24 พ.ค. 2022 เวลา 07:06 • ครอบครัว & เด็ก
นี่พวกเรากลับมาอยู่เมืองไทยได้เกือบหนึ่งปีครึ่งแล้วสินะ รู้สึกว่ามันช่างนานเหลือเกินนับตั้งแต่จากอเมริกามา หรือนี่จะเป็นสัญญาณหนึ่งของความทรมานใจ
Andaman photo by tawatchai07 - www.freepik.com
เด็ก ๆ ย้ายมาเข้าโรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษ อย่างจับพลัดจับผลู เพราะเกาะที่บินมาอาศัยอยู่ (พูดราวกับนกหลงรัง แต่ก็รู้สึกหลงรังจริงๆ) เกาะนี้แทบจะไม่มีโรงเรียนระบบอเมริกัน ถึงมีก็ไม่ค่อยมั่นใจในคุณภาพเท่าไหร่ ประกอบกับต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีเวลาเตรียมตัวมากในการย้าย ด้วยความที่ไม่ได้ศึกษาให้ถ้วนถี่ ก็นำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ นับเป็นความไม่รอบคอบอย่างที่สุดในชีวิตแม่
เราต้องมานึกโทษตัวเองทุกวัน เพราะเด็ก ๆ ไม่มีความสุขเลยกับการได้เรียนในระบบอังกฤษ เด็ก ๆ บอกว่าครูน่าเบื่อที่สุด ได้แต่นั่งฟังครูพูดและจดตามที่ครูเขียนขึ้นกระดาน หรือโชว์สไลด์ ที่สำคัญที่สุดระบบนี้พูดถึงแต่เรื่องสอบทุกลมหายใจเข้าออก รู้สึกสงสารลูกชายจับใจเพราะจู่ ๆ ก็มาเจอปีแห่งการเตรียมตัวสอบ IGCSE แบบไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย แน่นอนว่าตอนที่ถามโรงเรียนว่าจะมีปัญหาอะไรไหมกับการย้ายระบบ
1
โรงเรียนนานาชาติสไตล์ไทย ๆ ตอบว่าไม่มีปัญหาหรอก สบายมาก เราก็โอเคสมัครเลย เพราะเป็นการย้ายแบบกลางปี ต้องการโรงเรียนที่สามารถช่วยเรื่องการย้ายได้แบบฉับไว สาเหตุที่ย้ายก็เพราะที่อเมริกาชีวิตวุ่นวายมาก ตั้งแต่เกิดโรคโควิดขึ้นมา เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียนมาเกือบสองเทอมแล้ว มีแต่ได้เรียนออนไลน์แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ
1
ที่รัฐของเราเขาถือว่าทุกคนต้องเท่าเทียมกัน เด็กบางบ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต โอเคถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องเรียนเหมือนกันทั้ง District แล้วใครเป็นคนตัดสินใจว่าเรียนหรือไม่เรียนออนไลน์ ก็ School Board นี่ละค่ะ โรงเรียนที่โน่นเขาแบ่งเป็น School District แต่ละ District ได้รับเงินช่วยเหลือจากภาษีของคนในพื้นที่นั้น ๆ และมีการเลือกตั้ง School Board ของตัวเอง
1
photo from www.wzzm13.com
โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในย่านแตกต่างกัน ก็จะมีความเหลื่อมล้ำต่างกันไป โรงเรียนในย่านคนรวยก็จะได้รับเงินสนับสนุนมากกว่า เพราะเก็บภาษีได้มากกว่า มีพ่อแม่ที่มีคุณภาพมากกว่ามาช่วยเป็นอาสาสมัครทำกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน โรงเรียนในย่านคนจน ก็เหนื่อยหน่อยละค่ะ แต่บางทีโรงเรียนในย่านที่ดูเหมือนรวยก็อาจจะมีความจนแอบแฝงมาได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าเขตแดนโรงเรียนไปตัดอยู่ที่ถนนไฮเวย์
1
สาเหตุคือไฮเวย์มักจะมีโมเต็ลเล็ก ๆ อยู่หรือไม่ก็มี Mobile Home Park แบบที่เห็นในรูปข้างล่าง บางทีการมีที่อยู่อาศัยถาวรในอเมริกาเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอพยพ รับจ้าง หาเช้ากินค่ำ พวกเขาก็เลยต้องเช่าโมเต็ลเล็ก ๆ อยู่และย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ เด็กในกลุ่มนี้ ทาง School District จะขึ้นทะเบียนว่าเป็นคนไร้บ้าน
Mobile Home Park - www.tumblr.com
โรงเรียนในอเมริกามีความหลายหลายด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก แค่โรงเรียนในละแวกบ้านของเรามีภาษาพูดมากถึง 26 ภาษา แต่พอมองดูเพื่อนบ้านก็มีแต่คนขาวทั้งนั้น แล้ว 26 ภาษามาจากไหน ก็สงสัยได้แต่ว่าคงมาจากไฮเวย์หรืออพาร์ทเมนท์ต่าง ๆ School District มักจะเปลี่ยนเขตแดนของโรงเรียนอยู่เรื่อย ๆ เพื่อ Equity และ Diversity สองคำนี้สำคัญได้ยินอยู่ตลอด
สาเหตุที่รวมอพาร์ทเมนท์เข้าไปด้วย เพราะบางครั้งทางรัฐก็จะจัดสรรปันส่วนที่อยู่ให้ทั่วถึง คือแล้วแต่รายได้ กลุ่มที่รายได้มากก็จ่ายตามปกติ แต่กลุ่มรายได้น้อยก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐให้ยังสามารถอยู่ในอพาร์ทเมนท์แสนแพงนั้นได้ โดยอาจจะแบ่งสัดส่วนผู้เช่าแบบรายได้น้อยและได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ 25% ต่ออพาร์ทเมนท์ นี่เป็นแค่การยกตัวอย่างนะคะ ตัวเลขอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ได้
แต่ละย่านมักจะมีโรงเรียนอยู่หลายโรงเรียนด้วยกัน เพื่อว่าเด็กจะสามารถเดินไปเรียนได้ หรือไม่ก็มีรถโรงเรียนรับส่งในระยะสั้น ๆ ในย่านของเรามีโรงเรียนประถม (Elementary School) 4 โรงเรียน โรงเรียนมัธยมต้น (Middle School) หนึ่งโรงเรียน และโรงเรียนมัธยมปลาย(High School) หนึ่งโรงเรียน เนื่องจากว่าทุกคนบ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน การสานสัมพันธ์จึงมีขึ้นได้อย่างง่ายดาย อบอุ่นแน่นแฟ้นแบบคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
photo from www.thestar.com
ลูกบ้านไหนใครทำอะไร พ่อแม่คุยกันก็รู้หมด ฝรั่งบอก It takes a village...(to raise a child) ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะการได้ร่วมด้วยช่วยกัน ช่วยให้เลี้ยงลูกได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก ลูกสามารถเดินไปเที่ยวบ้านเพื่อนและทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย
พ่อแม่อเมริกันมักจะมีความรับผิดชอบสูง จะถามจะขออนุญาตก่อนเสมอ การติดต่อสื่อสารเยี่ยมยอด ทำให้เราวางใจปล่อยให้ลูกไปกับเขาได้ และเขาก็คาดหวังให้เราทำเช่นเดียวกันเวลาลูกเขามาบ้านเรา เช่น ต้องถามก่อนว่าให้ทานของว่างนี้ได้ไหม ให้เล่นเกมนี้ได้ไหม ให้เดินไปสวนสาธารณะหน้าบ้านได้ไหม ถ้าจะพาลูกเขาออกจากอาณาบริเวณบ้านเรา เช่นพาไปทานข้าวอีกสองบล็อคถัดไป ก็ต้องบอกก่อน
สรุปคือต้องรายงานทุกย่างก้าวก็ว่าได้ ไม่งั้นเป็นเรื่องนะคะ มาเจอเพื่อนมนุษย์แม่ที่เมืองไทย พาลูกเราไปไหนไม่บอกสักคำ ต้องคอยตามเองจากโทรศัพท์มือถือของลูก พอเราบ่นก็บอกให้ลูกเขาเลิกคบกับลูกเรา งงค่ะ Culture Shock ของจริงสำหรับใครที่อยากตามลูกทางมือถือ ถ้าใช้ Apple อยู่จะตามได้ทาง FindmyiPhone แต่ถ้าใช้ระบบ Android ก็ลองดาวน์โหลดแอป Life360 มาใช้ได้ฟรี ๆ
2
แต่ถ้าจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน ก็จะมีระบบตามด้วยว่า ขับรถด้วยความเร็วเท่าไหร่ ประสบอุบัติเหตุหรือลูกยกโทรศัพท์ขึ้นดูระหว่างขับรถก็มีการแจ้งเตือน แอปนี้แม่ ๆ ที่โน่นก็ใช้กันเยอะอยู่ค่ะ แต่บางทีลูกก็อาจจะปิดการแชร์โลเคชั่น อันนี้จะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ต้องมานั่งจับเข่าคุยกันนานเลย ว่าห้ามปิดเด็ดขาด ถ้าปิดแล้วผลจะตามมาอย่างไร
2
ตอนนี้บทลงโทษคือใช้วิธีปิดโทรศัพท์ ปิดแอป กำหนดให้ใช้ได้แค่ 3 ชั่วโมง ผลคือเด็ก ๆ กลัวมาก กับการโดนปิดโทรศัพท์ เรื่องมือถือนับว่าเป็นปัญหาที่บ้าน และปัญหาสังคมอันใหญ่หลวงเลยก็ว่าได้ บ้านนี้เองก็กำลังพยายามต่อสู้อยู่ บ้านไหนมีวิธีอะไรก็แนะนำกันหน่อยนะคะ ถือว่าเป็นความรู้ให้บ้านอื่นด้วยเช่นกัน วันนี้คงได้เล่าเรื่องแค่นี้ก่อน รอบหน้าเราจะมาพูดกันต่อเรื่องการศึกษาในระบบอเมริกันว่าเป็นอย่างไร
...แล้วพบกันใหม่ค่ะ...
โฆษณา