9 มิ.ย. 2022 เวลา 09:47 • การศึกษา
คิดกลับใจก็สายเสียแล้ว
การปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดทั้งต่อตัวของเราเองและต่อโลก การสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้บังเกิดขึ้น อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีธรรมกายอยู่ภายในตัว ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ภาษาไหน หรือมีความเชื่ออย่างไร
ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ทั้งนั้น ด้วยการฝึกใจให้หยุดนิ่งอย่างถูกวิธีและถูกส่วน ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ขอเพียงมีความปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรม แล้วลงมือปฏิบัติด้วยความสมัครใจ มีความเพียรอย่างสม่ำเสมอก็จะเข้าถึงได้ทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ
คนพาลมีปัญญาทราม กระทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้ฉะนั้น”
คนพาลประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไม่รู้สึกตัวว่าได้กระทำบาปอกุศล เพราะถูกกิเลสครอบงำจิตใจ ทำให้เป็นคนเขลาเบาปัญญา มีจิตใจมืดบอด กิเลสบังคับให้สร้างกรรม เมื่อถึงเวลากรรมส่งผล ย่อมได้รับความเดือดร้อน ใครก็ช่วยไม่ได้ เปรียบเหมือนการจุดไฟเผาตนเอง เมื่อตายไปจึงต้องตกนรก กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว
ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีตระกูลมั่งคั่งใหญ่โตตระกูลหนึ่ง เป็นตระกูลสัมมาทิฏฐิ มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อบุตรของเศรษฐีชื่อ นันทิยะ เจริญวัยขึ้น บิดาจึงได้สู่ขอนางเรวดีมาเป็นสะใภ้ของตน แต่นางเป็นคนไม่มีศรัทธา มีความตระหนี่ นายนันทิยะจึงไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานด้วย
บิดาจึงออกอุบายให้นางเรวดีมาอยู่ในเรือน และให้นางแกล้งทำเป็นคนมีศรัทธา หมั่นอุปัฏฐากบำรุงพระภิกษุสงฆ์ นางจึงฝืนใจทำทั้ง ๆ ที่ใจจริงไม่ได้มีความเคารพเลื่อมใสเลย นันทิยะเมื่อเห็นนางมีจิตเลื่อมใสแล้ว จึงยอมแต่งงานกับนาง
เมื่อบิดามารดาได้เสียชีวิตลง นันทิยะได้มอบความเป็นใหญ่ให้ภรรยา ส่วนตนเองได้บำเพ็ญทานอย่างเต็มที่เป็นประจำ ยิ่งทำก็ยิ่งมีศรัทธาเพิ่มขึ้น คราวหนึ่งเขาสร้างศาลาจตุรมุขหลังใหญ่มี ๔ ห้อง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พร้อมด้วยตั่งเตียง ที่นั่ง ที่นอน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ครบถ้วนบริบูรณ์
ในวันฉลองศาลาได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข เมื่อจะถวายศาลาจึงหลั่งน้ำทักษิโณทกลงบนพระหัตถ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในขณะนั้นเองทิพยวิมานของนันทิยอุบาสกอันรุ่งเรืองวิจิตรตระการตา เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ มีความสูงประมาณ ๑๐๐ โยชน์ เป็นวิมานที่งดงามสว่างไสวเรืองรองพร้อมด้วยเหล่าเทพอัปสรหนึ่งพัน ได้บังเกิดขึ้น ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที คือเมื่อทำบุญในโลกมนุษย์ วิมานบนสวรรค์ก็เกิดขึ้นรอท่าเลย
ต่อมาวันหนึ่ง เขาต้องไปค้าขายต่างเมืองเป็นเวลาหลายวัน จึงสั่งให้นางเรวดีทำทานแทนจนกว่าจะกลับมา แต่นางให้คนเอาข้าวสุกและอาหารที่เหลือจากการบริโภคตักบาตรพระ พระภิกษุเมื่อรับมาแล้วเห็นว่าเป็นเดนไม่ควรแก่การขบฉัน เมื่อกลับถึงวัดท่านจึงเทอาหารเหล่านั้นทิ้ง
ส่วนนางเรวดีส่งคนให้ติดตามไปดู เห็นพระเทอาหารทิ้ง นางจึงได้โอกาสด่าบริภาษพระภิกษุเหล่านั้น เมื่อด่าจนหนำใจแล้วก็กลับบ้าน และได้เลิกให้ทานอีกต่อไป
เมื่อนันทิยะกลับมาจากต่างเมือง นางจึงเล่าเรื่องที่พระเทอาหารทิ้งให้ฟัง แต่นันทิยะเป็นผู้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมจึงไม่เชื่อ และได้สืบสวนดูจนรู้ความจริงจึงโกรธนาง ได้ขับไล่นางออกจากบ้านไป และเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ แล้วทูลอาราธนาให้ไปรับอาหารที่บ้านของตนดังเดิม
ต่อมาเมื่อนันทิยะเสียชีวิตลง ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นางเรวดีกลับมารับมรดกครอบครองสมบัติทั้งหมด วันนั้นเองขณะที่นางกำลังนอนหลับอยู่ ได้มีเสียงดังสนั่นจากฟากฟ้าว่า “ท่านทั้งหลาย อีก ๗ วันนางเรวดีจะต้องตายแล้วไปตกนรก” เสียงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันตกใจกลัว เป็นเสียงของยักษ์ตนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งจากท้าวเวสสุวัณมหาราชให้มาบอก
แล้วในวันที่ ๗ เมื่อนางเสียชีวิต ยักษ์ ๒ ตนก็ไปรับนางมาดูวิมานของนันทิยะเทพบุตรก่อนที่จะไปรับโทษในนรก นางถามยักษ์ว่า “วิมานนี้มีรัศมีรุ่งเรืองเหมือนพระอาทิตย์ งดงามวิจิตรสุดที่จะพรรณนา ใครช่างมีบุญวาสนาได้เป็นเจ้าของวิมานอันสวยงามเช่นนี้” ยักษ์จึงบอกว่า “เจ้ายังจำนันทิยะได้ไหม เขาคือเจ้าของวิมานนี้ เพราะเขาเป็นผู้ไม่ตระหนี่ บำเพ็ญบุญกุศลไม่เคยขาด”
นางกล่าวว่า “จำได้ เขาคือสามีของข้าเอง ข้าเป็นภรรยาของเขา ได้รับความเป็นใหญ่ในเรือนเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ บัดนี้เขาตายแล้วได้เสวยทิพยวิมานแห่งนี้ ข้าเองก็ควรจะได้อยู่ในวิมานนี้ด้วยเช่นกัน”
ยักษ์ทั้งสองจึงบอกว่า “อย่าเพ้อฝันไปเลยนางผู้มีใจบาป เจ้าต้องไปอยู่ในนรกเท่านั้น” แล้วจับแขนนางคนละข้างฉุดกระชากไปสู่นรก เมื่อถึงเขตอุสสุทนรก ซึ่งเป็นขุมบริวารชั้นใน ล้อมรอบนรกขุมใหญ่แห่งหนึ่ง จึงกล่าวว่า “นรกนี้เป็นที่อยู่ของเจ้า เจ้าจะต้องได้รับทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่” กล่าวแล้วยักษ์ก็อันตรธานหายไป
นายนิรยบาล ๒ ตนก็ปรากฏขึ้น มีรูปร่างใหญ่มหึมาน่ากลัว เข้ามาฉุดกระชากนางไปยังขุมนรก นางตกใจมากจึงถามนายนิรยบาลว่า “เหตุใดท่านจึงนำข้ามายังสถานที่สกปรก เต็มไปด้วยมูตรและคูถที่มีกลิ่นเหม็นฟุ้งเช่นนี้” นายนิรยบาลจึงตอบว่า “ที่นี่เป็นที่รับกรรมของเจ้า เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ชดใช้กรรม ๑,๐๐๐ ปีนรก”
นางจึงถามว่า “ข้าได้ทำผิดอะไรร้ายแรงจึต้องมาอยู่ที่นี่ จะขอไปอยู่ที่อื่นไม่ได้หรือ” นายนิรยบาลสั่นศีรษะแล้วบอกว่า “ไม่ได้หรอก เจ้าเป็นคนใจบาปหยาบช้า ประพฤติทุจริตด่าว่าพระอรหันต์” แล้วนายนิรยบาลได้พรรณนาถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ นางฟังแล้วเกิดความสยดสยอง จึงพร่ำพิไรรำพันว่า
“ขอให้ท่านโปรดเมตตา พาข้าพเจ้าไปส่งยังมนุษยโลกก่อนเถิด ข้ากลับไปแล้วจะหมั่นสร้างบุญกุศล ทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา จะไม่กระทำกรรมอันหยาบช้าแม้เพียงเล็กน้อย ท่านโปรดอนุญาตเพื่อให้ข้าได้กลับไปทำสิ่งที่ดีงามก่อนเถิด”
นายนิรยบาลจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาทแล้ว ตอนนี้จะมาร้องไห้รํ่าไรอยู่ทำไม จงเสวยผลกรรมที่เจ้าได้กระทำไว้เถิด ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไป” นางร้องไห้คร่ำครวญ แล้วขอร้องต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น เมื่อท่านเห็นผู้ใดจะไปเกิดในโลกมนุษย์ โปรดเอ็นดูช่วยสั่งให้เขาไปบอกกับลูกของข้าด้วยว่า ขอให้เขาจงเร่งทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา อย่าได้ก่อกรรมทำเข็ญ
ส่วนตัวข้าเมื่อพ้นทุกข์จากที่นี่แล้ว หากมีวาสนาได้เกิดเป็นมนุษย์อีก จะตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะทำบุญกุศลให้มาก จะสร้างศาลาและวิหาร จะไม่ประมาทในชีวิตอีกแล้ว
เมื่อใครไปสู่มนุษยโลกแล้วถูกถาม ก็พึงตอบว่า ขอท่านทั้งหลายจงถวายทาน ผ้านุ่งห่ม ที่นอน ข้าว น้ำ ในสมณพราหมณ์ผู้วางอาชญาแล้ว เพราะว่า คนตระหนี่ โกรธเคือง มีบาปธรรม ย่อมไม่ได้ความเป็นสหายของ ผู้ขึ้นสวรรค์ ดิฉันนั้นไปจากที่นี้ ได้กำเนิดเป็นมนุษย์แล้ว จักเป็นผู้รู้ถ้อยคำของผู้ขอทาน สมบูรณ์ด้วยศีล จักกระทำกุศลให้มาก ด้วยทาน สมจริยา สัญญมะ และทมะ ท่านนิรยบาล ได้โปรดเมตตาดิฉันด้วยเถิด
ดิฉันจักปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น จักตัดทางเข้าไปในที่ที่เดินไปลำบาก จักขุดบ่อและตั้งน้ำดื่มไว้ ด้วยใจที่ผ่องใส ขอท่านจงให้โอกาสแก่ดิฉันอีกครั้งด้วยเถิด ดิฉันจักเข้าจำอุโบสถประกอบด้วยองค์แปดตลอด ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ สำรวมในศีลทุกเมื่อ และจักไม่ประมาทในทาน ผลกรรมนี้ ดิฉันเห็นแล้วด้วยตนเอง”
นายนิรยบาลจึงกล่าวว่า “แม้เจ้าจะคิดได้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว” จากนั้นก็นำนางไปลงโทษอย่างแสนสาหัส
เพราะฉะนั้น อย่าประมาทในชีวิตกัน เมื่อมีบุญได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ต้องเห็นคุณค่าของชีวิต เร่งสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มที่ เพราะชีวิตมนุษย์ประเสริฐที่สุด ถึงแม้เราไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ก็เป็นคนโชคดีที่รู้ว่าชีวิตเกิดมาสร้างบารมี เมื่อมีโอกาสสร้างบารมี
เราต้องสร้างบารมีให้สุดกำลังสุดความสามารถ ให้ทุ่มเทชีวิตจิตใจกันให้เต็มที่ อย่ามัวหลงใหลสนุกสนานเพลิดเพลินกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ แต่ให้ทำทุกวันทุกเวลาทุกวินาทีให้มีคุณค่า ด้วยการสร้างบารมีกันทุกคน
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป หน้า ๓๖ – ๔๕
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
เล่ม ๔๒ หน้า ๔๑๙
2
โฆษณา