พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่น่าใช่เรื่องราวการแอบรักของวัยรุ่นทั่วไปแล้ว
ซึ่งในฐานะคนอ่านเราได้เห็นข้อมูลความผิดปกติมาเรื่อยๆ จากคำพูดที่เรื่องจะเล่าออกมาให้รับรู้ถึงตัวละครบางตัวที่ไม่น่าไว้วางใจที่ยังไม่รู้ตัวว่าคือใคร และที่สำคัญ ตัวตนนั้นเล่นกับหัวใจของวรรณกรรมอันแสนโด่งดังอย่าง “ไร้ความเป็นมนุษย์” (สูญสิ้นความเป็นคน) นั่นเองครับ
หากใครเคยอ่านงานวรรณกรรมเรื่องนี้มาก่อนจะรู้จักเนื้อหาว่าเรื่องนี้เล่าถึงอะไร ซึ่งตรงนี้ผมแนะนำให้ไปหาอ่านเอาก่อนนะครับ ซึ่งหากใครยังไม่เคยอ่านหรือไม่อยากอ่านแบบวรรณกรรมที่มีแปลเป็นภาษาไทยไว้แล้ว
ก็แนะนำให้อ่านแบบมังงะของ อ. จุนจิ อิโตะ ที่เคยเขียนเป็นแบบการ์ตูนเอาไว้ในชื่อไทย “สูญสิ้นความเป็นคน” ของค่ายรักพิมพ์ก็ได้ครับ ถ้าได้อ่านมาก่อนจะเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้ตัวละครสำคัญในเรื่องเกิดปัญหาขึ้นได้ดีกว่าไม่ได้อ่านครับ ซึ่งตัวผมได้อ่านมังงะเรื่องนี้มาเรียบร้อยแล้วจึงอ่านต่อเนื่องต่อไปได้เลยครับ
ประเด็นที่เรื่องนี้เล่นก็คือ “ตัวตน”หรือคนแบบเดียวกับ อ.ดะไซ โอซามุ ผู้เขียนเรื่อง“ไร้ความเป็นมนุษย์” ที่ถูกหยิบยกมาให้เห็นภาพ รวมถึงเป็นภาพฉายเปรียบเทียบให้เห็นถึงคนประเภทนี้
เพราะฉะนั้น แม้ในเรื่องจะมีการบรรยายถึง “ตัวตน”หรือคนแบบเดียวกันนี้พอสมควร แต่มันไม่ลึกหรือละเอียดแบบได้อ่านเรื่องนี้มาก่อนอย่างแน่นอน แต่ด้วยตัวเรื่องที่ยก “ตัวตน” จากหนังสือที่ว่าไว้เป็นตัวฉายภาพให้เห็นเปรียบเทียบเป็นสำคัญ เนื้อเรื่องก็เล่าถึงบุคคลคนนั้นออกมาได้อย่างดีในระดับที่ทำให้เรารู้จักและสงสัยว่าคนๆนั้นเป็นใครได้อย่างไม่มีปัญหาครับ
ตัวเรื่องเล่าสไตล์การ์ตูนแนวนี้อย่างชัดเจน มีการสร้างคำถามจากความสงสัยในสิ่งแรกไปเรื่อยๆ ยิ่งค้นหาคำตอบในคำถามแรก ก็เจอกับกำแพงและคำถามต่อไป การสืบการหาในเรื่องถือว่าสร้างและนำเสนอออกมาภายใต้กรอบของความเป็น “นักเรียน ม.ปลาย” ทั่วไปได้เป็นอย่างดี
ไม่หลุดกรอบตรงจุดนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นจุดสำคัญที่จะคงให้เรื่องนี้ดูน่าเชื่อถืออย่างที่ควรเป็น เพราะหากใส่ความแฟนตาซีในด้านนี้เข้ามา น้ำหนักของความเชื่อถือจะลดลงไปตามสิ่งที่ใส่เข้ามาได้อย่างง่ายครับ การที่เรื่องยังคงกรอบตรงนี้ได้อยู่ ทำให้มันไม่เสียน้ำหนักตรงจุดนั้นไป ซึ่งสำหรับผมมันสำคัญมากนะครับ
ด้วยความน่าเชื่อถือนี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของเนื้อหาในเรื่องนี้ ทำให้ตัวเรื่องเล่าทั้งจุดที่เป็นข้อสงสัยและวิธีการสืบรวมถึงการเฉลยปมหลายๆปมได้เป็นอย่างดี เพราะด้วยปมคำถามของเรื่องนี้จะโผล่ขึ้นมาเป็นระยะไม่ใช่แบบปมเดียวจบ การหาคำตอบและไล่ตอบทุกคำถามให้อยู่ในกรอบที่คนอ่านอย่างผมจะรับได้และอธิบายได้เข้าใจ เป็นอะไรที่ไม่ง่าย
แต่เรื่องนี้ก็ตอบมาได้ทุกข้อที่ตัวเองตั้งไว้ จนระหว่างอ่านผมรู้สึกว่าปมต่างๆในเรื่องนี้มีระดับที่อ่านแล้วสนุกแม้จะไม่สุดหรือทะลุเรื่องอื่นๆในแนวนี้ก็ตาม ช่วงจังหวะที่ผมคิดอย่างนั้น ตัวเรื่องก็เปิดประเด็นสุดท้ายที่จะต้องนำสิ่งต่างๆที่เราได้อ่านมาเป็นคำตอบในตอนจบนี้
โดยส่วนตัวแม้อาจจะบอกไม่ได้ว่าในส่วนนี้เรื่องนี้คือที่สุดของที่สุด แต่ผมบอกได้ว่า การนำเสนอปมของเรื่องนี้ ที่ใช้พื้นฐาน “ความเป็นไปได้” ของนักเรียน ม.ปลาย ทั่วไปนั่น เรื่องนี้ติดอันดับท๊อปอย่างไม่น่าสงสัยเลยครับ
ตัวเรื่องเล่าออกมาได้เป็นเหตุเป็นผลและสมดุลในพื้นฐานความน่าเชื่อถือในเรื่องราวต่างๆครับ ในขณะที่สิ่งสำคัญของเรื่องกลับกลายเป็นดาบสองคมไม่น้อย ในทางนึงมันคือสิ่งที่ใกล้ตัวเราแต่ในทางกลับกันผมมองว่าไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจในความทุกข์ของสิ่งที่ตัวละครต้องเจอกัน
การที่ตัวละคร “ไม่รู้สึก” ในความเป็นอารมณ์ของมนุษย์ทั่วไปอย่างที่ควรเป็น สำหรับผมมันดูอ่านเข้าใจง่าย แต่เข้าถึงได้ยากนะครับ ซึ่งผมยอมรับว่าแม้ผมจะเป็นผู้อ่านที่มีอายุไม่น้อยแล้ว แต่การที่จะเข้าใจความรู้สึกแบบ อ. ดะไซ และตัวตนของพวกเขาในเรื่องนี้
มันออกจะอวดดีไปซักหน่อยที่จะบอกว่าผมเข้าใจ “ดี” เพราะต้องยอมรับว่า “เพราะผมเป็นมนุษย์ทั่วไปนี่นา” ความทุกข์จากการที่ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าทำไมคนทั่วไปถึง “หัวเราะ ร้องไห้ และมีอารมณ์ต่างๆ” จนทำให้ต้องซ่อนตัวตนความสงสัยเอาไว้และนำเสนอตัวตนแบบทั่วไปออกมาทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อไม่ให้มีปัญหา มันคือความทุกข์ขนาดไหน
ซึ่งตัวละครในเรื่องนี้ก็มีการพูดออกมา ว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของ ดะไซ คนที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย มีพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะการเงิน และการศึกษา ว่าทำไมถึงต้องกังวลในสิ่งที่เขาเจอด้วย ความรู้สึกในปัญหาเหล่านี้ ผมว่ามันต้องใช้เวลาในการอ่านเพื่อเข้าถึงตัวตนที่เป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้นการได้อ่านหนังสือเรื่องนี้แบบเต็มๆมาก่อนผมว่าจะมีประโยชน์อย่างมากในการที่จะเข้าใจถึงปัญหาใน “ตัวตน” ในเรื่องราวในนี้ครับ..
ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่ผมกล่าวเอาไว้แบบนี้ ผมมองว่ามันลงตัวภายใต้เงื่อนไขความสมเหตุสมผลของเด็ก ม.ปลายและโยงเข้าเรื่องราวได้ตรงกับชื่อก็คือ “สาววรรณกรรม” อย่างมากครับ
ผมชื่อชอบการถ่ายทอดเรื่องราวที่มีต้นฉบับมาจากนิยายในชื่อเดียวกันนี้ ซึ่งผมไม่ใช่คนอ่านนิยายอยู่แล้ว และรู้ว่าในฉบับนิยายจะมีรายละเอียดและการถ่ายทอดที่ครบถ้วนมากกว่าฉบับมังงะอย่างแน่นอน แต่เท่าที่อ่านเรื่องนี้แบบหนังสือการ์ตูน ผมว่ามันถ่ายทอดออกมาได้ดีอย่างมากครับ
แม้ตอนแรกผมจะมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของลายเส้นที่ออกแนวการ์ตูนรักของสาวๆ ไปซักหน่อย อาจจะด้วยตัวเรื่องมันมีการนำเสนอคาบเกี่ยวและเปิดเรื่องด้วยความรักของวัยรุ่นส่วนหนึ่งก็เป็นได้ ทำให้ถ้ามองในแง่ความชอบส่วนตัวผมว่าเรื่องนี้ขาดพลังในการสื่อสารเนื้อหาหนักๆ ด้วยภาพดิบๆ
แต่ตรงจุดนี้หากมองกลับกัน ด้วยเนื้อหาประมาณนี้ ผมว่าการนำเสนอด้วยลายเส้นอย่างนี้อาจเหมาะสมกว่าการวาดแบบดิบๆ ก็ได้ เพราะมันอยู่บนพื้นฐานความสมจริงและเด็ก ม.ปลาย ตามที่ผมได้บอกไปแล้ว เรื่องที่ไม่ได้เล่าถึงคดีที่มีการตายอย่างสยอดสยองแบบในเรื่องอื่นๆ การวาดและนำเสนอออกมาแนวนี้ น่าจะลงตัวมากกว่า นักวาดลายเส้นดิบๆ ก็เป็นได้
ซึ่งเรื่องนี้ในแง่นั้น สามารถวาดเล่าเรื่องและสื่อสารออกมาได้ดีมากๆ กลายเป็นว่าเมื่อได้อ่านไปแล้ว การวาดแต่ละหน้าเต็มไปด้วยจังหวะและการนำเสนอที่เหมาะกับเนื้อหามากๆ ทำให้หลังจากอ่านมาและมานั่งทบทวน แม้ลายเส้นเรื่องนี้ไม่ถูกใจแต่ต้องยอมรับว่าเล่าเรื่องได้ดีมากๆครับ
“สาววรรณกรรม กับ ปริศนาตัวตลกผู้สิ้นหวัง” เรื่องโดย อ.Mizuki Nomura ภาพโดย อ. Rito Kohsaka และออกแบบตัวละครโดย อ. Miho Takeoka ภาคนี้ออกมาทั้งหมด 3 เล่มจบ กับทางค่าย สยามอินเตอร์คอมมิค โดยออกจบครบถ้วนมาแล้วตั้งแต่ปี 2555 โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าเรื่องนี้หาอ่านได้ไม่ง่ายเลยครับ ยิ่งจบๆ นี่ยิ่งยากใหญ่ เป็นอีกเรื่องที่คงต้องออกแรงซักหน่อยหากต้องการอ่านครับ
ส่วนตัวผมมองว่าการอ่านเรื่องนี้มันจะสนุกมากหรือเข้าถึงได้มากหรือตื้นแค่ไหน ต้องอยู่ที่ว่า “คนอ่าน” อย่างคุณจะเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานของตัวละครในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามองกลางๆดูจากตัวผมเอง
แม้จะเข้าถึงความทุกข์อันแสนสาหัสได้ไม่เท่าตัวละคร แต่ด้วยการนำเสนอและการเล่าเรื่อง รวมถึงพล็อตเรื่องที่มีรายละเอียดแบบนี้ผมว่ามันสนุกเกินพอสำหรับการ์ตูนแนวนี้หลายๆเรื่องแล้วครับ มันมีทุกอารมณ์ของเรื่องราวรวมอยู่ในเรื่องเดียวกันและทุกอารมณ์ก็ทำออกมาได้สนุกตามโจทย์มันด้วย อ่านลื่นและไม่รู้สึกว่าติดขัดอะไรเลย
ทั้งๆที่เนื้อหาของมันไม่ได้แน่นไปตลอดทั้งเรื่อง มีจังหวะและโทนเรื่องให้รีแล็กซ์ในหลายๆจังหวะเลยครับ ซึ่งปกติถ้าจะบิ้วอัพให้ได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เนื้อหาที่แน่นแบบอ่านไม่ทัน กลยุทธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแบบฝุ่นตลบแล้ว ก็ยากที่จะบิ้วและทำให้ออกมาได้แบบนี้ ยิ่งเมื่อมองจากการนำเสนอภายใต้ความสมจริงและเงื่อนไขเรื่องราวของเด็ก ม.ปลายแล้ว
ผมว่ามันสมเหตุสมผลและเล่นด้วยอารมณ์ได้ดีมากเลยครับ เป็นอีกเรื่องนึงที่เมื่ออ่านจบแล้วรู้สึกประทับใจ จนต้องอยากหาภาคอื่นของซีรีย์นี้ ซึ่งเท่าที่ทราบมันเป็นเรื่องที่เขียนมาจากนิยายในชื่อเดียวกันมาอ่านเพิ่มเติมเลยครับ โดยรวมใครชอบแนวนี้ และเรื่องราวตอนจบที่เฉลยได้อย่างเคลียร์ภายใต้เนื้อหาที่เข้าถึงมนุษย์ผู้มีสิ่งปกติ เรื่องนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
ภาพ 7/10 (ในแง่ภาพนะครับ แต่ถ้าแง่เล่าเรื่องให้ 9/10ครับ)
เรื่อง 9.3/10
ความประทับใจ 9.4/10
อ่านรีวิวเรื่องอื่นๆที่ทางเพจเคยรีวิวไว้มีกว่า 900 กว่าเรื่องตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ.
.
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #3เล่มจบ #SiamInterComics #การ์ตูนแนวลึกลับ #การ์ตูนแนวสืบสวน #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนววรรณกรรมญี่ปุ่น #9คะแนน #สาววรรณกรรมกับปริศนาตัวตลกผู้สิ้นหวัง #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #สยามอินเตอร์คอมมิค
โฆษณา