21 พ.ค. 2022 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์
Rune 101 by Pastory
อันซัส : รูนของโอดิน
อักษรรูน Anzus (จาก pixabay.com)
อันซัส (Ansuz) อักษรรูนตัวที่ 4 บอกเล่าเรื่องราวของโอดิน เทพบิดรของเหล่าเทพนอร์ส ผู้มีเรื่องราวแสนซับซ้อน ควรแก่การนำมาเล่าเป็นเรื่องประเดิมในซีรีส์ Rune 101
โอดินเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร และเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ไปอ่านกันครับ
อันซัส : รูนของโอดิน
แม้ว่าอันซัสจะเป็นอักษรลำดับที่ 4 ในชุดอักษรรูนโบราณ หรือ เอลเดอร์ฟูธาร์ก (Elder Futhark) แต่เพราะออกเสียงเหมือนตัว a ในภาษาอังกฤษ จึงนำมาเล่าเป็นอันดับแรก
2
ความหมายพื้นฐานของ Ansuz คือ เทพเจ้า หรือถ้าเจาะจงก็คือ โอดิน (Odin) เทพบิดรของเหล่าเทพนอร์ส ขณะที่บางตำราก็ว่า Anzus ยังหมายถึง โลกิ (Loki) เจ้าแห่งการแปลงร่าง ก็มี
ลึกลงไปในความหมาย Ansuz ยังบ่งบอกถึงการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า การดลใจของเทพเจ้า ภูมิปัญญารู้แจ้งของโอดิน และโดยความหมายที่กว้างที่สุด Ansuz ยังหมายถึง บรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคน
วันนี้ ขอนำเรื่องราวของโอดินมาเล่าเป็นประเดิมสำหรับคอลัมน์ Rune 101 by Pastory ครับ
Quick Facts : โอดิน
  • 1.
    โอดินเป็นเทพบิดรในเทพปกรณัมนอร์ส ผู้ครอบครองความรู้และภูมิปัญญา อีกทั้งเป็นเทพแห่งการรบและเทพแห่งความตาย
  • 2.
    โอดินเป็นลูกครึ่ง ระหว่างเทพบอรร์ (Borr) กับ ยักษ์เบสต์ลา (Bestla)
  • 3.
    มเหสีของโอดิน คือ เทพีฟริกก์ (Frigg)
  • 4.
    โอดินมีลูกจำนวนมาก ที่โดดเด่นคือ เทพ 4 องค์ ได้แก่ ธอร์ (Thor) บัลเดอร์ (Balder) วีดาร์ (Vidar) และ วาลี (Váli)
  • 5.
    โอดินแลกดวงตาข้างหนึ่งกับการได้ดื่มน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ของยักษ์มีเมอร์
1
โอดินคือใคร
โอดิน (Odin) เป็นเทพบิดรในเทพปกรณัมนอร์ส เป็นราชาผู้ทรงภูมิปัญญาแห่งแอสการ์ด (Asgard) เป็นประธานของเหล่านักรบวัลคีรี (Valkyries) และคนตาย
1
ตามเอกสารโบราณ ภาพของโอดินค่อนข้างแตกต่างจากที่คนปัจจุบันรับรู้ โอดินเป็นผู้สร้างโลก ให้กำเนิดชีวิต เป็นเทพแห่งพลังคู่ตรงข้าม ย่ิงกว่านั้น โอดินยังเป็นหนึ่งเทพที่ได้รับการเคารพสูงสุดจากชาวนอร์สและกลุ่มคนที่พูดภาษาเยอรมันโบราณ
1
โอดินมีชื่อต่างๆ กันไปถึงอย่างน้อย 170 ชื่อ ทั้งยังมีฉายาอีกนับไม่ถ้วน เช่น โวเดน (Woden) เวาดัน (Wuodan) เวาตัน (Wuotan) และฉายา “เทพบิดร” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Allfather
2
คำว่า Wendesday (วันพุธ) มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า wōdnesdæg ที่หมายถึง ‘วันของโอดิน’ นั่นเอง
2
โอดิน (จาก medium.com)
เทพลูกครึ่ง
โอดินเป็นลูกครึ่ง เพราะมีแม่เป็นยักษ์ ชื่อ เบสต์ลา (Bestla) กับ บอรร์ (Borr) ซึ่งเป็นเทพ โอดินสร้างจักรวาลขึ้นหลังจากสังหารอีเมอร์ (Ymir) สิ่งที่มีชีวิตยุคแรกที่สุด เนื้อหนังของอีเมอร์กระจายไปกลายเป็นอาณาจักรทั้งเก้า นี่จึงทำให้โอดินได้รับฉายาว่าเป็น “บิดา” แห่งทวยเทพ
2
โอดินปรากฏตัวในรูปลักษณ์ที่หลากหลาย ทั้ง คนจรชายชราหนวดเครายาวขาวโพลน นักรบผู้เกรี้ยวกราด นักรักผู้เร่าร้อน พ่อมดโบราณ เจ้าแห่งเวทมนตร์ เจ้าแห่งความตายและผู้พิทักษ์เหล่ากวี นอกจากนี้ โอดินยังได้ชื่อว่ารักการทำสงคราม ชัยชนะและวีรบุรุษ
1
คนนอร์สและคนเยอรมันโบราณเห็นว่าลักษณะของการมีพลังที่ตรงกันข้ามกันอย่างนี้นี่เองที่เป็นการเชื่อมโยงจักรวาลนี้ไว้ด้วยกันและเป็นพลังสร้างสรรค์สรรพสิ่งขึ้นมา
1
เทพแห่งโจรผู้ร้าย สงครามและความตาย
โอดินได้รับการบูชาในฐานะเทพของเหล่าอาชญากรและคนร้าย เพราะคนโบราณเห็นว่าโจรผู้ร้ายมักจะชอบรบราฆ่าฟันอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกที่โอดินจะเป็นเทพของคนเหล่านั้นด้วย อีกทั้งการที่พวกโจรผู้ร้ายยังย้ายถิ่นไปเรื่อยๆ จึงเข้าข่ายการเป็นนักเดินทางซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของโอดินด้วย
1
แม้ชาวนอร์สโบราณจะบูชาเทพทีร์ หรือ เทียร์ (Týr) เป็นเทพแห่งสงคราม แต่ก็ยังบูชาโอดินในฐานะเทพแห่งสงครามควบคู่กับเทพทีร์ด้วยเช่นกัน (ความแตกต่างของโอดิน กับ ทีร์ ในฐานะเทพแห่งสงครามอยู่ด้วย ไว้จะนำมาเล่าต่อไป #ติดตามให้ได้นะครับ)
เทพแห่งผู้กล้าในสนามรบ
เทพปกรณัมนอร์ส ไม่ได้แยกเทพแห่งความตายออกต่างหาก แต่ยกให้เป็นของโอดิน และเขายังเป็นเทพของเหล่าผู้กล้าที่ได้ชัยชนะในสงคราม รวมถึงเหล่าผู้สละชีพในสนามรบ โดยเมื่อคนเหล่านั้นตายลง เหล่านักรบวัลคีรีของโอดินขี่ม้าเหาะลงมาจากฟากฟ้าแล้วพาดวงวิญญาณของผู้กล้าไปสู่วัลฮัลลา (Valhalla) อันเป็นสรวงสวรรค์ของนักรบที่ได้กินดื่มและรื่นรมย์กับโอดินตราบวันสิ้นโลก หรือ แร็กนาร็อก (Ragnarok)
2
แต่ใช่ว่าทุกคนที่ตายในสนามรบจะได้เป็นผู้กล้าของโอดิน คนที่ไม่ได้แสดงความกล้าหาญและไม่ใช่ผู้กล้าที่แท้จริง เมื่อตายลง วิญญาณจะไปสู่เฮลไฮม์ (Helheim) โลกใต้พิภพอันเป็นอาณาจักรของเทพีเฮล (Hel) น้องสาวของโลกิ
3
เทพแห่งภูมิปัญญา
ตำนานกล่าวว่า เดิมฉายา “เทพแห่งภูมิปัญญา” นั้น เป็นของยักษ์มีเมอร์ (Mimor) หรือ มิม (Mim) ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของโอดินมาก่อน แต่เมื่อมีเมอร์ตายลงในสงครามระหว่างเอเซอร์กับวาเนียร์ (Æsir-Vanir War) โอดินก็กลายเป็นผู้รับช่วงปัญญาต่อจากมีเมอร์ เขาเก็บรักษาหัวของมีเมอร์ไว้ในสภาพเหมือนคนหลบโดยใช้สมุนไพรและเวทมนตร์ บ่อยครั้งที่โอดินจะถามเพื่อขอคำแนะนำจากหัวของผู้เป็นลุง
1
ด้วยความอยากรู้อนาคต โอดินทรมานตนเองด้วยการแทงหัวใจตัวเองด้วยหอกสายฟ้ากุงเนียร์ (Gungnir) อันทรงพลานุภาพก่อนจะแขวนตัวเองห้อยหัวกับต้นอึกดราซิล (Yggdrasil) ต้นไม้แกนกลางจักรวาลเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อให้ได้ญาณหยั่งรู้อดีตและอนาคตของโลก
2
นอกจากนี้ เขายังสละดวงดาวของตัวเองข้างหนึ่งให้มีเมอร์เพื่อแลกกับการได้ดื่มน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ ‘มิมิสบรูเนอร์” (Mímisbrunnr) ที่ใต้ต้นอึกดราซิล การดื่มน้ำจะทำให้โอดินได้ความรู้และปัญญา เขายังสร้างอักษรรูนขึ้นมาบันทึกและถ่ายทอดความรู้ ตลอดจนพลังของอักษรเหล่านั้นให้แก่มวลมนุษย์อีกด้วย
1
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ตำนานต้องการสื่อก็คือ โอดินไม่เพียงรับมรดกปัญญาจากมีเมอร์เท่านั้น แต่เขายังแสวงหาความรู้และปัญญาด้วยตนเอง พร้อมกันนี้ก็ยังออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเสาะหาแหล่งความรู้ใหม่ๆ
ตำนานยังบอกเล่าว่าครั้งหนึ่งโอดินปลอมตัวเป็นคนงานของชาวไร่แล้วไปพบกับยักษ์ซัตตุง (Suttung) น้ำผึ้งแห่งบทกวีที่เขาได้จากยักษ์ตนนั้นทำให้เขามีความสามารถเชิงกวีและยังพูดออกมาเป็นบทกวี
2
วาระสุดท้ายของโอดิน
โอดินก็เหมือนกับเทพนอร์สส่วนใหญ่ นั่นคือ ตายลงในแร็กนาร็อกซึ่งเป็นวันสุดท้ายของโลกและเหล่าเทพ เหล่าเทพแอสการ์ดกับนักรบผู้กล้าต่างต้องสละชีพในการรบกับยักษ์และอสุรกายในตำนาน แม้จะรู้ว่าชะตากรรมกำหนดให้พวกเขาต้องตาย แต่ทั้งหมดก็รบด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่ง
1
ชะตากรรมของโอดินในแร็กนาร็อกนั้น เขาถูกหมาป่ายักษ์เฟนเรีย์ (Fenrir) ลูกคนหนึ่งของโลกิสังหาร โอดินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเขาจึงจับหมาป่าตัวนั้นล่ามโซ่ไว้กับภูเขาใหญ่ และการที่เขารวบรวมวิญญาณนักรบผู้กล้าไว้ที่วัลฮัลลาก็เพื่อการนี้ด้วย
1
แต่กระนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้โอดินหนีจากชะตากรรมพ้น เมื่อเฟนเรียร์หลุดจากพันธนาการและสังหารเทพบิดร ก่อนที่มันจะถูกวิดาร์ (Vidar) เทพแห่งการล้างแค้นซึ่งเป็นลูกชายคนหนึ่งของโอดินสังหาร ตำนานว่ามีเพียงวิดาร์และเทพอีกไม่กี่องค์เท่านั้นที่รอดชีวิตจากแร็กนาร็อกมาได้
2
สัญลักษณ์ของโอดิน
- หอกกุงเนียร์ (Gungnir) สร้างโดยคนแคระ โลกิเป็นผู้มอบหอกนี้ให้แก่โอดิน ตำนานเล่าว่าเมื่อโอดินขว้างหอกนี้ออกไป จะเกิดเป็นแสงสว่างวาบเหมือนดาวตก โอดินใช้หอกกุงเนียร์ในการรบหลายครั้ง รวมถึงในสงครามแร็กนาร็อก
1
- วัลคนุต (Valknut) ประกอบด้วยสามเหลี่ยม 3 รูปคล้องเข้าด้วยกันเป็นเงื่อนตาย ไม่มีต้น ไม่มีปลาย เป็นสัญลักษณ์ของนักรบที่สละชีพในสงคราม พบได้บ่อยในรอยสัก เป็นเครื่องหมายของความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ พลังของโอดิน ชีวิตและสงคราม รวมถึงการกำเนิดใหม่
2
วัลคนุต (จาก ancient-symbols.com)
- ฮูกินน์ กับ มูนินน์ (Huginn and Muninn) กาคู่ ผู้นำสารของโอดิน ทุกวันมันจะออกบินไปรอบโลกเพื่อนำข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ มาบอกแก่โอดิน เป็นสัญลักษณ์พลังปัญญารอบรู้ของโอดิน และยังเป็นที่มาของฉายา “เจ้าแห่งกา” ของโอดิน
2
- เขาทั้งสามแห่งโอดิน (triple horns of Odin) เป็นรูปเขาสัตว์สามอันสอดประสานกันเป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นเครื่องหมายของปัญญา ความรอบรู้และการสร้างสรรค์เชิงกวีนิพนธ์
1
เขาทั้งสามของโอดิน (จาก scandinaviafacts.com)
- เฟรกี กับ เกรี (Freki and Geri) หมาป่าคู่ที่หมอบอยู่แทบเท้าโอดิน เป็นเครื่องหมายของความกล้าหาญ พลัง และความภักดี ตำนานเล่าว่าโอดินผู้โดดเดี่ยว สร้างหมาป่าคู่นี้ขึ้นมาเป็นเพื่อน ก่อนจะสร้างมนุษย์ขึ้นภายหลัง โอดินต้องการให้มนุษย์เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ รักครอบครัวและพวกพ้องเผ่าพันธุ์เหมือนหมาป่าปกป้องลูกๆ และฝูงของมัน
1
โอดินกับหอก กาและหมาป่า (จาก snl.no)
สรุป
อักษร Anzus เป็นอักษรลำดับที่ 4 ในชุดอักษรรูนโบราณ หมายถึง เทพเจ้า โดยเฉพาะโอดิน ซึ่งเป็นเทพบิดรในเทพปกรณัมนอร์ส โอดินเป็นผู้สร้างโลก เป็นเทพที่มีบุคลิกงหลากหลาย เป็นผู้ครอบครองภูมิปัญญาเก่าแก่ และเป็นที่เคารพในหมู่ชาวนอร์สมานับศตวรรษ
แหล่งข้อมูล
Blum, Ralph H. (2008). The Book of Runes. St. Martin's Press.
Signs & Symbols. (2008). Kim Dennis-Bryan et al (editors). DK.
โฆษณา