29 พ.ค. 2022 เวลา 11:17 • กีฬา
ควันหลงจากเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ เรอัล มาดริด สามารถเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ 1-0 ถือว่ามีหนึ่งในประเด็นที่มีแฟนบอลพูดถึงเยอะ และยังมีความเข้าใจผิดกันไม่น้อยในวงกว้าง
1
นั่นก็คือการเข้าใจว่าทีมหงส์แดงรอดพ้นการเสียประตูในช่วงท้ายครึ่งแรกไปแบบไม่โปร่งใส เมื่อ คาริม เบนเซม่า ที่ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ถูกจับล้ำหน้า และถึงแม้ว่าทีมงานวีเออาร์จะเช็คเหตุการณ์ย้อนหลังอย่างละเอียด ก็ยังคงยืนยันคำตัดสินเดิมที่ไม่ให้ประตูกับทีมราชันชุดขาวต่อไป
ผมขอยืนยันว่าการที่ เรอัล มาดริด ไม่ได้ประตูในครึ่งแรกจากจังหวะดังกล่าว คือการตัดสินที่ถูกต้องแล้วนะครับ และผมไม่ใช่แฟนบอลของลิเวอร์พูลด้วย นี่จึงไม่ใช่บทความที่เขียนโดยตั้งธงเอนเอียงไว้แน่นอน
ก่อนอื่นเลย ต้องบอกว่า เบนเซม่า อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าชัดเจนนะครับ แม้จะมี แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ถอยต่ำลงไปช่วยป้องกันประตูเป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลคนสุดท้ายก็ตาม
เพราะกติกาล้ำหน้าของ IFAB เขียนไว้ชัดเจนว่า "นักเตะจะไม่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ก็ต่อเมื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับนักเตะตำแหน่งรองสุดท้าย หรือนักเตะ 2 คนสุดท้ายของคู่แข่ง" (A player is not in an offside position if level with the second-last opponent or last two opponents)
2 คนในที่นี้จะนับรวมหมดทุกตำแหน่ง ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผู้รักษาประตูหรือไม่ จะเป็นนักเตะเอาต์ฟิลด์ทั้ง 2 คนเลยก็ได้ครับ
ปกติแล้วถ้าเราจะดูว่าคนไหนล้ำหรือไม่ล้ำ เราคงคุ้นเคยกับการเช็คตำแหน่งของฝ่ายรุกเทียบกับกองหลังตัวสุดท้ายของฝ่ายรับอย่างน้อย 1 คน โดยลืมไปว่าผู้รักษาประตูก็คือผู้เล่นฝ่ายรับอีก 1 คนเหมือนกัน
ซึ่งความเป็นจริงก็คือ ถ้าฝ่ายรุกรอดพ้นจากการถูกจับออฟไซด์ นั่นเป็นเพราะเขาต้องอยู่ในระดับที่ไม่เหลื่อมกับนักเตะคู่แข่งอย่างน้อย 2 คนอยู่แล้ว (กองหลัง + ผู้รักษาประตู)
ซึ่งในกรณีของ เบนเซม่า เมื่อคืนนี้ จะถือว่าเขาล้ำหน้าแบบหวุดหวิด เพราะผู้เล่นของลิเวอร์พูลซึ่งเป็นฝ่ายรับ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่าดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศส นั่นคือ โรเบิร์ตสัน ขณะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จะอยู่สูงกว่า เบนเซม่า เล็กน้อย ซึ่งหลังจากวีเออาร์ตีเส้นให้ดู ก็พบว่าเบนเซม่าถูกจับล้ำหน้าด้วยแผ่นหลังและเท้าซ้ายที่อยู่ด้านหลัง (ซึ่งเป็นอวัยวะที่สามารถเล่นบอลได้อย่างถูกกติกา)
ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือให้คิดซะว่าจังหวะนั้น โรเบิร์ตสัน ถอยลงไปเป็นผู้รักษาประตู แล้ว ฟาน ไดค์ กลายเป็นกองหลังคนสุดท้าย เท่านี้ก็จะถือว่าไม่งงแล้วนะครับ
ทีนี้ประเด็นถัดมา ก็คือหลายคนสงสัยว่า "ก็จังหวะสุดท้าย บอลไปโดน ฟาบินโญ่ กระดอนมาเข้าทางปืนของ เบนเซม่า ได้ยิงเอง แล้วจะล้ำหน้าได้ยังไง?"
ในกฎข้อที่ 11.2 ของ IFAB ว่าด้วยเรื่องการล้ำหน้าของฝ่ายรุก มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า "นักเตะที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าที่รับบอลจากคู่แข่งที่จงใจเล่นบอล ซึ่งนับรวมถึงการเจตนาทำแฮนด์บอล จะไม่ถือว่าได้รับผลประโยชน์ นอกเสียจากมันคือการเซฟโดยเจตนาจากคู่แข่ง"
(A player in an offside position receiving the ball from an opponent who deliberately plays the ball, including by deliberate handball, is not considered to have gained an advantage, unless it was a deliberate save by any opponent.)
1
ประเด็นสำคัญของการชี้ขาดว่าจะล้ำหรือไม่ล้ำ มันอยู่ตรงที่ทีมงานวีเออาร์จะมองว่า จังหวะที่บอลไปกระดอนโดน ฟาบินโญ่ นั้น ถือว่าเป็น "การเซฟโดยเจตนาของคู่แข่ง" (A deliberate save by any opponent) หรือไม่
ซึ่งหลังจากที่ทีมงานวีเออาร์ 3 คน ซึ่งประกอบด้วย วิลลี่ เดอลาโชด์ จากฝรั่งเศส และ มัสซิมิเลียโน่ อีร์ราติ กับ ฟิลิปโป้ เมลี่ จากอิตาลี ช่วยกันกรอเหตุการณ์ดูแล้วดูอีก โดยใช้เวลาเช็ครวมกันถึง 3 นาที 22 วินาที ก็ได้บทสรุปว่า "บอลไปโดน ฟาบินโญ่ จังหวะนั้นแบบไม่ตั้งใจ"
ลองหาไฮไลท์จังหวะดังกล่าวมาย้อนดูกันอีกครั้ง จะพบว่าในช็อตปัญหา อิบราฮิม่า โกนาเต้ กองหลังของลิเวอร์พูลที่หันหลังให้ประตูได้เข้าไปเสียบสกัดใส่ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ กองกลางของ เรอัล มาดริด ซึ่งสุดท้ายบอลที่กระดอนออกจากเท้าของ โกนาเต้ ก็ไปแฉลบเข่าของ ฟาบินโญ่ ที่ตามลงไปพยายามพุ่งสกัดพอดี แล้วค่อยเด้งไปเข้าทางให้ เบนเซม่า ได้จบสกอร์
ช็อตนี้มันคือจังหวะที่ผู้ตัดสินไม่สามารถชี้ขาดได้อย่างชัดเจนว่า ฟาบินโญ่ เจตนาทำให้บอลพุ่งไปทาง เบนเซม่า หรือไม่ เขาอาจจะแค่ต้องการหยุดบอลเอาไว้ตรงนั้นให้ได้ก็พอแล้ว แถมวิถีบอลที่ออกจากเท้าของ โกนาเต้ มาโดนหัวเข่าของเขา มันใกล้และเร็วเกินกว่าที่ดาวเตะทีมชาติบราซิลจะสามารถตัดสินใจได้ทันแน่ๆ ว่าจะเล่นจังหวะนั้นยังไง
เมื่อทีมงานวีเออาร์พิจารณาร่วมกันชัดเจนว่ามันคือจังหวะแฉลบที่เกิดจากการปะทะกันเองพอดี และบอลไปโดน ฟาบินโญ่ ไม่ใช่จังหวะที่ ฟาบินโญ่ เอาตัวเองไปเล่นกับบอลจนเกิดการเปลี่ยนวิถีโดยเจตนา
นั่นทำให้สุดท้ายคำตัดสินที่ออกมาคือการปฏิเสธประตูของ เบนเซม่า ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะในเกมระดับนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ประตูที่ทีมไหนจะได้ มันควรเป็นช็อตที่ไร้ข้อกังขา 100% จริงๆ เท่านั้น
และสุดท้าย เรอัล มาดริด ก็เป็นฝ่ายชนะไปได้อยู่ดี จากประตูชัยของ วินิซิอุส จูเนียร์ ในนาทีที่ 59 เมื่อเอาชนะกับดักล้ำหน้าด้วยการสอดเข้าแปลูกเปิดเรียดจาก เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ได้แบบที่ยืนเท่ากับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ พอดิบพอดีเป๊ะ
#เสียบสามเหลี่ยม #เบนเซม่า #เรอัลมาดริด #ลิเวอร์พูล #VAR #วีเออาร์ #IFAB #UCL #UCLfinal #แชมเปี้ยนส์ลีก #ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
โฆษณา