Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
2read
•
ติดตาม
22 พ.ค. 2022 เวลา 00:07 • ประวัติศาสตร์
อดไม่ไหวจึงต้องหยิบมาเขียนเล่ากันอีกสักตอน
คราวนี้เราจะเน้นไปในเรื่องของการศึกการสงคราม
ทั้งการลงโทษทหารที่ทำผิดกฎอัยการศึก
การลงโทษทหารแพ้ศึก
และความห้าวหาญของทหารกรุงศรีอยุธยาที่มีเยอะเกินเบอร์
จนทำให้ตัวเองถูกจับไปเป็นเชลย...
ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย!
ภาพถ่ายจากนิทรรศการประวัติศาสตร์ชาติไทย อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
รวมเรื่องแปลกจากพงศาวดารพม่า (ภาค 4)
บทความจากคอลัมน์ "รุ่นเก๋า...เล่าเกร็ด" โดย หอย อภิศักดิ์
บนแอป 2read
⚔️ตายเพราะชี้ดาบ
เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ พระราชพงศาวดารพม่า
พระนิพนธ์ของ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพหงสาวดีของพระเจ้าบุเรงนอง
กำลังตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยา ในสงครามคราวเสียกรุง พ.ศ. 2112
ในบรรดากองกำลังที่มาร่วมในกองทัพพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองนั้น
มาจากหลายที่และหนึ่งในนั้นก็คือทัพจากเมืองสันละยิน
(หรือ ตันละยิน / ฝรั่งเรียก ซีเรียม / ไทยเรียก สิเรียม)
ในตอนที่กองทัพหงสาวดีพยายามจะยกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น
ก็บังเอิญว่า มีนายทหารของทัพสันละยิน (สิเรียม) นายหนึ่ง
กำลังผลีผลามสั่งพลทหารในสังกัดให้เข้าปีนกำแพงเมืองอยุธยา
โดยกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
ทรงใช้คำว่า นายทหารผู้นั้น “ชักดาบเปลือยคมชี้สั่งพลทหาร”
(อ่านมาถึงตรงนี้ทำให้เข้าใจว่า การชักดาบออกจากฝักแล้วชี้สั่งทหารในสังกัดนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎกองทัพ)
และในระหว่างที่นายทหารของเมืองสันละยิน
กำลังชักดาบเปลือยคม ชี้สั่งทหารในกำกับของตนอยู่นั้นเอง
พญากามะนี เจ้าเมืองสันละยิน
ได้เห็นการกระทำนั้นเข้าก็ไม่พอใจ
เพราะเห็นว่า นายทหารคนนั้นไม่น่าจะขู่เข็ญพลทหารในกำกับของตน
ถึงขนาดชักดาบชี้สั่งแบบนั้น
พญากามะนี จึงไล่ด่าทอชี้หน้านายทหารผู้นั้น
ทั้งๆ ที่ในมือของตัวเองก็กำลังถือดาบเปลือยคมอยู่เช่นกัน
เหตุการณ์มันก็เลยกลายเป็นว่า
พญากามะนีไม่พอใจที่นายทหารชักดาบชี้หน้าขู่พลทหารผู้น้อย
แต่ตัวเองก็กลับชักดาบชี้หน้าด่านายทหารคนนั้นเหมือนกัน
นายทหารผู้นั้นก็เลยกราบทูลฟ้องพญากามะนี ต่อพระเจ้าบุเรงนอง
และพระเจ้าบุเรงนองก็รับสั่งให้ พระเจ้าแปร เป็นคนสอบสวนเรื่องนี้
พระเจ้าแปรก็พยายามพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ว่า
ขอให้พระเจ้าบุเรงนองอย่าไปถือสาเลย
พญากามะนีแกเป็นคนพิลึกอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ชี้ดาบเป็นเรื่องปกติ
ขนาดชี้ดาบใส่คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ยังทำบ่อยๆ
นั่นเพราะมีใจห้าวหาญจนเคยตัว
และอีกอย่าง ความผิดของพญากามะนีในครั้งนี้
ก็ถือเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พระเจ้าแปร พยายามทูลพระเจ้าบุเรงนองต่อไปว่า
พญากามะนีเป็นข้าหลวงเก่าแก่
จงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าบุเรงนอง
ร่วมรบทัพจับศึกกันมาตลอดไม่ว่าศึกไหน
ครั้งนี้ พญากามะนีเพิ่งทำความผิดเป็นครั้งแรก
ขอได้โปรดงดโทษแก่พญากามะนีไว้สักครั้งเถิด
แต่พระเจ้าบุเรงนองไม่ทรงเห็นด้วย
พร้อมตรัสว่า ความผิดของพญากามะนีครั้งนี้ ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่
แต่มันก็เป็นการละเมิดยุทธวินัย (คือผิดกฎอัยการศึก)
ซึ่งไม่อาจจะยกโทษให้กันได้ ถ้าพระเจ้าแปรนึกสงสาร
จะให้ตัดหัวพระเจ้าแปร แทนหัวของพญากามะนีก็ได้นะ...
พระเจ้าบุเรงนองตรัสมาดังนี้ พระเจ้าแปรก็จนปัญญา
เป็นอันว่า พญากามะนีเจ้าเมืองสันละยิน (ซีเรียม)
ก็ถูกพระเจ้าบุเรงนอง สั่งประหารในค่ายของพระเจ้าแปรนั้นเอง
ข้อหาละเมิดอัยการศึก
ทีนี้ก็บังเกิดเหตุดราม่าขึ้นอีกอย่าง
คือเมื่อพญากามะนีโดนตัดศีรษะ
เลือดกำลังไหลปรี่อยู่นั้นเอง
ลูกชายของพญากามะนีก็โถมเข้ากอดเท้าของพ่อ
แล้วร้องไห้เสียยกใหญ่
พระเจ้าบุเรงนองทรงได้ยินดังนั้น
ก็รับสั่งให้ตัดศีรษะลูกชายพญากามะนีไปด้วยอีกคน
ยังไม่จบ...
ขณะนั้น ทาสของพญากามะนี
เห็นศพเจ้านายของตัวเองทั้งพ่อลูก
คอขาดตายคู่กันอย่างน่าสังเวช ไม่มีอะไรคลุมศพ
ก็เอากระแชง (เครื่องบังแดด) มาคลุมศพเจ้านาย
พระเจ้าบุเรงนองซึ่งกำลังบันดาลพระโทสะ
ทรงทราบเข้า ก็รับสั่งให้ประหารทาสคนนั้นเข้าอีกคน
เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า พระเจ้าบุเรงนองนั้น
ในระหว่างทำศึกจะไม่ทรงเห็นแก่ใครหน้าไหนทั้งนั้น
แต่จะมุ่งเอาชนะศึกให้ได้สถานเดียว
ขนาดเป็นข้าหลวงเก่าแก่ที่มีความดีความชอบมายาวนาน
ก็ไม่ทรงอ่อนข้อ ยอมความให้เป็นอันขาด
และเมื่อถึงเวลาที่ทรงพระพิโรธขึ้นมาแล้ว
ก็จะไม่มีใครสามารถทัดทานเหนี่ยวรั้งได้เลย
นับแต่วันนั้นมา ไม่ว่าใครหน้าไหนในกองทัพ
ต่างก็ขยาดพระราชอาญายิ่งกว่าคมศาสตราวุธ
หรือกระสุนปืนข้าศึกเสียอีก
เรียกว่าถ้าเจ้านายสั่งแล้ว
ก็จะรบแบบไม่กลัวตายเลยทีเดียว
⚔️วิธีลงโทษทหารแพ้ศึก
มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า เล่าไว้ว่า...
จ.ศ.1089 (ประมาณ พ.ศ. 2270 ถ้าเป็นในอยุธยาก็จะตรงกับแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ / และตอนนั้น เชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นของอังวะ)
ผู้รักษาเมืองเชียงใหม่ได้ขูดรีดภาษีจากประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม
ชาวบ้านก็พากันหนีออกจากเมืองไปซ่อนตัวตามที่ต่างๆ เต็มไปหมด
พระเจ้ากรุงอังวะทรงทราบข่าวนี้
ก็โปรดให้ มางแรนันทสู เป็นแม่ทัพ
เคลื่อนพลมาพร้อมไพร่ราบ 20,000 / ช้าง 50 / ม้า 2,000
ยกมาในวันจันทร์ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12
และเข้าตีจนชนะกองทัพเชียงใหม่
ทีนี้ เจ้าเมืองเชียงใหม่ก็เอาเครื่องบรรณาการมาให้มางแรนันทสู (คือมาติดสินบน)
เพื่อขอให้ทหารอังวะเลิกปล้นชาวเมือง
และขอให้เลิกทัพกลับไป
มางแรนันทสู ไม่รู้ทันอุบายของเจ้าเมืองเชียงใหม่
ก็สั่งถอยทัพออกจากเมือง
เจ้าเมืองเชียงใหม่เห็นว่าได้จังหวะ ก็เลยซ้อนแผน
ยกพลเข้าตีกองทัพของมางแรนันทสูจนแตกพ่ายไป
เรื่องนี้ทราบไปถึงพระเจ้ากรุงอังวะ
จึงทรงพระพิโรธเป็นอันมาก
รับสั่งให้ยกกำลังไปตามจับตัวแม่ทัพนายกองมาให้หมด
แล้วทรงกำชับว่า ถ้าจับได้ตัวแม่ทัพนายกองมาได้แล้ว
ก็ให้ลงโทษด้วยวิธีการสุดโหด
โหดขนาดไหนน่ะเหรอ
วิธีการลงโทษก็คือ ให้เอาไฟหลอมเงิน
แล้วกรอกใส่ปากเหล่าแม่ทัพนายกองจนกว่าจะตาย !!!
บรรดาแม่ทัพนายกองได้ยินข่าวนี้เข้า และพิจารณาแล้วว่า
ทำยังไงก็คงจะหนีไม่รอดแน่ๆ
จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิดกันทั้งหมด
นั่นคือความโหดของการลงโทษแม่ทัพนายกองที่แพ้ศึก
เพราะความประมาท
⚔️โดนจับเพราะความห้าว
เรื่องนี้มาจาก มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามคราวเสียกรุง พ.ศ. 2310
ตอนที่ทัพพม่าอังวะมาตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยา
ก็จะมีช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงน้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่รอบๆ เกาะเมืองอยุธยา
ช่วงนั้นก็จะเกิดยุทธนาวี
หรือการรบทางน้ำระหว่างกองกำลังของทั้งอังวะและอยุธยา
มหาราชวงษ์บอกว่า ขุนศึกอยุธยาคนหนึ่ง
คือ พระสรรพ์อมาตย์ อาสานำทัพเรือออกไปรบ
พระเจ้าเอกทัศก็ทรงให้แต่งเรือรบใหญ่
บรรทุกทหารได้ 500 พร้อมอาวุธครบมือ
กองกำลังอยุธยา โดยการนำของพระสรรพ์อมาตย์
จัดเรือรบออกมา 2,000 / เรือสัมปันนี 500 / ทหาร 25,000 บรรทุกปืนใหญ่น้อย
แล้วพระยาสรรพ์อมาตย์ ก็คุมกองเรือออกไปทางตะวันตก
ที่มหานรทาคุมพื้นที่อยู่ (ตัวเลขกองกำลังของอยุธยาแต่ละครั้งที่ มหาราชวงษ์ ระบุไว้ มันจะดูเวอร์ๆ หน่อยนะ ก็ขอให้รับทราบกันไว้ตามนี้ก่อนก็แล้วกัน)
ทั้งสองฝ่ายก็ประจันหน้าเข้าตะลุมบอนกัน
ลูกปืนใหญ่น้อยยิงกันปลิวว่อน
ทหารที่คุมป้องของอยุธยาก็ช่วยยิงเสริมเข้ามาด้วย
ทีแรกเรือของอังวะโดนจมลงไป 20 ลำ
ทหารอังวะตายเป็นเบือแต่ก็ไม่ยอมถอย
ทีนี้ก็มาถึงฉากสำคัญ คือมีทหารอังวะ ชื่อ งะจันทุน
เป็นพลทหารรักษาปืนใหญ่
เห็นพระสรรพ์อมาตย์ ยืนบัญชาการอยู่หัวเรือของฝ่ายอยุธยา
งะจันทุนจึงหันหัวเรือของตัวเอง
จะเข้าจับตัวพระสรรพ์อมาตย์ !
พระสรรพ์อมาตย์ จึงตะโกนมา
โดยมหาราชวงษ์ระบุไว้ ดังนี้...
“กูมิใช่ยกมาให้พวกมึงจับกูเมื่อไร กูยกมาจะจับพวกมึงเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้ว พระสรรพ์อมาตย์
พร้อมพลทหารก็ถืออาวุธโดดลงหัวเรือของงะจันทุน
ด้วยความห้าวหาญ
แต่อนิจจา...งะจันทุนเอาแส้ปืนใหญ่ฟาดเข้าใส่พระสรรพ์อมาตย์
แล้วก็จับตัวพระสรรพ์อมาตย์ได้ซะอย่างนั้น !!!
อันนี้ก็ไม่รู้ว่า มันเป็นการใส่สีใส่ไข่ของ มหาราชวงษ์ หรือเปล่า
แต่พอดีไปอ่านเจอว่า เขาบันทึกไว้แบบนี้ เห็นว่าน่าสนใจดี
ก็เลยเอามาเขียนเล่าเป็นความรู้ร่วมกัน
และนั่นคือภาคที่ 4 ของเรื่องแปลกๆ จากพงศาวดารพม่า
ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส จะหยิบเรื่องอื่นๆ มาเขียนเล่ากันอีกครั้งนะ
::: อ้างอิง :::
- มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า / นายต่อ แปล. กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บุ๊คส์, 2562.
- พระราชพงศาวดารพม่า / กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา, 2550
- ภาพทั้งหมดถ่ายจากนิทรรศการประวัติศาสตร์ชาติไทย อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
เรื่องโดย หอย อภิศักดิ์
อ่านเพิ่มเติม
2read.digital
รุ่นเก๋า...เล่าเกร็ด
รวมเรื่องแปลกจากพงศาวดารพม่า (ภาค 4)
เติมอาหารสมองและพลังใจด้วยคอนเทนต์สาระจาก 2read
กดถูกใจ กดติดตามเพจ กดไลค์โพสต์นี้ให้เราด้วยนะคะ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย