29 พ.ค. 2022 เวลา 00:27 • ธุรกิจ
ถ้าอยากรวยจริงๆให้ตั้งใจอ่านบทความนี้ให้เข้าใจนะครับ
ถ้าไม่อยากรวยจริงจะพบอาการเบลอมึนงงและขี้เกียจอ่านครับเพราะไม่มีแรงขับ
คำถามด้านธุรกิจว่า
ผมควรจะขายอะไรดี ควรจะลงทุนอะไรดี ควรจะทำธุรกิจอะไรดี
มันเหมือนกับถามว่า
1 ผมควรจะเรียนอะไรดี
2 ผมควรจะเดินทางด้วยอะไรดี
3 ผมควรจะก่อสร้างอะไรดี
คนที่โดนถาม ก็จะถามคุณกลับไปว่า
1 อืม...ว่าแต่แล้ว คุณอยากจะทำอะไรตอนที่เรียนจบไปแล้วละ
2 อืม...ว่าแต่แล้ว คุณอยากจะไปไหนละ
3 อืม...ว่าแต่แล้ว คุณอยากจะอยู่อาคารแบบไหนละเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการค้า
ส่วนคนที่โดนถาม(คำถามด้านธุรกิจ)ก็จะถามคุณกลับไปว่า
อืม...ว่าแต่แล้ว คุณอยากจะไปที่ตำแหน่งฐานะการเงินระดับไหนละ
อารมณ์ประมาณว่า อยากรู้วิธีเดินทางเลยแต่ไม่บอกว่าจะไปไหนเนี่ยนะ
คำถามชุดแรก เรียกว่า แผนการเข้า-จุดเริ่มต้น
คำถามชุดคนที่ถามกลับ เรียกว่า แผนการออก-จุดหมายปลายทาง
การเดินทาง เริ่มต้นด้วยจุดหมายปลายทางเสมอ
การเลือกจุดเริ่มต้น ก็คือการเลือกจุดหมายปลายทาง ตามด้วยการเลือกพาหนะเส้นทางถนนสายที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพาเราไปยังจุดหมายที่ต้องการได้
1 การเดินทางด้านการศึกษา
เลือกจุดหมายปลายทางก่อน หรือ แผนการออก
คุณต้องตอบตัวเองว่า อยากจะทำอะไรตอนที่เรียนจบไปแล้ว
ตามด้วยการเลือกพาหนะเส้นทางถนนสายที่ถูกต้อง หรือ แผนการเข้า
มี 2 ทางเลือก 1 การศึกษา(ใน)ระบบโรงเรียน 2 การศึกษา(นอก)ระบบโรงเรียน
เช่น ความรู้จากร้านหนังสือทั่วไป ความรู้จากผู้มีประสบการณ์ในด้านนั้น
2 การเดินทางด้านการเคลื่อนที่
เลือกจุดหมายปลายทางก่อน หรือ แผนการออก
คุณต้องตอบตัวเองว่า อยากไปไหนไปทำอะไรที่นั่น
ตามด้วยการเลือกพาหนะเส้นทางถนนสายที่ถูกต้อง หรือ แผนการเข้า
มี 3 ทางเลือก 1 ทางบก 2 ทางน้ำ 3 ทางอากาศ
3 การเดินทางด้านการสร้างอาคาร
เลือกจุดหมายปลายทางก่อน หรือ แผนการออก
คุณต้องตอบตัวเองว่า อยากทำเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการค้า
ตามด้วยการเลือกพาหนะเส้นทางถนนสายที่ถูกต้อง หรือ แผนการเข้า
มี 1 ทางเลือก คือ ใช้แบบแปลนสิ่งปลูกสร้าง 2-3 มิติ(ภาพใหญ่) และ มีรายละเอียดงานแต่ละหมวด(ภาพละเอียด)
ส่วน การเดินทางด้านการเงินการลงทุน
เลือกจุดหมายปลายทางก่อน หรือ แผนการออก
คุณต้องตอบตัวเองว่า อยากจะไปที่ตำแหน่งฐานะทางการเงินระดับไหน
มี 5 ระดับ : จน-ชนชั้นกลาง-อยู่ดีกินดี-ร่ำรวย-มั่งคั่ง
ตามด้วยการเลือกพาหนะเส้นทางถนนสายที่ถูกต้อง หรือ แผนการเข้า
มี 5 ทางเลือกแบ่งตามทรัพย์สิน
คือ ธุรกิจ อสังหา หลักทรัพย์ โภคภัณฑ์ เงินออม
มี 4 ทางเลือกแบ่งตามแหล่งรายได้
คือ E S B I
E-S เรียกว่า ขึ้นรถไฟขบวนธรรมดา เลนช้า
B-I เรียกว่า ขึ้นรถไฟขบวนด่วนพิเศษ เลนด่วน
เมื่อคุณวางหรือเขียน(แผนการเข้า)ด้วยการขึ้นรถไฟขบวนด่วนพิเศษ
สิ่งที่ต้องเจอ คือ
คุณจะไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม้ได้ไปงาน party ไม่ได้ไปดูหนัง
คุณต้องคอยตอบคำถามเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องที่ถามว่า ทำไมมึงไม่หางานทำ
คุณต้องเผชิญกับการไร้ความมั่นคงในงาน เพื่อแลกกับความมั่งคั่งทางการเงิน
คุณต้องยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
คุณต้องยอมอดทนให้คนเขลาการเงินดูหมิ่นดูแคลนจากความไม่รู้ว่า ตัวเขาเอง รู้น้อยมาก
การทำงานของสมองคนรวยหรือคนมีภูมิการเงินจะเป็นแบบนี้ครับ คือ
- กลัวต้องวิ่งวนตะเกียกตะกายอยู่ในสนามแข่งหนูโดยไม่มีทางออก
มากกว่า
- กลัวต้องเจ็บปวดจากการมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับคนอื่น
ทำให้มีพฤติกรรม
- ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ทำงานไปด้วยและในขณะเดียวกันก็ต้องอุทิศตัวเพื่อสร้างทรัพย์สินไปด้วย
หรือตามล่าหาฝันบนทางด่วนไปด้วย
มากกว่า
- ยอมทำงานเป็นลูกจ้างวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายเพื่อหาทางหลุดพ้นความคับข้องใจจากการทำงานรับเงินเดือนไปวันๆ นั่นเอง
***********************************
มาดูกรอบคิดสำคัญอีกอันหนึ่งกันครับ
ไม่ว่าคุณจะใช้พาหนะใดในการเดินทาง
- ด้านการเคลื่อนที่
ยานพาหนะประเภทไหน รถยนต์ เรือ หรือ เครื่องบิน
- ด้านการเงินการลงทุน
แหล่งรายได้ด้านไหน E-S-B-I
Port ทรัพย์สินประเภทไหน ธุรกิจ อสังหา หลักทรัพย์ โภคภัณฑ์ เงินออม
Port ทรัพย์สิน Sexy หรือ ไม่ Sexy แค่ไหน
ไม่ว่าคุณจะใช้พาหนะใดในการเดินทาง ตำแหน่งการเดินทางต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ถูกต้องมั้ยครับ หรือ ตำแหน่งระดับฐานะทางการเงินต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมต้องมีแผนการออก-จุดหมายปลายทาง-ระดับฐานะทางการเงิน ตั้งแต่แรก ก่อนมีแผนการเข้า-จุดเริ่มต้น-การเลือกใช้ยานพาหนะ เสมอ
ถ้าไม่มีตั้งแต่แรก คุณจะไม่รู้ว่า ตัวเองเข้าใกล้หรือออกห่างจากจุดหมายปลายทาง
เดินทางผิดหรือทางถูก นั่นเอง
ทำให้คนส่วนใหญ่ติดแหง็กอยู่กับพาหนะประเภทใดประเภทหนึ่งที่กำลังเคลื่อนที่เป็นวงกลมวิ่งวนไปวนมา ศัพท์คนรวยเรียกว่า ติดอยู่ในม้าหมุนที่กำลังเคลื่อนที่เป็นวงกลม และคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่า ตัวเองกำลังนั่งม้าหมุนอยู่
สรุป
การเลือกจุดเริ่มต้น ก็คือการเลือกจุดหมายปลายทาง(คือการเปลี่ยนฐานะทางการเงินจากระดับ1ไประดับอื่นๆ) ตามด้วยการเลือกพาหนะเส้นทางถนนสายที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพาเราไปยังจุดหมายที่ต้องการได้(คือการเลือกใช้ยานพาหนะสำหรับการลงทุน)
คราวนี้ให้เราถอยหลังกลับไป1ก้าว ที่กล่าวไปทั้งหมด คือ ข้อ 3.2 ของทั้งหมด 3 ข้อ ในการจะบรรลุเป้าหมายบางอย่าง
1 What อยากอะไร คือ อยากรวย
2 Why ทำไมอยากได้สิ่งนั้น คือ ทำไมอยากรวย
3 How ทำยังไงถึงได้สิ่งนั้น คือ วิธีการ มี 3 ข้อย่อย
3.1 การเปลี่ยนโลกทัศน์จากคนจนเป็นคนรวย
3.2 การสร้างเขียนสูตร-แผนการ
แผนการออก คือ จุดหมายปลายทาง
แผนการเข้า คือ จุดเริ่มต้น
3.3 การลงมือกระทำ-ปฏิบัติการ
จะเห็นว่า ข้อ 3.3
การลงมือเรียนแบบไหน
การลงมือเดินทางแบบไหน
การลงมือสร้างอาคารแบบไหน
การลงมือลงทุนทำธุรกิจแบบไหน
มันคือ ขั้นตอนสุดท้าย-เปลือกการลงทุน
คนส่วนใหญ่มองข้ามข้้นตอนแรก-แก่นการลงทุน กันหมดเลย
นั่นก็เพราะว่า ยังไม่มีภูมิการเงินหรือยังไม่เคยเริ่มลงทุนความรู้ใส่สมอง นั่นเอง
คนส่วนใหญ่อยากทำ 3.3 ลงมือทำการลงทุนเลยโดยที่
ไม่มี 3.2 ไร้แผนการ
ไม่มี 3.1 ยังมีโลกทัศน์เป็นคนจนอยู่
ไม่มี 2 why ไม่มีเหตุผลเพียงพอ
ไม่มี 1 what ไม่ได้อยากรวยจริงๆ
เมื่อใดที่คุณลงมือทำการลงทุนโดยไม่มีแผนการ คุณจะได้รับบทเรียนราคาแพง
แต่คุณสามารถหาบทเรียนที่ราคาถูกได้ด้วยการลงมือลงทุนทำตามแผนการ
เปรียบเทียบเหมือนการทำอาหารตามสูตร-แผนการ คนส่วนใหญ่กลับทำอาหารโดยไม่มีสูตร-แผนการ ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จึงทำให้เสียทรัพยากรไปมากมาย
ดังนั้น ต้องลงมือทำการลงทุนตามแผนการ อย่าลงมือกระทำทันทีโดยที่ยังไม่มีแผนการ จงปล่อยให้แนวคิดเรื่องการลงทุนอยู่อาศัยและเติบโตในตัวคุณก่อน แล้วค่อยเริ่มซื้อสร้างลงทุนทำครอบครองทรัพย์สินแรกของคุณ กระบวนการทั้งหมดจะเป็นไปอย่างธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย
เรียกว่า เสี่ยงแบบฉลาด ทำน้อยแต่ได้ผลมาก ลองผิดลองถูกภายใต้แนวทางที่ถูกต้อง
และเราทุกคนสามารถรวยได้ตั้งแต่ยังไม่มีเงินนะครับ นั่นคือมีวิธีคิดของคนรวยคับ
รวยทรัพย์คือ ผลลัพธ์ที่ออกมาจากกระบวนการ
กระบวนการคือ การมีภูมิการเงินหรือวิธีคิดของคนรวยคับ
มันคือ การลงทุนในความรู้ การลงทุนในสมองตัวเอง เป็นอันดับแรก
และที่สำคัญมากๆ คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ คือ มันไม่มีใน การศึกษา(ใน)ระบบโรงเรียนคับ มันมีอยู่ในการศึกษา(นอก)ระบบโรงเรียน เท่านั้น
การศึกษา(ใน)ระบบโรงเรียนมหาวิทยาลัย คือ โรงงานปั้มลูกจ้าง E ป้อนตลาด เพื่อให้คนที่มีรายได้จากฝั่งขวา B-I มาช้อปปิ้งคับ
E คือ คุณเป็นกลไกย่อยในทรัพย์สิน
เรียก ลูกจ้าง
