29 พ.ค. 2022 เวลา 06:27 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
‘TOP GUN’ จดหมายเหตุอเมริกันแห่งยุค 80
มรดกสงครามเย็น และแว่นตา ‘Ray-Bans’
สิ้นสุดการรอคอยอันแสนยาวนานถึง 36 ปี สำหรับภาคต่อของภาพยนตร์ระดับตำนานของโลกฮอลลีวูดอย่าง ‘TOP GUN’ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ในภาคต่ออย่าง ‘TOP GUN MAVERICK’ ทำให้คอหนังที่เกิดและเติบโตมาในสมัยที่โรงภาพยนตร์แบบสแตนอโลนยังเฟื่องฟู และเคยชมหนังเรื่องนี้ในสมัยยังเป็นเด็กคงได้รื้อฟื้นความทรงจำอันแสนตื่นเต้นประทับใจในวัยผู้ใหญ่เต็มตัว หรือบางคนก็ล่วงเลยเข้าสู่วัยวัยเกษียณกันแล้ว
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือ การที่ ‘ทอม ครูซ’ พระเอกซุปเปอร์สตาร์ระดับเลเจนด์ ที่ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ในทางตรงกันข้ามด้วยวัยที่อีกไม่กี่เดือนจะแซยิดกลับทำให้ ‘พีท มาเวอริค มิทเชล’ ซึ่งรับบทโดยทอมเช่นเดิม ดูเท่ห์ สุขุม และมีมิติมากขึ้นตามประสบการณ์การแสดงของเขาในวงการบันเทิงที่สั่งสมมายาวนานทั้งชีวิต
จากนักบินหัวรั้นในวัยหนุ่มที่ตอนนั้นทอมรับบทบาทนี้ด้วยวัยเพียง 24 ปี กลายมาเป็นครูฝึกนักบินหน่วย TOP GUN ที่ต้องกลับมารับภารกิจฝึกกลุ่มนักบินรุ่นใหม่ที่หัวรั้นยิ่งกว่า รวมทั้งการผสานรอยร้าวในอดีตที่เขาเป็นคนก่อขึ้นจากความคึกคะนอง
สำหรับผู้เขียนเกิดไม่ทันในยุคที่ภาพยนตร์ภาคแรกเข้าฉายในปี 1986 เพราะเกิดปี 1988 แต่มีโอกาสได้ดูย้อนหลังทั้งแบบผ่านๆ จากการที่สถานีโทรทัศน์นำมาฉายให้ได้ชมกัน แต่ก็เป็นเพียงการดูแบบผ่านๆ ดูเอามันส์ ไม่ได้ซึมซับในเนื้อหาแต่อย่างใด
แต่หลังจากที่รู้ว่าภาพยนตร์ภาคต่อกำลังจะเข้าฉายก็ได้ไปดูย้อนหลังแบบตั้งใจดู เพราะซึมซับเรื่องราวต่างๆ ในวัยที่มีสมาธิมาเพียงพอที่จะวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ผ่านบริบทของโลกอเมริกันในยุค 80 มันทำให้ผู้เขียนสามารถจับประเด็นได้หลายเรื่องที่พอจะมาแบ่งปันเล่าสู่ผู้อ่านได้
ภาพยนตร์แห่งยุคสงครามเย็น
ในปีที่ TOP GUN ภาคแรกถูกสร้างและออกฉาย เป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของ ‘สงครามเย็น’ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดทางด้านภูมิศาสตร์ระหว่างอดีตตสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา และประเทศพันธมิตรจากทั้งกลุ่มตะวันออกและกลุ่มตะวันตกหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
นักประวัติศาสตร์ประมาณการณ์ช่วงเวลาของยุคสงครามเย็นนับตั้งแต่การประกาศลัทธิทรูแมน ในปี ค.ศ. 1947 จนถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991
แม้ในยุคของสงครามเย็นมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้ประชันหน้าทำสงครามกันโดยตรง แต่ใช้ยุทธวิธีของสงครามตัวแทน และเน้นการแข่งขันเพื่อพัฒนาอาวุธต่างๆ ที่เอาไว้ข่มขวัญศัตรู โชว์ขีดความสามารถของเทคโนโลยีให้เหนือกว่าคู่ขัดแย้ง และการต่อสู้เพื่อครอบงำได้ถูกแสดงออกโดยวิธีทางอ้อม
เช่น สงครามทางจิตวิทยา การทัพโฆษณาชวนเชื่อ การจารกรรม การคว่ำบาตรระยะไกล การแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในงานกีฬาและการแข่งขันทางเทคโนโลยี เช่น การแข่งขันอวกาศ เป็นต้น
1
แม้ในภาพยนตร์จะไม่ได้มีฉากสงครามรบราถล่มกันวินาศสันตะโรกันก็ตาม เพราะบริบทของเรื่องราวคือการแข่งขันกันในกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อภารกิจการเป็นนักบินตัวท็อปร่วมสรภูมิในสงครามที่จะเกิดขึ้น
บทภาพยนตร์นำที่มีการดัดแปลงเพื่อความบันเทิง ไปพร้อมกับการมีนัยแฝงบางอย่างเพื่อสงสารไปถึงสายตากลุ่มเป้าหมาย ทั้งในประเทศและทั่วโลก โดยเฉพาะการสร้างความฮึกเหิมของคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นให้เห็นถึงความเท่ห์ ความเสียสละ ความยอดเยี่ยมของกองทัพสหรัฐฯ
เพื่อปลุกเร้าให้อเมริกันชนมีใจฮึกเหิมพร้อมที่จะเข้าร่วมกับกองทัพ หากถึงคราวจำเป็น ซึ่งปรากฎการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เกิดขึ้นไปในหลายประเทศทั่วโลกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย
ผู้ใหญ่ที่ผู้เขียนเคารพหลายคนที่เวลานี้ทำงานในกองทัพอากาศ หรือเป็นนักบินพาณิชย์ ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเหมือนการจุดประกายให้ตัดสินใจไปสอบเข้าเป็นทหารอากาศ เพราะด้วยความเท่ห์ที่จะได้ขับเครื่องบินแบบมาเวอริค และค่านิยมของการเป็นนักบินที่หล่อสมาร์ทตามแบบทอม ครูซ
1
ถือว่าเป็นการใช้โครงเรื่องแฝงสารเชิงโฆษณา ที่ไปถึงเป้าหมายหรือผู้ชมอย่างกลมกลืน จนอิ่มเอมไปกับสารหลักและสารแฝงที่พ่วงติดมาด้วยกันโดยไม่รู้ตัว
จากบทสัมภาษณ์ของทีมเขียนบทอย่าง ‘Jerry Bruckheimer’ หลังจากที่เขาและอีกหนึ่งผู้เขียนบทอย่าง ‘Jim Cash’ ได้ซื้อลิขสิทธิ์เนื้อหาในบทความเรื่อง TOP GUN ของ ‘Ehud Yonay’ ใน California Magazine ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 1983 และทำเรื่องขออนุญาตเข้าไปสังเกตุการณ์ในหน่วย ‘TOP GUNS’ ที่ Naval Air Station หรือ NAS ในเขตเมือง Miramar รัฐแคลิฟอร์เนีย
1
สิ่งที่น่าสนใจคือกองทัพเรือสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนและสนใจที่จะเผยแพร่ภารกิจของกองทัพ ผ่านภาพยนตร์อยู่แล้ว โดยมีเงื่อนไขหลัก 3 ประการ หากต้องการให้กองทัพสนับสนุนเครื่องบินเพื่อเข้าฉาก คือ 1. ต้องสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกให้กองทัพเรือ 2. ให้ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือในเนื้อเรื่อง 3. ต้องเป็นหนังที่มีรสนิยมที่ไม่เลวร้ายหรือไม่ทำโครงเรื่องจากปมปัญหาเลวร้ายใส่กองทัพหรือคนจากกองทัพ
แน่นอนว่ามันไม่ง่าย เพราะกว่าที่หนังเรื่องนี้จะผ่านการพิจารณาของทางกองทัพ ก็มีการแก้บทแล้วแก้บทอีก แถมทางสตูดิโอผู้สร้าง ‘Paramount Pictures’ ก็เหมือนจะไม่อนุมติด้วย เพราะดูแล้วไม่สามารถทำให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นหนังตลาดทั่วไปได้ที่ใส่เรื่องความรักหนุ่มสาวระหว่างนักบินและครูฝึก และเรื่องอื่นๆ ที่ผิดต่อระเบียบของกองทัพ
โปรเจกต์นี้เกือบล่มไม่ได้ผุดได้เกิด แต่สุดท้ายทางสตูดิโอได้มีการเปลี่ยนแปลงทีมบริหารใหม่ และอนุมัติงบประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
อีกทั้งเพื่อตัดปัญหาการกล่าวถึงหน่วย TOP GUNS แบบตรงๆ ก็มีการปรับชื่อเป็น TOP GUN โดยตัด S ออกไป และลดขนาดเหลือเพียงแค่เป็นหนึ่งในภารกิจการฝึกของเหล่านักบินหัวกะทิเท่านั้น
1
ทำให้ทุกอย่างผ่านฉลุยราบรื่น กองทัพเรือสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนเครื่องบินรบ F-14 ของจริงมาเข้าฉาก ไม่ต้องใช้เครื่องบินโมเดล หรือถ่ายเซตฉากจำลองกับฉากกรีนสกรีนที่อาจดูไม่สมจริง ทำให้เราได้เห็นฉากขับไล่เครื่องบิน MIG-28 ของโซเวียต จนล่าถอยไปซึ่งเป็นการส่งสารไปยังศัตรูว่า อเมริกาจะเป็นผู้ชนะในสงครามเย็น และโลกจะกลับมาสงบสุขอีกครั้งนั่นเอง
และมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะนอกจากภาพยนตร์ TOP GUN จะกวาดรายได้อย่างถล่มทลายไปถึง 356.8 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้างแค่ 15 ล้านดอลลาร์ ยืนโรงฉายยาวนานถึง 1 ปีกว่า แจ้งเกิดความเป็นนักแสดงระดับโลกให้กับทอม ครูซ แล้ว
ยังสร้างปรากฏการณ์ให้หนุ่มสาวสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพเรือสหรัฐอย่างล้นหลาม จนโรงภาพยนตร์หลายแห่งในสหรัฐฯ ต้องมีการตั้งโต๊ะรับสมัครเข้าเป็นทหารกันหน้าโรงเลยทีเดียว
ท้ายที่สุดคือ สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายลงในอีกไม่กี่ปี และเป็นการสิ้นสุดสงครามเย็นที่ยาวนานเกือบ 40 ปี
แว่น ‘Ray-Bans’ สัญลักษณ์ความเท่ห์อมตะ
อีกหนึ่งสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยสำหรับ TOP GUN คือ เครื่องประดับคู่ใจของพระเอกอย่างแว่นตา ‘Ray-Bans’ รุ่น ‘Aviator’ ที่นับได้ว่าเป็นความสำเร็จของการ tie-in สินค้าเข้าไปในภาพยนตร์ได้อย่างแนบเนียนแต่ทรงพลัง และกลายเป็นกรณีศึกษาของการโฆษณาแฝงที่ประสบความสำเร็จที่สุดของโลก
Ray-Bans เป็นบริษัทลูกของ Bausch & Lomb ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมแว่นตาโลกในช่วงเวลานั้น โดยก่อตั้งในปี 1936 และแว่นของ Ray-Bans ก็อยู่คู่มากับดวงตาของศิลปินระดับโลกมานักต่อนัก
1
แต่ในช่วงยุค 80 Ray-Bans ต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวง เมื่ออุตสาหกรรมแว่นตามีคู่แข่งมากขึ้น และดีไซน์ต่างๆ ก็ดูล่ำสมัย ในขณะที่ Ray-Bans ซึ่งเป็นแว่นตาที่ใส่แล้วดูมีความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมกับรูปทรงที่ไม่ได้เหมาะกับวัยรุ่นในยุคนั้นสักเท่าไหร่
ทำให้เริ่มเสื่อมความนิยมลง จนบริษัทขาดรายได้จนเข้าขั้นวิกฤต
การมาของ TOP GUN นับว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของ Ray-Bans ว่าจะได้ไปต่อ หรือจบตำนานแว่นตาที่เป็นมรดกจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนว่า Ray-Bans ทุ่มเงินไปเท่าไหร่กับการซื้อ tie-in แว่นรุ่น Aviator ในภาพยนตร์ แต่ตลอดความยาวหนังเกือบ 2 ชั่วโมง ทุกครั้งที่ทอมปรากฏตัว จะต้องมีแว่นนี้อยู่ในซีนด้วยเสมอ ซึ่งก็คงใช้งบประมาณมหาศาลอยู่ไม่น้อย
แต่การแลกอนาคตของบริษัทกับภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไม่ใช้เป็นแค่การพลิกฟื้นธุรกิจที่ตัวแดงจนใกล้ล้มละลายให้กลับมาทำกำไรได้ถึง 40% หนัง TOP GUN ยืนโรงฉาย 7 เดือน ได้อย่างงดงามเท่านั้น แต่ยังสร้างตำนานบทใหม่ให้ Ray-Bans ที่กลายเป็นภาพลักษณ์อมตะคู่กับดวงตาของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ จนผู้ชายเกือบทุกคนต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ หากจะซื้อหามาครอบครอง
นับเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการโฆษณาโลก ที่ทำให้การโฆษณาสินค้าแฝงไปกับเนื้อหาคอนเทนต์ได้อย่างแนบเนียน ลงตัว ไม่ยัดเยียด เป็นสิ่งที่วงการสื่อต่างนำมาต่อยอดมากมายจนถึงปัจจุบัน
บทความนี้ไม่ใช่การเขียนเพื่อเชิญชวนให้ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะผู้เขียนไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ จากทั้งบริษัทผู้สร้างหรือแม้แต่จากโรงภาพยนตร์ แต่เล่าให้เห็นว่าการเดินทางข้ามเวลาที่ยาวนานของภาพยนตร์ภาคต่อที่ห่างกันถึง 3 ทศวรรษ ยังคงสร้างประสบการณ์ร่วมในการรับชมได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับในความหล่ออมตะของทอม ที่แม้อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าวัยเลข 6 อย่างเป็นทางการ แต่มันไม่ได้ทำให้ความสามารถหรือเสน่ห์ของเขาหายไปแต่อย่างใด
แต่กลับกลมกล่อม ละมุนละไม แต่ทรงพลัง ประกอบกับการวางโครงเรื่องภาคต่อที่ไม่ “สุกเอาเผากิน” ทำส่งๆ บทบ้งๆ เพื่อโกยเงินจากคนดู ยิ่งช่วยเสริมให้ภาคต่อนั้นลงตัวไปหมด แม้เส้นเรื่องของหนังจะเดาได้ไม่ยากว่าจะไปจบลงตรงไหน แต่ระหว่างทางที่เรื่องราวกำลังดำเนินไปต่างหากคือความบันเทิงหลากรสชาติที่อาจทำให้ใครที่หลงลืมบรรยากาศเก่าๆ ในภาคแรก ได้หวนกลับไปรำลึกได้อีกครั้ง
หากในวัยเด็กพ่อของคุณเคยจูงมือไปดูหนังเรื่องนี้ภาคแรกในโรงภาพยนตร์ วันนี้อาจเป็นวันที่คุณจะจูงมือประคองพ่อของคุณไปดูภาคต่อเพื่อย้อนความทรงจำวันวานร่วมกันก็ได้
1
╔═══════════╗
ไม่พลาดบทความสาระดีๆ ที่ Reporter Journey ตั้งใจสร้างสรรเพื่อผู้ติดตามทุกท่าน อย่าลืมกดติดตามเพจ ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
╚═══════════╝
.
ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
Line : @reporterjourney
1
โฆษณา