S คือ คุณสร้างทรัพย์สิน-ไม่มีระบบทรัพยากรมนุษย์
เรียก บุคคลธรรมดา
B คือ คุณสร้างทรัพย์สิน-มีระบบทรัพยากรมนุษย์
เรียก นิติบุคคล
I คือ คุณให้ B เช่าเงินเลี้ยงทรัพย์สิน ให้ความรู้และประสบการณ์
เรียก นักลงทุนเงิน คุณเป็นหุ้นส่วนกับ B
วิธีการดูว่ามีอิสรภาพหรือมีความมั่งคั่งระดับไหน
ให้ดูที่งบการเงินว่า รายได้จากทรัพย์สิน S+B+I รวมกัน มากกว่า รายจ่ายรวม หรือไม่
เรียกว่า อัตราส่วนความมั่งคั่ง = รายได้จากทรัพย์สิน S+B+I / รายจ่ายรวม
ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 1
สำหรับคนที่เข้าใจบทความที่ผมแบ่งปัน ให้อ่านต่ออีกหน่อยนะครับ
เมื่อคุณเป็นคนที่ไม่หยุดพัฒนาตนเอง มันจะมี 4 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาเกิดขึ้นในตัวคุณ เรียกว่า ปรากฏกาณ์ดันนิ่ง-ครูเกอร์ คือ เริ่มจาก
1 คุณจะ ไม่รู้ว่า ตัวเองไม่รู้อะไรก่อน
จะมีความมั่นใจมากถึง 100% เลยทีเดียว
2 คุณจะเริ่ม รู้ว่า ตัวเองไม่รู้อะไรอีกมากมายในโลกใบนี้
ควมมั่นใจจาก 100% จะตกลงมาเหลือแค่ 30%
3 คุณจะเริ่ม ไม่รู้ว่า ตัวเองรู้อะไรระดับนึงแล้ว เพราะมันเพลินหรือเคยชิน
ความมั่นใจเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 60%
4 คุณจะ รู้ว่า ตัวเองรู้อะไรระดับนึงแล้ว แต่ยังไม่หมดทุกเรื่อง
ความมั่นใจจะทรงตัวอยู่ที่ 60% ตลอดไปครับ
คนกลุ่ม 1 คือ คนที่สอนได้ยากที่สุด เพราะมักทึกทักเอาเองว่า ตัวเองรู้ไปหมดทุกเรื่องแล้ว หนังสือเล่มสุดท้ายที่พวกเขาอ่านคือตอนเรียนจบปีสุดท้าย
เรียกว่า คนน้ำเต็มแก้ว-ชาล้นถ้วย-คนหลงผิด-คนอวดเก่ง-คนอวดฉลาด
คนกลุ่ม 2 คือ คนที่เริ่มเข้าใจโลกใบนี้ในมุมใหม่ เพราะเริ่มเปิดใจ เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองรู้น้อยมาก นั่นเอง
เรียกว่า เริ่มเป็นคนน้ำครึ่งแก้ว-ชาครึ่งถ้วยแล้ว
ถ้าคุณอ่านบทความเข้าใจและเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ยินดีด้วยครับคุณอยู่กลุ่ม 2 ที่จะรอเติบโตต่อไปเป็น 3-4 ในอนาคต
ดังนั้น
คุณพึงควรระวังและเข้าใจพฤติกรรมคนที่มั่นใจในตัวเองมากๆให้ดีครับ พวกเขาจะมีความมั่นใจมาก แต่เป็นแบบผิดทางครับ
โปรดเมตตาเขา อย่าไปทำสงครามน้ำลาย อย่าไปเถียงเขา
อย่าไปสอนหมูร้องเพลง เพราะนอกจากมันจะไม่ฟังแล้ว มันยังรำคาญอีกด้วย
คุณจะสอนได้ก็ต่อเมื่อ มันอยากจะร้องเพลง ก่อนเท่านั้น
และเมื่อนั้นครูจะปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขาเอง เพราะสมองของเขาเริ่มมองหาแล้ว
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือตัวอย่างที่ผมเรียกว่า
การได้รับภูมิ3รวย-ด้านอิสรภาพทางเลือก ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา